การเลือกซื้อ Notebook เน้นใช้งานประสิทธิภาพสูง ที่ไม่ว่าจะเล่นเกมหรือทำงานหนักๆ ที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ เชื่อได้เลยว่าหลายๆ คนต้องเลือก Notebook ที่มาพร้อมกับการ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce GTX / RTX Series ที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็น GTX 1050 / GTX 1650 / GTX 1660 Ti / RTX 2060 / RTX 2070 และ RTX 2080 โดยสามารถขับเคลื่อนได้อย่างลื่นไหล ไร้ปัญหา ซึ่งจับคู่มากับชิปประมวลผลที่ตอบสนองได้ครอบคลุมทุกรูปแบบอย่าง Intel Core i Gen 9 รหัส H อย่าง Core i5-9300H และ Core i7-9750 ที่ดูได้จาก Gaming Notebook ในทุกช่วงราคาเลือกใช้งานกัน โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2x,xxx บาท จนไปถึงหลายหมื่นบาท
สำหรับสเปกอื่นๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยความจำแรมต้องมีขนาด 8GB ขึ้นไป แต่ถ้าให้ดีเยี่ยมก็ต้องเป็น 16GB – 32GB ไปเลย ส่วนที่เก็บข้อมูลก็ต้องเป็นมาตรฐาน SSD M.2 NVMe ที่ให้ความเร็วในการทำงานที่สูง พร้อมด้วยความจุที่ใหญ่คือ 512GB ขึ้นไป แน่นอนว่าหน้าจอก็ต้องมีขนาด 15.6″ – 17.3″ ถึงจะใหญ่เพียงพอกับการทำงาน และจำเป็นต้องเป็น IPS คุณภาพสูง ให้ค่าสีที่เที่ยงตรง รวมไปถึงกรณีที่เล่นเกมต้องได้ Refresh Rate ที่ 120Hz – 144Hz ก็จะดีเยี่ยมมากๆ และที่พลาดไม่ได้เลยก็คือระบบระบายความร้อนต้องเอาอยู่ จัดการได้ทันท่วงทีด้วย ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำจัดอันดับ Notebook ปี 2020 สุดยอดตัวแรง ทั้งเล่นเกมลื่นๆ ทำงานหนักๆ มีรุ่นไหนบ้าง ไปชมกันต่อเลย
Acer Nitro 5
Acer Nitro 5 เพราะมาพร้อมกับสเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 9 อย่าง Core i5-9300H หรือ i7-9750H ที่สำคัญได้การ์ดจอรุ่นใหม่มาเสริมทัพอัพเดทอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti/1650 ที่เป็นรุ่นใหม่ของ GTX เน้นความแรงและคุ้มค่าเป็นหลัก รวมไปถึงยังมีการ์ดจอ GTX 1050 รุ่นใหม่แต่ปรับสเปกเป็น 3GB GDDR5 เป็นตัวเลือกอยู่ (เดิมเป็น 4GB GDDR5)
ส่วนสเปกอื่นๆ มีทั้งรุ่นมีที่เก็บข้อมูลฮาร์ดดิสก์ HDD ความจุ 1 TB หรือรุ่นที่ใส่ SSD M.2 NVMe ที่ 512GB มาเลย (รองรับใส่ได้ 2 ช่อง) หรือใส่ทั้งคู่มาเลย ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8GB – 16GB แบบ DDR4 Bus 2666 สามารถอัพเกรดได้สูงสุด 32 GB อีกทั้งมีทั้งรุ่นหน้าจอพาเนล IPS ที่ 60Hz และ 144Hz มาให้เลือกด้วย ตามแต่ความต้องการ เรียกได้แบ่งรุ่นออกเยอะเหมือนกัน ยังไงให้แนะนำคือ ควรซื้อรุ่นที่มี SSD มาเลย ไม่ก็ซื้อแล้วต้องอัพเกรดให้มี SSD ทันที
Acer Nitro 5 สเปกการ์ดจอ NVIDIA มีราคาเริ่มต้นที่ 23,990 บาท ไปจนถึง 36,990 บาท ทุกรุ่นประกัน 3 ปี On-site Service ทั้งหมด แบ่งสเปกราคาตามนี้
- Core i5-9300H / GTX 1050 / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 23,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1650 / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 25,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1050 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 60Hz ราคา 26,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1650 / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 144Hz ราคา 27,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1650 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 144Hz ราคา 28,990 บาท
- Core i7-9750H / GTX 1050 / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 31,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1660Ti / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 32,990 บาท
- Core i7-9750H / GTX 1650 / RAM 8GB / SSD 128GB + HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 35,990 บาท
- Core i7-9750H / GTX 1650 / RAM 16GB / SSD 128GB + HDD 1TB / จอ 144Hz ราคา 36,990 บาท
เรื่องของการดีไซน์ออกแบบ Acer Nitro 5 มีการปรับให้ตัวเครื่องมีความเล็กกระชับขอบจอบาง ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความบางเบากว่าเดิมแน่นอน รวมไปถึงการพกพาก็สะดวกยิ่งขึ้น หน้าจอ 15.6″ พาเนล IPS ขอบจอบางเพียง 7.18 มิลลิเมตร พื้นที่สัดส่วนกว่า 80% ทำให้มีขนาดเครื่องพอๆ กับโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ แบบก่อน ที่น้ำหนักตัวเครื่อง 2.3 กิโลกรัม โดยมีรุ่นหน้าจอ Refresh Rate ที่ 60Hz และ 144Hz ให้เลือกตามความต้องการ วัสดุของตัวเครื่องทั้งหมดจะเป็นพลาสติกเกรดดี
สำหรับสีสันก็ยังคงเอกลักษณ์สีดำแซมด้วยสีแดงเอาไว้อยู่ อย่างโดดเด่นและสวยงาม ที่ต้องว่า Acer Nitro 5 ฝาหลังจะมีลักษณะลวดลายผิวไม่เรียบบริเวณด้านข้างซ้ายและขวา ฝาบนจะโลโก้คำว่า Acer สีดำคมเข้มไม่ธรรมดา ผิวฝาบนพื้นผิวเป็นพลาสติกมีสีดำด้านให้สัมผัสดีมีคุณภาพสูง พร้อมมีเกล็ดเล็กๆ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นรอยนิ้วมือง่ายนิดหนึ่ง ซึ่งคงต้องหมั่นคอยเช็ดทำความสะอาดสักหน่อย เวลามือมีเหงื่อออกแล้วไปจับ รวมไปถึงขอบตัวเครื่องบริเวณฝาพับ Acer Nitro 5 จะเป็นสีแดงพร้อมกับมีคำว่า Nitro เอาไว้ โดยสามารถกางหน้าจอได้มากกว่า 145 องศาทีเดียว
ทางด้านหลังตัวเครื่องก็จะมีช่องระบายความร้อน 1 ช่องขนาดใหญ่ทางซ้ายเห็นเป็นลักษณะของฟินสีดำสนิท ส่วนช่องทางขวาจะเป็นช่องที่ดีไซน์คล้ายกันเป็นตะแกรงสีดำ แต่ไม่มีพัดลมติดตั้งอยู่ พร้อมแกนฝาพับจะเป็นสีแดง พร้อมมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า Nitro แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น ซึ่งดูสวยงามโดดเด่นมากเลยทีเดียว มีการติดตั้งปุ่ม Power ไว้มุมขวาบนสุดของชุดคีย์บอร์ด รวมไปถึงยังมีการติดตั้งปุ่ม NitroSense ไว้เหนือแป้นตัวเลขด้วย กดใช้งานได้สะดวกดี
Acer Nitro 5 มีเทคโนโลยี Acer CoolBoost และช่องระบายความร้อนคู่ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ โดยมีช่องระบายความร้อนด้านหลังแถวยาว 1 แถวและช่องด้านข้างทางขวาอีก 1 ช่อง เมื่อมีการใช้งานที่หนักหน่วง CoolBoost จะเพิ่มความเร็วพัดลมมากขึ้น 10% และการระบายความร้อน CPU/GPU มากขึ้น 9% เมื่อเทียบกับโหมดอัตโนมัติ (ตามที่ Acer เคลมไว้) พร้อมจัดการระบบของเราแบบเรียลไทม์ด้วยซอฟต์แวร์ NitroSense ซึ่งครอบคลุมถึงอุณหภูมิ ความเร็วพัดลมและอีกมากมาย
ฟีเจอร์เสริมอื่นๆ ของ Acer Nitro 5 มาพร้อมการติดตั้งพอร์ต LAN RJ45 (Gigabit Ethernet) พร้อมด้วยความสามารถ Killer Ethernet E2500 เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายเป็รมาตรฐาน Wi-Fi AC ที่มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมดที่มีสเถียรภาพ รวมไปถึงแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe ก็รองรับการติดตั้ง 2 สล็อตด้วยกัน ทำให้เราสามารถอัพเกรด SSD M.2 NVMe ได้เพิ่มเติมภายหลัง โดยจะเชื่อมต่อ Raid 0 หรือ Raid 1 ก็ได้ตามความต้องการ
