ใกล้เวลาเปิดตัวเข้าไปทุกขณะผลการทดสอบของหน่วยประมวลผลแบบ APU(มีชิปกราฟิกแบบฝัง) ของทาง AMD ในซีรีย์ Ryzen 4000 ที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 2 ก็หลุดออกมายั่วน้ำลายมากขึ้น ล่าสุดนั้นก็ถึงคิวของ APU รุ่นใหญ่แบบประหยัดพลังงานอย่าง AMD Ryzen 7 4800HS ที่ในส่วนของตัวหน่วยประมวลผลนั้นตจะมาพร้อมกับแกนการประมวลผลทั้งหมด 8 แกน 16 threads พร้อมด้วยชิปกราฟิกแบบฝังในรุ่น Vega 7 ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อลงท้ายด้วย 7 แล้วนั้นย่อมหมายความว่ามันมาพร้อมกับ 7 CU ซึ่งดูๆ แล้วอาจจะน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับรุ่นพี่อย่าง Ryzen 7 3780U ที่มาพร้อมกับ Vega 11 แต่ทว่าผลการทดสอบที่หลุดออกมานั้นพบว่าต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ก่อนที่จะเข้าเรื่องนั้นไปดูผลการทดสอบที่หลุดออกมาซึ่งนอกจากจะมีการเปรียบเทียบกับ Ryzen 7 3780U แล้วนั้นยังมีการเปรียบเทียบกับ Ryzen 7 3700U ที่มาพร้อมกับ Vega 10 อีดกด้วย สำหรับผลการทดสอบจะเป็นเช่นไรนั้นไปติดตามกันได้เลย
จากภาพจะเห็นได้ว่า Ryzen 7 4800HS ที่มาพร้อมกับ Vega 7 นั้นสามารถทำคะแนนการทดสอบทางด้านกราฟิก Time Spy ไปได้ที่ 1089 คะแนน(เราจะไม่ดูผลการทดสอบรวมเนื่องจากว่าในส่วนของตัวหน่วยประมวลผล Ryzen 7 4800HS นั้นแรงกว่ารุ่นที่เปรียบเทียบรุ่นอื่นอยู่แล้ว) ตามมาด้วย Ryzen 3780U ที่มาพร้อมกับ Vega 11 ที่ได้คะแนนการทดสอบส่วนกราฟิกไปที่ 1028 คะแนนและ Ryzen 3700U ที่มาพร้อมกับ Vega 10 ซึ่งได้ผลการทดสอบไปที่ 917 คะแนน
จากที่เราได้เห็นนั้หากพิจารณาแล้วจะพบได้ว่าชิปกราฟิกแบบฝังของ Ryzen 7 4800HS ที่มาพร้อมกับ 7 CU นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ทว่าอย่างไรก็ดีแล้วนั้นหากมองกันตรงๆ แล้วนั้นจะเห็นได้ว่า Vega 7 บน Ryzen 7 4800HS นั้นได้มีการเร่งความเร็วสัญญาณนาฬิกาไปอยู่ที่ 1,600 MHz ในขณะที่ Vega 11 บน Ryzen 7 3780U นั้นจะมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 1,400 MHz และ Vaga 10 บน Ryzen 7 3700U นั้นจะมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาอยู่ที่ 1,401 MHz เท่านั้น ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ถึงแม้จำนวน CU ของ Ryzen 7 4800HS นั้นจะน้อยกว่าแต่ด้วยความเร็วสัญญาณนาฬิกาที่เพิ่มขึ้นมาถึง 200 MHz ก็อาจจะช่วยให้ความสามารถในการประมวลผลทางด้านกราฟิกเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วยก็เป็นได้
หมายเหตุ – ที่ทาง AMD สามารถเร่งความเร็วสัญญาณนาฬิกาในส่วนของชิปกราฟิกแบบฝังให้มากขึ้นกว่าเดิมได้นั้นน่าจะเป็นผลมาจากการที่ Ryzen 7 4800HS ใช้กระบวนการผลิตที่ 7 nm ซึ่งนั่นเลยทำให้สามารถที่จะจัดการกับเรื่องของความร้อนและการใช้พลังงานต่างๆ นั้นสามารถที่จะทำได้ดีขึ้นกว่าใน Ryzen 3000 ซีรีย์ที่ใช้กระบวนการผลิตที่ระดับ 12 nm นอกไปจากนั้นแล้วตัวหน่วยประมวลผลที่มีการเปลี่ยนมาใช้สถาปัตยกรรม Zen 2 จาก Zen+ เองก็น่าจะมีส่วนที่ช่วยให้ประสิทธิภาพโดยรวมนั้นดีมากขึ้นด้วย
ที่มา : notebookcheck