สำหรับที่ชาร์จแบบไร้สายนั้นเข้ามามีบทบาทในตลาดสมาร์ทโฟนมาอย่างยาวนานแล้ว อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นดูเหมือนกับว่าที่ผ่านมานั้นมันจะไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไรนักเพราะเวลาที่ใช้ในการชาร์จนั้นค่อนข้างที่จะช้ามากกว่าการใช้ที่ชาร์จแบบไร้สายพอสมควร ทว่าสิ่งหนึ่งที่เราสามารถเห็นได้นั้นก็คือผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเองก็พยายามที่จะพัฒนาให้ที่ชาร์จแบบไร้สายมีความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ แถมในปัจจุบันนั้นอุปกรณ์หลายๆ อย่าง(เช่นสมาร์ทวอทช์) เองนั้นก็รองรับการใช้งานแบบชาร์จแบบไร้สายมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดนั้นดูเหมือนกับว่านักวิเคราะห์จะมองกาลไกลว่าตลาดดังกล่าวนี้นั้นจะเติบโตมากขึ้นเป็นอย่างมากภายในระยะเวลา 5 ปีนี้
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักวิเคราะห์ประเมิณเอาไว้ว่าตลาดที่ชาร์จแบบไร้สายจะเติบโตมากขึ้นนั้นก็เนื่องมาจากการที่การชาร์จแบบไร้สายจะถูกนำมาใช้งานยานพาหนะรุ่นใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นการลดการใช้สายชาร์จที่รุงรังภายในรถยนต์อย่างที่เราๆ ท่านๆ ได้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ นอกเหนือไปจากนั้นแล้วการพัฒนาของเทคโนโลยีการชาร์จเร็วก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเนื่องจากในปัจจุบันนั้นจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีการชาร์จเร็วนั้นเริ่มที่จะเปลี่ยนมาใช้ radio frequency (RF), inductive, resonant, laser และ microwave modalities มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความสามารถในการอัดประจุไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์นั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ตามรายงานนั้นบอกเอาไว้ว่าเทคโนโลยีการชาร์จเร็วอย่าง radio frequency (RF) นั้นถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่เป็นการชาร์จแบบไร้สายโดยแท้ซึ่งเทคโนโลยีการชาร์จแบบ RF นี้นั้นไม่มีความจำเป็นที่ผู้ใช้จะต้องใช้งานฐานชาร์จร่วมด้วยอีกต่อไป ซึ่งนอกเหนือไปจากการที่เทคโนโลยีการชาร์จไร้สายแบบ AR จะถูกนำมาใช้งานในการชาร์จกับสมาร์ทโฟนแล้วนั้นยังมีความเป็นไปได้สูงมากด้วยอีกว่ามันจะถูกนำมาใช้งานร่วมกับการ์ชาร์จแบบไร้สายบนเครื่องคอมพิวเตอร์, internet of things (IoT) และอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ อีกด้วยต่าง โดยที่ ณ เวลานี้นั้นก็มีบริษัทที่ทำการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวหลายๆ บริษัทแล้วอย่าง Energizer Holdings, Integrated Device Technology, Murata, Qualcomm, Samsung, Texas Instruments, Powermat Technologies, WiTricity และ Sony
ทางนักวิเคราะห์ได้คาดการณ์เอาไว้ว่าภายในระยะเวลา 5 ปีนี้เป็นต้นไป(จนถึงปี 2025) มูลค่าในตลาดของที่ชาร์จแบบไร้สายนั้นจะเพิ่มมากขึ้นเป็น $71.21 billion หรือประมาณ 224,218,000,000 บาท จากเดิมที่เคยอยู่ที่ $5.22 billion หรือประมาณ 164,847,600,000 บาทจากมูลค่าในปี 2017 ที่ผ่านมา ทั้งนี้การคาดการณ์ดังกล่าวจะเป็นจริงอย่างที่นักวิเคราะห์ได้ทำการวิเคราะห์ไว้หรือไม่นั้นก็คงต้องคอยจับตามองกันต่อไป
ที่มา : notebookcheck