Acer Nitro 5 มีตัวเครื่องที่มาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ถึง 15.6 ”ขอบหน้าจอบางก็จริง แต่ก็ยังสามารถที่จะติดตั้งคีย์บอร์ดแบบ Full Size มาให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันได้อย่างสบายๆ ที่มาพร้อมปุ่มแป้นคีย์ตัวเลข (Numpad) โดยตัวปุ่มจะเป็นสีดำ มีฟอนต์เป็นสีแดง รวมไปถึงแป้นปุ่มตรงตัวอักษร WASD และปุ่มทิศทาง รวมถึงปุ่ม NitroSense จะมีขอบเป็นสีแดงเด่นออกมา นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ Backlit สีแดง ที่ให้ความสว่างพอสมควรดูเป็น Gaming Notebook สวยงาม เอามาเล่นตอนกลางคืนสบายๆ อีกทั้งเรื่องการกดการสัมผัสบนคีย์บอร์ดที่ปุ่มมีความนุ่มติดมือ รู้สึกได้เลยว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปแน่นอน
ในส่วนทัชแพดนั้นจะมีขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ออกแบบปุ่มมาเป็นแบบชิ้นเดียวซ่อนปุ่มตามสมัยนิยมทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา มีขอบเป็นสีแดง ให้ความลื่นไหลในการใช้งานเป็นอย่างดี ซึ่งตัวทัชแพดจะวางตัวไปทางด้านซ้ายของเครื่องเล็กน้อยไม่ได้อยู่ตรงกลางหน้าจอเป๊ะๆ โดยรวมก็สามารถใช้งานได้ดีไม่ปัญหาแต่อย่างใด
ส่วนทางด้านลำโพงมีด้วยกัน 2 ตัวโดยจะอยู่ทางด้านล่างมุมซ้ายและขวาของเครื่องอย่างละตัว ลำโพงนั้นจะมีการวางตำแหน่งในลักษณะเฉียงลงไปยังพื้นเพื่อที่จะให้เสียงได้สัมผัสกับพื้นแล้วสะท้อนขึ้นมาก ซึ่งคุณภาพเสียงการใช้งานต่างๆ เมื่อใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ Waves MaxxAudio ที่ผสานกับ Acer TrueHarmony เพิ่มประสิทธิภาพเสียงเบส เสียงสนทนา และระดับเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม ก็สามารถทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่งและจากการใช้งานรู้สึกว่าดีกว่ารุ่นเก่าด้วย
MSI GF63 Thin
Gaming Notebook อย่าง MSI GF63 Thin 9SC-297TH ได้รับการตอบรับดีที่มากๆ ตลอดที่ผ่านมาทาง MSI จริงจังเกมโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมส์มากยิ่งขึ้น โดยการแบ่งซีรีส์ออกอย่างชัดเจน และการนำเสนอซีรีส์ MSI GF63 Thin ที่เป็น Gaming Notebook ขอบจอบางมาพร้อมประสิทธิภาพสูง คุณภาพเยี่ยม โดดเด่นความความบางของตัวเครื่อง และมีน้ำหนักเพียง 1.86 กิโลกรัมเท่านั้น เน้นพกพาสะดวก แต่ยังได้สเปก Gaming เล่นเกมได้ลื่นไหล ไม่แพ้โน๊ตบุ๊คตัวหนักๆ หนาๆ เลย
MSI GF63 Thin 9SC-297TH ได้ส่งสเปกใหม่ออกมาเป็นชิปประมวลผล Intel Core i5-9300H ส่วนการ์ดจอก็เป็น NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q จัดเต็มด้วยแรมขนาด 8GB และ SSD ที่ 512GB ในทุกๆ รุ่น ตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว ออกแบบโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ให้มีความสวย ทันสมัยให้ความแข็งแรง ทนทาน เพิ่มความโดดเด่น ใช้งานง่ายและสะดวก ทำให้ MSI GF63 Thin 9SC-297TH เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมน่าซื้อที่สุดรุ่นนึงทีเดียว
มีที่เก็บข้อมูลเป็นมาตรฐาน SSD แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่ทั้งแรงและลื่นไหล ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8GB แบบ DDR4 จำนวน 1 แถว อัปเกรดได้สูงสุด 32 GB (ใส่ Ram ได้ 2 แถว) นับได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว มาพร้อมจอแสดงผลแบบด้าน 15.6 นิ้ว ที่ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS ให้จอแสดงผลมีมุมมองกว้าง สวยงาม ไม่ว่าจะดูหนังหรือเล่นเกมก็สามารถใช้ได้ดีชัดเจน ลำโพงทำงานร่วมกับซอฟแวร์ของ Nahimic เวอร์ชั่น 3 ทำให้สามารถขับเสียงได้ดียิ่งกว่าเดิม พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) และมีไมค์ดิจิตอล 2 ตัว
ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง HDMI, 3 x USB 3.1, USB 3.1 Type C, Kensington lock slot, 2-in-1 SD, Lan RJ-45 , รูหูฟังกับไมค์แบบแยกออกจากกัน พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Wi-Fi 802.11 ac + Bluetooth 5.0 น้ำหนัก 1.86 กิโลกรัม พร้อม Windows 10 แท้ ประกันตามมาตรฐาน MSI ระยะเวลา 2 ปีด้วยกัน ซึ่งดูจากราคาที่จำหน่ายแล้วถือว่าคุ้มค่าทีเดียว
MSI GS65 Stealth
Gaming Notebook ที่เน้นทั้งความแรงลื่นจากสเปก ตัวเครื่องบางเบาพกพาสะดวก และฟีเจอร์ครบเครื่องที่สุด บทความนี้ขอแนะนำกับ MSI GS65 Stealth 9SD-1094TH ซึ่งเป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมที่เน้นความพรีเมียมจาก MSI โดดเด่นด้วยวัสดุอลูมิเนียมที่พรีเมียมตลอดทั้งเครื่อง แน่นอนว่าเป็นตระกูล GS ที่เน้นความบางเบาแต่ก็มีความแรงไม่แพ้ตระกูลอื่นๆ อีกเลย ซึ่งมีการพัฒนาต่อยอดมาโดยตลอด รวมไปถึงยังได้เรื่องของฟีเจอร์เด็ดต่างๆ มากมาย อย่างที่หาได้ยากใน Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ
MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7- 9750HQ (2.60 – 4.50 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1660Ti (6GB GDDR6) โดยแรงพอๆ กับ RTX 2060 ทีเดียว ที่ทั้ง 2 อย่างนี้ระดับ Desktop มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB จำนวน 1 แถว ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8GB แบบ DDR4 จำนวน 1 แถว พร้อมรองรับ Dual Channel สามารถอัพเกรดแรม 8GB อีก 1 แถวได้ในภายหลัง
นอกจากนี้มาพร้อมจอแสดงผลแบบด้าน 15.6 นิ้ว ที่ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS สีสดใสมุมมองกว้าง ขอบเขตสีใกล้เคียง sRGB 100% พร้อมเทคโนโลยี MSI True Color Technology ปรับโปรไฟล์สีให้ตรงกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ที่สำคัญรองรับ 144Hz ส่งผลให้เล่นเกมได้ลื่นไหลสุดๆ และตัวเครื่องยังมีลำโพงจากแบรนด์ Dynaudio พร้อมซอฟแวร์เสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 ขับเสียงได้ดียิ่งกว่า มาพร้อม Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที
MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin เป็น Gaming Notebook มาตรฐานใหม่ที่มีความเบาบางมีขอบจอบางพิเศษที่ 4.7 มิลลิเมตร ได้ความแรงไม่แพง Gaming Notebook เครื่องหนักๆ หนาๆ แบบแต่ก่อน โดดเด่นในเรื่องของการดีไซน์ที่เพกพาได้สะดวก ที่รักษาความเป็นเกมเมอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.9 กิโลกรัม บางที่ 1.79 มิลลิเมตร ทำให้ถือมือเดียวได้ หรือหยิบใส่กระเป๋าแบบสบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันมีพลังด้วยวัสดุอะลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง
MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อน Cooler Boost Trinity ใช้พัดลม 3 ตัว ซึ่งมีช่องระบายอากาศถึง 4 จุด อยู่ทางด้านหลังและด้านข้างของตัวเครื่อง อย่างละ 2 ด้วยการดูดลมเย็นจากช่องเหนือคีย์บอร์ดและใต้ตัวเครื่อง เป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผล (พัดลม 1 ตัว) และกราฟิกการ์ด (พัดลม 2 ตัว) ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 6 เส้น (รุ่นก่อน 4 เส้น) หายห่วงได้เลยในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะเล่นเกมหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
คีย์บอร์ดของ MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจาก Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ แบบสิ้นเชิง จากการที่ใช้ Per-Key RGB Gaming Keyboard พร้อมแป้นที่ใหญ่พิเศษ ร่วมพัฒนากับแบรนด์ SteelSeries โดยพัฒนาและออกแบบมาให้ MSI โดยเฉพาะ ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน ที่สำคัญในคราวนี้ไฟ LED ที่เป็น RGB สามารถเปลี่ยนสีทีละปุ่ม ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ และยังปรับแต่ง Macrokeys บนคีย์บอร์ดเพื่อใช้ในเกมหรือซอฟแวร์ต่างๆ ผ่าน Steelseries Engine 3 ได้ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าตัดชุด Numpad ออกไป จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่เล็กลง
ทัชแพดมีขนาดใหญ่โตมาก เป็นลักษณะผืนผ้าออกแนวยาวๆ ใหญ่กว่าเดิมถึง 35% โดยดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง ตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดี ส่วนปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็อาจจะมีความแข็งพอดีๆ การใช้งานโดยจัดได้ว่าอยู่ในระดับลงตัว ใช้งานได้สะดวกสำหรับการวางบนตัก หรือเล่นในร้านกาแฟ โดยการควบคุมมีการตอบสนองได้ดี มีการตัดขอบเส้นสีทองที่ขอบนอก เข้ากับตัวเครื่องโดยรวม
ระบบเสียงก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ด้วยลำโพง DYNAUDIO แบบสเตอริโอ โดยมีซอฟแวร์ปรับแต่งเสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 สู่ระบบเสียงที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมจากฝรั่งเศส ทำให้มีการปรับแต่งเสียงที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปอย่างชัดเจน สนับสนุน VR และ 3D เต็มรูปแบบใช้เล่นเกมนี่บันเทิงได้เต็มอารมณ์ ยิ่งถ้าต่อหูฟังเสียบผ่าน Audio Boost ยิ่งได้อรรถรสในการเล่นเกมได้ดีขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการที่เป็นแจ๊คแบบชุบทองคำ จะช่วยเพิ่มรายละเอียดของคุณภาพเสียงอีกด้วย พร้อมมีฟีเจอร์ Hi-Res Audio ด้วยชิปเสียงต่างหาก
MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin จัดว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 15.6 นิ้วซึ่งไซส์เล็กกว่าปกติ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A จำนวน 3 ช่อง , Thunderbolt 3 (USB Type-C) จำนวน 1 ช่อง พร้อมด้วย HDMI 1.4 และ miniDisplayPort 1.2 อีกทั้งมี RJ45 (Killer E2500 Gigabit Ethernet with Killer Shield) และ Mic-in/Headphone-out
เชื่อมต่อไร้สายด้วย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 802.11 ac ผ่าน Killer ac ระบบเน็ตเวิร์คสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะลดกาารกระตุกช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์ได้ลื่นๆ ลดค่าปิงต่ำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ Matrix Display ช่วยให้ต่อจอได้หลากหลายจอแบบรอบทิศทาง จากทั้ง Thunderbolt 3, HDMI และ miniDisplayPort สนนราคา MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin อยู่ที่ 47,900 บาท พร้อมการรับประกันมาตรฐาน MSI จำนวน 2 ปี ถือว่าเป็น Gaming Notebook ระดับสูงจากทาง MSI อีกหนึ่งรุ่นที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะไม่ใช่แค่แรงแต่บางเบาแต่ฟีเจอร์จัดเต็มด้วย
Acer Predator Helios 300
Acer Predator Helios 300 มีหน้าจอขนาดใหญ่ที่ 15.6″ และ 17.3″ แต่กลับมีความเล็กลงจากมิติตัวเครื่องเล็กกระทัดรัดจากการที่ขอบจอบาง ผนวกกับหน้าจอ IPS และอัตรารีเฟรชเรทที่สูงถึง 144Hz โดยเป็นส่วนสำคัญในการมอบประสบการณ์ใหม่ๆในการเล่นเกมแบบเต็มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน ในส่วนของดีไซน์ภายนอกก็ดูเรียบหรู วัสดุเป็นอลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่องแซมด้วยสีฟ้า Predator ที่โดดเด่น เป็น DNA ของ Gaming Notebook จากทาง Acer Predator ของยุคนี้ก็ว่าได้
สำหรับ Acer Predator Helios 300 นี้เป็นการต่อยอดมาจาก Gaming Notebook เน้นความพรีเมียมและประสบการณ์ใช้งานกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมแนวทางการออกแบบ รุ่นหน้าจอ 15.6″ ใช้พื้นฐานเดียวกันมาจาก Acer Predator Triton 700 และ Acer Predator Helios 500 โดยถือว่าเป็น Gaming Notebook มาตรฐานใหม่ที่มีความเบาบางกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ขอบจอบางที่ 7.9 มิลลิเมตร มีพื้นที่การแสดงผลที่ 79% โดยได้ความแรงไม่แพ้ Gaming Notebook เครื่องหนักๆ หนาๆ แบบแต่ก่อน โดดเด่นในเรื่องของการดีไซน์ที่พกพาได้สะดวก รักษาความเป็นเกมเมอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ถือมือเดียวได้ หรือหยิบใส่กระเป๋าแบบสบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันมีพลัง
ดีไซน์การของ Acer Predator Helios 300 เน้นความพรีเมียมและประสบการณ์ใช้งานกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมแนวทางการออกแบบ มาพร้อมความสดใหม่เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ตัวเครื่องนั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุผสมระหว่างอลูมิเนียมและแมกนีเซียม
มาในโทนสีดำอย่าง Obsidian black สลับกับสีฟ้าบางส่วนอย่างโลโก้และฟินระบายความร้อน พร้อมกันนั้นพื้นผิวเรียบเนียน ซึ่งจะทำได้ละเอียดกว่าการขัดปกติ และช่วยให้สีติดที่เนื้อวัสดุได้อย่างดีที่สุด แถมยังมีความทนทานด้วย โดยการใช้งานจริงนับว่าให้สัมผัสที่เยี่ยมยอด แตกต่างจาก Gaming Notebook ทั่วไปแบบรู้สึกได้ในครั้งแรก
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่อง Acer Predator Helios 300 ถูกติดตั้งไว้มุมขวาบนสุดเรียบเนียนไปกับแป้นคีย์บอร์ด พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน ซึ่งตรงบริเวณนี้ตรงขอบบนมุมขวาจะเป็นโลโก้ลำโพงของ Waves Maxx Audio ส่วนมุมขวาล่างจะเป็นสติ๊กเกอร์ที่เน้นย้ำเรื่องของฟีเจอร์ต่างๆ อาทิ ความบางตัวเครื่อง, ขอบจอบางเฉียบ, การ์ดจอ GTX 1660 Ti ที่ Overclock ได้, พัดลม AeroBlade Gen 4, หน้าจอ 3ms และระบบ Killer DoubleShot Pro อีกด้วย
Acer Predator Helios 300 ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยพัดลมแบบพิเศษ AeroBlade 3D Gen 4 ใช้พัดลม 2 ตัว ตัวละ 59 ใบพัดขนาด 0.1 มิลลิเมตร ออกแบบพิเศษได้รับแรงบันดาลใจจากกลไกการบินที่เงียบสนิทและทรงพลังของนกฮูก ปลายใบพัดลมของเราจึงมีรอยหยักเพื่อให้อากาศผ่านได้มากขึ้น
Acer Predator Helios 300 ที่จำหน่ายประเทศไทยมาพร้อมกับหลากหลายสเปกและราคา โดยเริ่มต้นเป็นชิปประมวลผลเป็น Core i7-9750H การ์ดจอเริ่มต้นเป็น NVIDIA GeForce GTX 1660Ti (6GB GDDR6)/ RTX 2060 (6GB GDDR6) จนไปถึง RTX 2070 (8GB GDDR6) พร้อม Ram 8 – 16GB DDR4 Bus 2666 (8GB x 2) ที่ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ SSD m.2 แบบ NVMe ที่ความจุ 512GB – 1TB (512GB x 2) รวมถึงยังใส่ฮาร์ดดิสก์ 2.5″ ได้อยู่ จัดว่าให้สเปกมาเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไปมากๆ แต่เหมาะสำหรับการเล่นเกมแบบสุดๆ
หน้าจอขนาด 15.6″ – 17.3″ แบบด้าน ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพ IPS ตอบสนองที่ 144Hz 3ms แถมตัวเครื่องยังมีลำโพง 2.0 ชาแนล บนซอฟแวร์เสียง Waves Maxx Audio ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง, USB 3.1 Type-A จำนวน 3 ช่อง, HDMI, mini-DisplayPort, ช่องเสียบหูฟังไมค์ขนาด 3.5 มิลลิเมตร พร้อมด้วยช่องสาย Lan RJ45 พร้อม E2500 Ethernet Controller
และการเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบ Wireless-AC 1550 และ Killer Control Center 2.0 ของ Killer ที่ช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์ให้มีเสถียรภาพและสมูทขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การเชื่อมต่อไร้สายอย่างก็รองรับตัวที่เป็น Bluetooth 5.0 เป็นมาตรฐาน แน่นอนว่า Acer Predator Helios 300 (2019) รุ่นที่ขายในไทยต้องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้พร้อมใช้งานทันที มีประกัน 3 ปี On-site Service หรือส่งศูนย์ซ่อมด่วนใน 3 ชั่วโมง ตามมาตรฐานของ Acer Predator ที่เป็น Gaming Notebook ระดับกลางค่อนสูง
- i7-9750H / RAM 8GB / SSD 512GB / GTX1660Ti / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 46,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB / GTX1660Ti / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 49,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB / GTX1660Ti / 17.3″ 144Hz / Win10 ราคา 49,990
- i7-9750H / RAM 8GB / SSD 512GB / RTX2060 / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 49,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB / RTX2060 / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 51,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB x 2 / RTX2060 / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 54,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB / RTX 2070 / 17.3″ 144Hz / Win10 ราคา 66,990
ASUS ROG Strix G531/G731/Hero III
ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ROG Strix G531/G731/ Hero III เป็น Gaming Notebook ขอบจอบางตัวเครื่องมิติเล็กกระชับทั้ง 3 ด้าน คือ บน ซ้ายและขวา พร้อมตัดกล้องเว็บแคมออกไป คาดว่าจะมาแบบแยกแนวเดียวกับ ASUS Zephyrus S GX701 ส่วนบานพับเป็นแบบ ASUS Zephyrus S GX531 แบบ 2 แกนยกตัวขึ้นมา ที่ทั้ง ASUS ROG Strix G531/G731/ Hero III ได้ทาง BMW Designworks Group มาร่วมออกแบบด้วย เห็นได้ชัดจากชุดระบายความร้อนด้านหลังที่เป็นครีบคล้ายกับเสื้อสูมมอเตอร์ไซต์จาก BMW เรียกได้ว่ายกระดับขึ้นไปอีกขั้น
ที่สำคัญจากรุ่นก่อนที่มี Light Bar ด้านหน้า รุ่นนี้จะได้ไฟ RGB ด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่องเข้ามาด้วย ส่วนไฟ RGB ของคีย์บอร์ดยังเป็นแบบ 4 โซนเช่นเดิม (หรือ Per-Key สำหรับ Hero III) ที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือได้ NumberPad เข้ามาด้วย โดยทัชแพดเองสามารถเปลี่ยนเป็นแป้นตัวเลขได้ จากการที่ตัด Numpad ด้านขวาออกไป พร้อมขยายปุ่มคีย์บอร์ดให้มีความกว้างขึ้น (สำหรับ ASUS ROG Strix G531/ Hero III)
สำหรับ ASUS ROG Strix G531/G731 เป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 15.6″ และ 17.3″ มีน้ำหนักที่ 2.2 กิโลกรัม และ 2.85 กิโลกรัม ตามลำดับ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ Gaming Notebook สายจริงจัง ฟีเจอร์ครบครัน ในราคาที่เหมาะสม พร้อมมีให้เลือกหลากหลายสเปกและราคา ตามความต้องการของแต่ละคน โดยอยู่บนพื้นฐานการออกแบบของตระกูล ROG ที่เน้นสายเกมเมอร์เป็นหลัก แต่ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ อะไรก็แล้วแต่เลย เพราะสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด ทั้งจากฟีเจอร์ ดีไซน์และสเปกแรงๆ ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นเดิมได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากการที่ได้ดีไซน์ สเปก ฟีเจอร์ และราคาที่เหมาะสมที่สุด
สนนราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 27,990 บาท ได้สเปกเป็น Core i5-9300H และการ์ดจอเป็น GTX 1050 ส่วนแรมมีขนาด 8GB พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB เป็นมาตรฐาน หน้าจอเป็น IPS 120Hz 100% sRGB ส่วนรุ่นบนสุดจะเป็นสเปก Core i7-9750H ได้การ์ดจอเป็น RTX2070 หน้าจอเป็น 144Hz 100% sRGB ในราคา 59,990 บาท นับว่าเป็นราคาต่อสเปกที่คุ้มค่ามากๆ
ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจก็จะเป็นระบบระบายความร้อนอย่าง 3D Thermal Design ที่ใส่ทุกอย่างจัดเต็มกว่าทีเคยมีมา ที่แม้สเปกจะแรงขึ้นแต่ก็เย็นกว่าเดิม คีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วยเทคโนโลยี AuraRGB ของทาง ROG แบ่งเป็น 4 โซน ที่สามารถปรับแต่งเองได้ด้วยซอฟต์แวร์ภายใน ให้ความสะดวกด้วยคีย์หลัก QWER ตามสไตล์ MOBA โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.8 มิลลิเมตร แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มิลลิเมตร เข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ การเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB / Gigabit Ethernet / Bluetooth 5.0 / Wi-Fi AC ASUS RangeBoost
โดย ASUS ROG Strix Hero III เป็น Gaming Notebook ที่มีฟีเจอร์และรายละเอียดเพิ่มเติมให้เข้ามา ต่อยอดมาจาก ASUS ROG Strix G531 มีน้ำหนักอยู่ที่ 2.57 กิโลกรัม เน้นสายเกม MOBA มีลวดลายที่แตกต่าง โดดเด่นด้วยไฟคีย์บอร์ด RGB Per-Key ที่เราสามารถปรับแต่ละปุ่มได้สีตามต้องการ นอกจากนี้ ASUS ROG Strix Hero III ยังมาพร้อมความสดใหม่ในส่วนของ ROG Keystone ที่เป็นอุปกรณ์ NFC ประเภทหนึ่ง โดยใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ Armoury Crate เพื่อเข้าถึงข้อมูล Shadow Drive ที่ซ่อนอยู่และโปรไฟล์การตั้งค่าต่างๆ ของเรา
สเปกที่โดดเด่นก็คือ ASUS ROG Strix Hero III จะมาพร้อมสเปกสูงสุดอย่าง Intel Core i9-9980H ที่ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด พร้อมด้วยการ์ดจอรองท็อปอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2070 (8GB GDDR6) ที่สามารถ Overclock เพิ่มไปได้อีก ร่วมกับระบบระบายความร้อนแบบใหม่ที่ดีขึ้น 17% เรียกได้ว่าแม้จะแรงขึ้นแต่ก็เอาอยู่ อีกทั้งได้หน้าจอเป็น 15.6″ Full HD พาเนล IPS ที่ 240Hz 3ms 100% sRGB ที่ต้องบอกว่าเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้แล้ว กับราคา 89,990 บาท
ASUS ROG Strix G531/G731/ Hero III จะมีให้เลือกหลากหลายรุ่น โดยเริ่มต้นเป็น Core i5-9300H หรือ Core i7-9750H รวมถึง Core i9-9980H ส่วนการ์ดจอก็จะมีเลือก อาทิ GTX 1050 / GTX 1650 / GTX 1660Ti / RTX 2060 / RTX 2070 เรียกได้ว่ามากมาย ซึ่งมีรายละเอียดสเปกที่แตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ที่แน่นอนคือได้แรมเป็น 8GB DDR4 และ SSD M.2 NVMe 512GB เป็นมาตรฐาน ส่วนการรับประกันแน่นอนว่าเป็น เวลา 2 ปี พร้อมประกันอุบัติเหตุอีก 1 ปี จากทาง ASUS Thailand ที่เราสามารถส่งได้ตามศูนย์บริการ หรือใครจะสะดวกฝากส่งเคลมตามร้าน 7-11 ทั่วประเทศก็สามารถทำได้เช่นกัน
- G531 – i5-9300H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1050/Win10/120Hz ราคา 27,990 บาท
- G531 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1050/Win10/120Hz ราคา 30,990 บาท
- G531 – i5-9300H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1650/Win10/120Hz ราคา 30,990 บาท
- G531 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1650/Win10/120Hz ราคา 34,990 บาท
- G531 – i5-9300H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1660Ti/Win10/120Hz ราคา 36,990 บาท
- G531 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1660Ti/Win10/120Hz ราคา 40,990 บาท
- G531 – i5-9300H/RAM 8GB/SSD 512GB/RTX2060/Win10/120Hz ราคา 40,990 บาท
- G531 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/RTX2060/Win10/120Hz ราคา 46,990 บาท
- G731 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/RTX2060/Win10/144Hz ราคา 49,990 บาท
- G731 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/RTX2070/Win10/144Hz ราคา 59,990 บาท
- Hero III – i7-9750H/RAM 16GB/SSD 512GB/RTX2070/Win10/240Hz ราคา 55,990 บาท
- Hero III – i9-9980H/RAM 16GB/SSD 512GB/RTX2070/Win10/240Hz ราคา 89,990 บาท
ASUS ROG Zephyrus S GX502
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 Glacier Blue จัดว่าเป็น Gaming Notebook สายบางเบาที่สุดในโลกรุ่นล่าสุด ที่ได้สีสันที่แตกต่าง ต่อยอดมาจากรุ่นก่อนที่เป็น สีดำ Brushed Black รุ่นที่นำมารีวิวเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H การ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce RTX 2060 สเปกอื่นๆ จัดเต็มด้วยแรมขนาด 16GB และได้ SSD M.2 NVMe ที่ 512GB พร้อมหน้าจอ IPS 240Hz โดยมีราคาอยู่ที่ 59,990 บาท (หรือรุ่นการ์ดจอ RTX 2070 จะมีราคาอยู่ที่ 69,990 บาท) ได้ประสิทธิภาพความแรงที่พอตัว เล่นเกมได้ลื่นๆ ทุกเกมแน่นอน
เรียกได้ทำให้เป็น Gaming Notebook ที่ตอบโจทย์ทุกๆ การใช้งานอย่างแท้จริง โดยได้ทั้งประสิทธิภาพที่ทรงพลังและน้ำหนักตัวเครื่องที่บางเบาไปพร้อมๆ กัน โดยบางสุดเพียง 18.9 มิลลิเมตร และเบาเพียง 2.0 กิโลกรัมเท่านั้น ใครจะเอาไปเล่นเกมก็เยี่ยมยอดจากสเปกที่แรงลื่น หรือเอาไว้ทำงานก็สบายๆ ด้วยดีไซน์ที่พกพาสะดวก นอกจากนี้ฟีเจอร์อื่นๆ ก็ยังจัดเต็ม ซึ่งในซีรีส์ ZEPHYRUS ที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมสายบางเบา
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 มาพร้อมแรงบันดาลใจจาก ASUS ROG ZEPHYRUS Series รุ่นต่างๆ มาต่อยอดรวมกัน ที่มีความโดดเด่นแต่ไม่เตะตาจนเกินไป ตัวเครื่องนั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง เรียกได้ว่าแทบไม่มีความโค้งเว้าใดๆ ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุโลหะที่แข็งแรงทนทานอย่างแม็กนีเซียมอัลลอยด์และพลาสติก มาในโทนสีสันฟ้าอ่อนๆ ออกสีเงินตลอดทั้งตัวเครื่อง ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดีมีคำว่า ZEPHYRUS
ซึ่งฝาหลังจะถูกออกแบบให้มีความเรียบง่ายด้วยลวดลายโลหะแบบขัดลายตลอดทั้งฝาหลัง ซึ่งมีการแบ่งออกเป็น 2 โซน พร้อมด้วยด้วยโลโก้ ROG สีเงินที่มีไฟสีแดง LED ที่จะติดก็ต่อเมื่อเปิดเครื่อง ถือว่าหลายส่วนนั้นเป็นการต่อยอดมาจาก ROG รุ่นก่อนหน้า แถมทำได้ดีกว่าเพราะเป็นการพัฒนาต่อยอด ด้วยชิ้นส่วนประกบทั้งด้านบนและล่างถูกขึ้นรูปอย่างบรรจงจากแม็กนีเซียมอัลลอยด์ที่มีความแข็งแกร่ง ให้ความทนทานและหรูหราไปพร้อมๆ กัน ทั้งหมดนี้จากกระบวนการขึ้นรูป CNC ด้วยเครื่องจักรที่ทำได้ยาก
จุดเด่นที่สุดซึ่งนั่นเป็นความภูมิใจของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 Glacier Blue ที่เป็น Gaming Notebook ตัวบางเบาแต่ประสิทธิภาพความแรงไม่แพ้โน๊ตบุ๊ครุ่นที่หนาๆ หนักๆ เลย จากการติดตั้งการ์ดจอระดับบนอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 (หรือ RTX 2070) ที่ตอบสนองทั้งการเล่นเกมระดับ AAA ที่ลื่นไหล รวมไปถึงการประมวลผลหนักๆ อย่างงานประมวลผล 3 มิติ ซึ่งตัวเครื่องของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 นั้นจะมีความบางอยู่ที่ 18.9 มิลลิเมตรเท่านั้น พกพาใส่กระเป๋าเป้ได้สะดวกสบายไม่เป็นรอง Ultrabook เลยล่ะ
แถมน้ำหนักของตัวเครื่องก็อยู่ที่ 2 กิโลกรัม ทำให้เป็นโน้ตบุ๊ตเล่นเกมการ์ดจอตัวแรงที่สามารถพกพาได้สะดวกมากๆ ไม่ต่างจากโน๊ตบุ๊คสายบางเบาที่เน้นการพกพาเลย แต่นี่ได้ความแรงกราฟิกแบบเหลือเฟือด้วย อย่างที่โน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ทั่วไปไม่เคยให้ได้มาก่อน เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทั้งเรื่องการเล่นเกมสมกับ ROG พร้อมด้วยการทำงานแบบจริงจังจบในเครื่องเดียว ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ รวมไปถึงพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่องวัสดุพลาสติกที่แข็งแรงงานประกอบเรียบร้อย ที่สำคัญคือมีนวัตกรรมของระบบระบายความร้อนแบบอากาศพลศาสตร์ (Active Aerodynamic System – AAS) เปิดช่องว่างให้อากาศไหลเวียนมากขึ้นถึง 22% พร้อมไฟ RGB ส่องสว่างออกมาเมื่อเปิดฝาขึ้น ตัวเครื่องจะยกขึ้นเพื่อเพิ่มอากาศเย็นไหลผ่านผ่านโดยมีช่องดูดลมเย็นอีก 3 ช่องด้านล่างใต้เครื่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีก ติดตั้งด้านหลังด้วยช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ 4 ช่อง (หลัง 2 ช่อง และซ้ายขวาอย่างละช่อง) หนาแน่นด้วยฟินกว่า 205 ครีบ
พร้อม 2 สองพัดลมขนาดใหญ่ ที่มีกว่า 83 ใบ ทำงานร่วมกับฮีตต์ไปป์ 6 เส้น พร้อมช่องไล่ฝุ่น Anti-Dust Cooling ส่งผลให้ไม่มีความร้อนสะสมขึ้นในอนาคต โดยมีซอฟต์แวร์ ROG Armory Crate สามารถสลับระหว่างโหมดการทำงานของพัดลม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดเสียงรบกวนจากพัดลมได้เป็นอย่างดีรวมๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง ASUS นั้นใส่ใจในการออกแบบมาจริงๆ
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 สี Glacier Blue / สีดำ Brushed Black มีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H รุ่นยอดนิยม ทำงานความเร็ว 2.6 – 4.5 GHz แบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด แตกต่างกันที่การติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2060 หรือ RTX 2070 (รุ่นที่ได้รับมารีวิว) ให้ความแรงที่พอเพียงเหลือเฟือในการเล่นเกมทุกเกมบนโลกแบบลื่นไหล ส่วนของแรมมีขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz มีที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 NVMe PCIE 3.0 ความจุ 512GB หน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS รองรับ 240Hz 3ms ทำงานมืออาชีพ เล่นเกมตอบสนอง
ความบางสุดของตัวเครื่องเพียง 18.9 มิลลิเมตร และเบาเพียง 2.0 กิโลกรัมเท่านั้น เมื่อรวมกับอแดปเตอร์ไม่เกิน 2.5 กิโลกรัมแน่นอน ถ้าลองย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อละว่าจะมี Gaming Notebook ที่เบาและบางขนาดนี้ออกมาให้เราได้เห็นกัน โดยพอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB 3.1 Type-A, USB 3.1 Type-C, Mini DisplayPort, HDMI
พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 ac 2×2 (Wi-Fi 5) สนนราคา ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 Glacier Blue เหมือนกันกับรุ่นที่เป็นสี Brushed Black โดยอยู่ที่ 59,990 – 69,990 บาท แบ่งเป็น 2 รุ่นชัดเจนคือ RTX 2060 / RTX 2070 ได้ประกัน 2 ปี สามารถเคลมฝากผ่านร้าน 7-11 ได้ และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก เพียงแค่ลงทะเบียนในเว็บไซต์เท่านั้น
- Core i7-9750H + RTX 2060 + RAM 16GB + SSD 512GB ราคา 59,990 บาท
- Core i7-9750H + RTX 2070 + RAM 16GB + SSD 512GB ราคา 69,990 บาท
MSI P65 Creator
สำหรับ MSI P65 Creatorn ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานสเปกแรงที่เน้นความบางเบารุ่นล่าสุดอีกรุ่นหนึ่ง ในเรื่องของสีสันที่เป็นสีขาวสะอาดตาพร้อมแซมด้วยสีเงินดูหรูหรา โดยเน้นความบางเบาเช่นกัน ในเรื่องของการดีไซน์ที่เน้นความบางเบา พกพาได้สะดวก ด้วยความบางของตัวเครื่องเพียง 17.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 1.88 กิโลกรัม ทำให้พกพาไปใช้งานได้สบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันมีพลังด้วยวัสดุอะลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง
โดยการออกแบบและดีไซน์ทั้งหมดมีการใช้สีสันเป็นสีขาวแบบด้านกับพื้นผิวเรียบๆ ตั้งแต่ตัวเครื่องด้านนอกด้านใน พร้อมโลโก้ที่เป็นแบบฝังเรียบมากับฝาหลัง ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ช่องระบายความร้อน ก็จะเป็นสีทองที่เป็นวัสดุอะลูเนียมเกือบทั้งหมด (บางส่วนมีแซมด้วยพลาสติกบ้าง เช่น ขอบจอด้านใน) ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่ต้องโน๊ตบุ๊คนั้นส่วนมากเป็นสีดำ ที่ดูแล้วสีทองที่ใช้ดูมีความทันสมัย ความสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจกับคนรุ่นใหม่มากกว่า
ด้านฐานล่างตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมเรียบๆ พร้อมมียางรองขนาดใหญ่ 2 จุด ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องถูกติดตั้งอยู่เหนือชุดแป้นคีย์บอร์ด พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน พร้อมการติดตั้งช่องลมโปร่งขนาดใหญ่เพื่อให้ช่วยระบายความร้อนที่ดีกว่าเดิม ส่วนมุมซ้ายล่างคีย์บอร์ดจะเป็นโลโก้ Prestige ที่บ่งบอกถึงซีรีส์
MSI P65 Creator ยังใช้เทคโนโลยี Cooler Boost Trinity เหมือนกับ MSI GS65 ที่เป็นชุดระบายความร้อนแบบพัดลม 3 ตัว ซึ่งมีช่องระบายอากาศถึง 5 จุด อยู่ทางด้านหลังและด้านข้างของตัวเครื่อง เป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผล (พัดลม 1 ตัว) และกราฟิกการ์ด (พัดลม 2 ตัว)
ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 4 เส้น ที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ ถึง 45% หายห่วงได้เลยในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะเล่นเกมหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม จากการที่สเปกตัวเครื่องแรงมากเหมือนเทียบกับความบาง ตรงนี้เลยเป็นเรื่องที่สำคัญ ส่วนที่พักมือและเนื้องานรอบแป้นพิมม์ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมเช่นกัน ที่สำคัญไม่พูดไม่ได้เลยกับขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัดที่ 4.9 มิลลิเมตร ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ดูได้จากกล้องเว็บแคมถูกติดตั้งลงไปบนขอบที่บางมากๆ
คีย์บอร์ดของ MSI P65 Creator เห็นแล้วต้องบอกว่า ยกชุดมาจาก MSI GS65 เลยก็ว่าได้ ด้วยปุ่มที่มีขนาดใหญ่พิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากๆ (ใช้แรกๆ จะรู้สึกแปลกๆ หน่อย) ที่แม้ไม่ใช่แบรนด์ SteelSeries แต่ก็ให้อารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มแต่ละปุ่มได้ใกล้เคียง มาพร้อมไฟ LED สีขาวสวยงาม ที่ดูแล้วหรูหราเข้ากับตัวเครื่อง อย่างไรก็ตาม ได้มีการตัดชุด Numpad ออกไปเลย จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่เล็กลงนั่นเอง ตรงนี้ใครเคยชินว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ต้องมี Numpad ก็อาจจะต้องปรับตัวกันหน่อย
ทัชแพดมีขนาดใหญ่ โดยดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง ตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดี ส่วนปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็อาจจะมีความแข็งพอดีๆ การใช้งานโดยจัดได้ว่าอยู่ในระดับทั่วไป ใช้งานได้สะดวกสำหรับการวางบนตัก หรือเล่นในร้านกาแฟ โดยการควบคุมมีการตอบสนองได้ดี นอกจากนี้ยังมีการติดตั้ง Finger Print สแกนลายนิ้วมือไว้มุมซ้ายบน โดยเข้าใช้งานผ่านทาง Windows Hello ตามมาตรฐาน Windows 10
MSI P65 Creator ถูกแบ่งออกเป็น 2 รุ่นด้วยกัน รุ่นท็อปจะมาพร้อมสเปก Intel Core i7- 9750H และการ์ดจอตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 (6GB GDDR6) ได้แรมมาเป็น 32GB DDR4 (16GB x 2) ที่สำคัญคือหน้าจอจะเป็นแบบ IPS คุณภาพสูงสุด ที่ความละเอียด 4K Ultra HD 60Hz เรียกได้ว่าสุดทางไปเลย มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต ใส่มา 1TB ที่ 1 แถว สนนราคาที่ 75,900 บาท
ส่วนอีกรุ่นจะเป็น MSI P65 Creator ราคา 52,900 บาท ที่สีสันจะเป็นสีเงิน Silver ตลอดทั้งตัวเครื่อง ใช้ชิปประมวลผลเหมือนกันคือเป็น Intel Core i7- 9750H (2.60 – 4.50 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ ได้การ์ดจอที่แรงไม่แพ้กันเท่าไรอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti (6GB GDDR6) มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แบบ DDR4
ส่วนจอแสดงผลแบบด้าน 15.6 นิ้ว ของ MSI P65 Creator มีความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS โดยเหนือชั้นกว่าเพราะรองรับที่ 144Hz หรือความละเอียด 4K Ultra HD 60Hz พร้อมเทคโนโลยี MSI True Color Technology ปรับโปรไฟล์สีให้ตรงกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ และตัวเครื่องยังมีลำโพงจากแบรนด์ Dynaudio พร้อมซอฟแวร์เสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 ขับเสียงได้ดียิ่งกว่า มาพร้อม Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที รับประกันมาตรฐาน MSI ระยะเวลา 2 ปีเต็ม
- i7-9750H + RTX 2060 + RAM 32GB + SSD 1TB + Ultra HD 60Hz ราคา 75,900 บาท
- i7-9750H + GTX 1660 Ti + RAM 16GB + SSD 512GB + Full HD 144Hz ราคา 52,900 บาท
Acer ConceptD 7
Acer ConceptD 7 เป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานสร้างสรรค์ระดับมืออาชีพ ที่มาพร้อมสเปก Core i7-9750H + Quadro RTX 5000 ดีไซน์ใหม่ขอบจอบางเฉียบ วัสดุเป็นอลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง ทั้งฝาหลัง ด้านนอก ด้านใน ใต้เครื่อง การออกแบบก็สวยล้ำ เน้นความพรีเมียมในดีไซน์ที่เรียบง่าย มาพร้อมหน้าจอ 15.6″ ความละเอียด 4K Ultra HD พาเนล IPS เกรดสูง ระดับ 100% Adobe RGB หลักๆ คือเน้นความเป็นมืออาชีพ เรียกได้ว่าจัดเต็มจริงๆ สำหรับ ConceptD ที่เป็นโน๊ตบุ๊คซีรีส์ใหม่จากทาง Acer หลักจากที่ประสบความสำเร็จจาก Aspire / Swift / Nitro / Predator มาแล้ว
สำหรับสเปกอื่นๆ นอกเหนือจากชิปประมวลผลและการ์ดจอแล้ว ยังจัดเต็มด้วยแรมขนาด 32GB DDR4 และได้แหล่งเก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 1TB พร้อมรองรับ HDD 2.5″ ปกติก็ยังมีติดตั้งให้อยู่ คาดว่าจะมาพร้อมการรับประกัน 3 ปี แบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน หรือส่งศูนย์เองก็ซ่อมด่วนใน 3 ชั่วโมงด้วย ตามมาตรฐานของ Acer ด้วย
Acer ConceptD 7 เพราะมาพร้อมกับสเปกใหม่ล่าสุดด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 9 อย่าง i7-9750H (2.60 – 4.50 GHz) ทำงานแบบ 6 Core/12 Thread ปที่สำคัญได้การ์ดจอรุ่นใหม่สายทำงานระดับมืออาชีพมาเสริมทัพอัพเดทอย่าง NVIDIA Quadro RTX 5000 (16GB GDDR6) ที่เป็นรุ่นใหม่ของ Quadro RTX รองรับ Ray-Tracing เหมือนอย่าง GeFoece RTX เน้นความแรงในการประมวลผลภาพ 3 มิติ หรืองานดีไซน์อื่นๆ รวมไปถึงใช้งานทางด้านการตัดต่อสื่อวีดีโอและภาพถ่ายโดยเฉพาะ ซึ่งประสิทธิภาพพอๆ กับ RTX 2080 ทีเดียวสำหรับการเล่นเกม
พร้อมติดตั้ง SSD แบบ M.2 PCIe จำนวน 2 ช่องอีกด้วย ใส่มาแล้ว 512GB จำนวน 2 ตัว และมีฮาร์ดดิสก์ปกติ HDD 2.5″ มาให้ ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 32GB แบบ DDR4 Bus 2666 ที่เป็นแบบ 16GB x 2 แถว โดดเด่นด้วยจอแสดงผลแบบด้าน 15.6″ ความละเอียด 4K Ultra HD ที่ 3840 x 2160 พิกเซล พาเนล IPS แบบ 60Hz เกรดสูง มาตรฐาน Pantone validated ค่าสีคลาดเคลื่อนที่ Delta E < 1 ขอบเขตสีระดับ 100% Adobe RGB ให้สีสันที่สวยงามเที่ยงตรงแบบสุดๆ และในส่วนของระบบเสียงเป็นลำโพงแบบสเตอริโอ 2.0 ให้เสียงที่ดีในระดับที่น่าพอใจ ประกอบกับมีซอฟต์แวร์จัดการเสียงอย่าง Wave MaxxAudio ทำให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขั้นไปอีก
ตัวหน้าจอยังมาพร้อมกล้อง Webcam แบบ HD และมีไมค์ดิจิตอล 2 ตัวแบบตัดเสียง ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง HDMI, 2 x USB 3.1 Type-A, 1 x USB 2.0 Type-A, 1 x USB 3.1 Type-C, Kensington Lock, 2-in-1 SD, RJ-45 (KillerTM Ethernet E2500) , Headset 3.5mm พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 Intel Dual Band MU-Mimo มาตรฐาน AX คาดการณ์ว่าตัวขายจริงจะมีการประกัน On-site Service ถึง 3 ปีเต็ม ส่วนราคาอยู่ที่ 119,990 บาท
การดีไซน์ออกแบบ หลักๆ Acer ConceptD 7 ยังมีทรงคล้ายๆ กับ Acer Predator Triton 500 แต่เป็นสีขาวเนียนตา เรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเลยดีกว่า ซึ่งจากการที่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมตลอทั้งตัวเครื่องทำให้ดูแข็งแรงทนทานและหรูหรา รวมไปถึงการพกพาก็สะดวก ด้วยหน้าจอขอบบางทำให้แม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอขนาด 15.6″ แต่มิติตัวเครื่องโดยรวมใกล้เคียงกับโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ แบบเดิมๆ ทีเดียว จากการที่ขอบหน้าจอที่บางเฉียบพื้นที่แสดงผลเป็น 81% ส่งผลให้มิติโดยรวมตัวเครื่องทั้งหมดมีขนาดที่เล็กกระชับ มีความบางที่ 17.9 มิลลิเมตรเท่านั้น นับว่ามีความบางเบากว่ารุ่นก่อนมาก รวมไปถึงการพกพาก็สะดวกยิ่งขึ้น กับน้ำหนักเบาเพียง 2.1 กิโลกรัม
สีสันก็ยังคงเอกลักษณ์สีขาวด้านๆ ทั้งตัวเครื่อง ทำให้ดูเรียบง่ายเรียบเนียนสวยงาม พร้อม DNA ในการตัดมุมตัวเครื่อง โดยฝาหลังของ Acer ConceptD 7 เป็นอลูมิเนียมดูสวยงามพรีเมียมซึ่งไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลย นอกจากขอบฝาด้านบนจะเป็นคำว่า ConceptD ส่วนด้านในเหนือคีย์บอร์ดก็เป็นอีกจุกที่มีความว่า ConceptD เรียกได้ว่าไม่มีคำว่า Acer อยู่เป็นตัวเครื่องเลย ทำให้แตกต่างจากโน๊ตบุ๊คของทาง Acer ที่เป็นรุ่นอื่นๆ ชัดเจนทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Aeroblade 3D Fan รุ่นที่ 4 ที่เป็นใบพัดลมแบบพิเศษเอกสิทธิ์เฉพาะ Acer เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาได้นำไปใช้กับ Gaming Notebook ระดับสูงอย่าง Predator รุ่นต่างๆ ทำงานร่วมกับช่องระบายความร้อนด้านหลัง 2 ช่อง พร้อมด้านข้างทางซ้ายขวาอีกอย่างละช่อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ แม้จะทำงานหนักหน่วงแค่ไหนก็เอาอยู่ ส่งผลให้ตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไป ที่สำคัญคือ เสียงของพัดลมจะมีความดังไม่เกิน 40dBA ทำให้เมื่อเรานำไปใช้งานนอกสถานที่แล้วจะไม่มีเสียงรบกวนที่ดังเกินไปนั่นเอง
มีตัวเครื่องที่มาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ถึง 15.6”ขอบหน้าจอบางก็จริง แต่ก็ยังสามารถที่จะติดตั้งคีย์บอร์ดแบบ Full Size มาให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันได้อย่างสบายๆ ที่มาพร้อมปุ่มแป้นคีย์ตัวเลข (Numpad) โดยตัวปุ่มจะเป็นสีดำ มีฟอนต์เป็นสีขาวรวมไปถึงแป้นปุ่มตรงตัวอักษร WASD และปุ่มทิศทาง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ Backlit สีส้มที่ดูแล้วโดดเด่นและแตกต่าง ที่ให้ความสว่างพอสมควรดูเป็น Gaming Notebook สวยงาม เอามาเล่นตอนกลางคืนสบายๆ อีกทั้งเรื่องการกดการสัมผัสบนคีย์บอร์ดที่ปุ่มมีความนุ่มติดมือ รู้สึกได้เลยว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปแน่นอน
ในส่วนทัชแพดนั้นจะมีขนาดใหญ่พอดีๆ ออกแบบปุ่มมาเป็นแบบชิ้นเดียวซ่อนปุ่มตามสมัยนิยมทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา มีขอบเป็นสีเงินสวยงาม ให้ความลื่นไหลในการใช้งานเป็นอย่างดี ซึ่งตัวทัชแพดจะวางตัวไปทางด้านซ้ายของเครื่องเล็กน้อยไม่ได้อยู่ตรงกลางหน้าจอเป๊ะๆ โดยรวมก็สามารถใช้งานได้ดีไม่ปัญหาแต่อย่างใด
ASUS ZenBook Pro Duo UX581
ASUS ZenBook Pro Duo UX581 ที่จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊ค 2 จอสุดล้ำ ถือว่าเป็นสุดยอดโน๊ตบุ๊คแห่งปี 2019 ก็ว่าได้ ซึ่งมาพร้อมกับ ScreenPad Plus กับหน้าจอที่สอง ต่อยอดมาจากปีก่อนอย่าง ScreenPad ที่ทัชแพดเป็นหน้าจอที่สอง มาพร้อมสเปกแรงลื่นด้วย Intel Core i7-9750H + GeForce RTX 2060 + RAM 32GB + SSD 1TB พร้อมจอ OLED 4K ขนาด 15.6″ + 14″ IPS รองรับการทัชสกรีนทั้งคู่ และมีปากกาในชุดบันเดิลทันที ในราคา 89,990 บาท ส่วนรุ่นสเปกที่ได้เป็น Core i9-9980HK จะมีราคาอยู่ที่ 109,990 บาท ประกัน 2 ปีตามสไตล์ของ ASUS
การมาของ ASUS ZenBook Pro Duo UX581 ทำเอาตลาดโน๊ตบุ๊คสั่นสะเทือนกันอีกครั้ง โดยเป็นโน๊ตบุ๊คที่รองรับการทำงานที่หลากหลายพร้อมๆ กันอย่างแท้จริง ด้วย ScreenPad Plus โดยที่เราไม่จำเป็นต้องหาหน้าจอภายนอกมาเชื่อมต่อแต่อย่างใด เป็นหน้าจอขนาดใหญ่ โดยอยู่ใต้หน้าจอหลัก ส่วนการใช้งานก็หลากหลายมากๆ จะเป็นหน้าจอที่สองเปิดโปรแกรมเพิ่ม หรือจะใช้งานเป็นส่วนของเครื่องมือโปรแกรมนั้นๆ รวมไปถึงลงแอปเพิ่มเติมได้อีก ทำให้ในการใช้งานของเรานั้นมีความหยืดหยุ่นกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีโน๊ตบุ๊คตัวไหนบนโลกทำได้มาก่อน
ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ZenBook Pro Duo UX581 นั้นจะดูเล็กกว่าและบางกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ อยู่พอสมควร โดยมีน้ำหนักเบาทเพียง 2.5 กิโลกรัม และเนื่องด้วยมีขอบจอที่ค่อนข้างบางตามสไตล์ NanoEdgeทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพาสะดวกสบาย แม้จะไม่ได้เบาที่สุดๆ แต่ได้ฟีเจอร์จัดเต็มแบบไร้คู่แข่ง เพราะในตลาดตอนนี้แนวคิด 2 หน้าจอแบบนี้มีเพียง ASUS เท่านั้น
ส่วนงานประกอบก็เป็นแบบ Unibody ที่แทบจะไร้รอยต่อเลยทีเดียว พร้อมตัดขอบตัวเครื่องรอบๆ แบบ Daimond Cutting ขอบตัวเครื่องด้านหลังมีความสวยงามเรียบง่ายแต่ดูแพง โดยมีการเพิ่มคำว่า ZenBook Series ลงไป ส่วนขอบด้านหน้าก็ทำมิติเพื่อให้เปิดจอได้ง่าย พร้อมกับติดตั้งไฟ LED หลากสีแสดงสถานะการทำงานเอาไว้ด้วย โดยสามารถใช้กับ Alexa ได้อีกด้วย
ซึ่งการออกแบบออกมาได้ดูทันสมัยและเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของมุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบมุมเป็นเหลี่ยม มิติโดยรวมเป็นแบบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนให้ผิวสัมผัสที่ดี รวมถึงแกนพับหน้าจอขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางดูแข็งแรงทนทานสุดๆ เลยทีเดียว ที่สำคัญเลือกใช้สีสันเป็น Celestial Blue ลักษณะสีน้ำเงินพร้อมแซมด้วยสีเงินลงไปที่ไม่เหมือนใคร ส่วนวัสดุงานประกอบจะเป็นอลูมิเนียมเกรดสูงทั้งหมดพร้อมความทนทานระดับ Military Standard ด้วยการผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด
ตัวเครื่องภายนอกทั้งฝาหลังและด้านล่างตัวเครื่องวัสดุจะเป็นอลูมิเนียมทั้งหมด ซึ่งโลหะเกรดนี้มีความแข็งแรงมากกว่าโลหะอัลลอยธรรมดาแสดงถึงความเอาใจใส่ในรายละเอียดของการดีไซน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฝาหลัง ตัวเครื่องด้านใน และใต้ตัวเครื่อง ทำให้มีทั้งความแข็งแรในด้านดีไซน์ฝาหลังใช้ลวดลายเป็นวงกลมล้อมรอบโลโก้ ASUS แต่ถูกขยับไปทางด้านขวา มีอีกจุดที่ทำมาได้น่าสนใจมากคือบานพับแบบ ErgoLift ที่เมื่อกางหน้าจอออก ตัวบานพับก็จะหนุนเครื่องให้ลาดเอียงขึ้นไปอีก (ทำมุมได้สูงสุดในทุกรุ่น)
ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการใช้พิมพ์งาน รวมถึงยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน และช่วยเพิ่มพลังเสียงให้กับลำโพงภายในจาก Harman / Kardon ได้อีกด้วย ส่วนช่องระบายอากาศก็จะมีอยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาของตัวเครื่อง พร้อมซ่อนอยู่ใต้หน้าจออีก 1 แถวยาว โดยเป็นช่องที่ใช้ระบายความร้อนจากภายใน ส่วนช่องดูดลมจากภายนอกเข้าไปข้างในจะอยู่ที่ฝาด้านล่างของตัวเครื่อง
ในเรื่องของสเปก ASUS ZenBook Pro Duo UX581 นั้น แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือรุ่น ชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H และ Core i9-9980HK ที่ในเรื่องของประสิทธิภาพความแรงหายห่วงได้ เมื่อเล่นเกมหรือประมวลผลหนักๆ รวมถึงรองรับการทำงานที่หลากหลายพร้อมๆ กันก็ทำได้อย่างดีที่สุด ซึ่งรุ่นที่เราได้รับมาทดสอบนั้นเป็นรุ่น Intel Core i7-9750H สนนราคาที่ 89,990 บาท ส่วนรุ่น Core i9-9980HK จะมีราคาอยู่ที่ 109,990 บาท โดยแตกต่างกันแค่สเปกของชิปประมวลผลเท่านั้น
ส่วนสเปกอื่นๆ เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นการ์ดจอแยกที่ติดมาให้นั้นจะเป็น NVIDIA GeForce RTX2060 (6GB GDDR6) ที่มีความแรงพอตัว เล่นเกมได้ลื่นและสนับสนุนหน้าจอความละเอียดสูง แรมก็ให้มา 32GB DDR4 แบบ 16GB x 2 ส่วน SSD M.2 NVMe มีมาให้ความจุ 1TB ทั้งใหญ่และแรง โดยตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit มาให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานหรูหราระดับสูงสุดของทาง ASUS ก็ว่าได้
ที่สำคัญเลยก็คือใช้จอหลักเป็นมาตรฐานใหม่ OLED ขนาด 15.6″ ที่แสดงสีสันได้ดีเยี่ยมสุดของหน้าจอปัจจุบัน บนความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล มาตรฐาน Ultra HD 4K และจอที่สอง ScreenPad Plus ได้ขนาดที่ 14″ บนความละเอียด 3840 x 1100 พิกเซล ซึ่งทั้ง 2 หน้าจอนี้รองรับการทัชสกรีนจากนิ้ว และปากกาไว้วาดขีดเขียนจากทาง ASUS ที่บันเดิลมาด้วย
ส่วนเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้น มีมาอย่างครบครัน ทั้ง USB 3.1 Type-A จำนวน 2 พอร์ต, HDMI, ช่องต่อหูฟัง และ Thunderbolt 3 อีก 1 พอร์ต ส่งผลให้การใช้งานนั้นครอบคลุม ที่สำคัญยังมาพร้อมการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX และ Bluetooth 5.0 รุ่นล่าสุดดีที่สุด แน่นอนว่ามาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ ส่วนการรับประกันมีระยะ 2 ปีตามมาตรฐาน ASUS พร้อมประกันอุบัติเหตุใน 1 ปีแรกอีกด้วย
- Core i7-9750H / RTX 2060 / RAM 32GB / SSD 1TB / Windows 10 ราคา 89,990 บาท
- Core i9-9980HK / RTX 2060 / RAM 32GB / SSD 1TB / Windows 10 ราคา 109,990 บาท
นอกจากนี้ ASUS ZenBook Pro Duo UX581 ยังบันเดิลของมาสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น Plam Rest ที่รองข้อมือต่อจากแป้นคีย์บอร์ดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีแท่นรองตัวเครื่องที่สามารถพับเก็บไปมาได้ โดยออกแบบมาไม่ให้บังช่องลมด้านใต้ตัวเครื่อง บอกได้เลยว่า ASUS ใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ
Acer Nitro 5
Acer Nitro 5 เพราะมาพร้อมกับสเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 9 อย่าง Core i5-9300H หรือ i7-9750H ที่สำคัญได้การ์ดจอรุ่นใหม่มาเสริมทัพอัพเดทอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti/1650 ที่เป็นรุ่นใหม่ของ GTX เน้นความแรงและคุ้มค่าเป็นหลัก รวมไปถึงยังมีการ์ดจอ GTX 1050 รุ่นใหม่แต่ปรับสเปกเป็น 3GB GDDR5 เป็นตัวเลือกอยู่ (เดิมเป็น 4GB GDDR5)
ส่วนสเปกอื่นๆ มีทั้งรุ่นมีที่เก็บข้อมูลฮาร์ดดิสก์ HDD ความจุ 1 TB หรือรุ่นที่ใส่ SSD M.2 NVMe ที่ 512GB มาเลย (รองรับใส่ได้ 2 ช่อง) หรือใส่ทั้งคู่มาเลย ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8GB – 16GB แบบ DDR4 Bus 2666 สามารถอัพเกรดได้สูงสุด 32 GB อีกทั้งมีทั้งรุ่นหน้าจอพาเนล IPS ที่ 60Hz และ 144Hz มาให้เลือกด้วย ตามแต่ความต้องการ เรียกได้แบ่งรุ่นออกเยอะเหมือนกัน ยังไงให้แนะนำคือ ควรซื้อรุ่นที่มี SSD มาเลย ไม่ก็ซื้อแล้วต้องอัพเกรดให้มี SSD ทันที
Acer Nitro 5 สเปกการ์ดจอ NVIDIA มีราคาเริ่มต้นที่ 23,990 บาท ไปจนถึง 36,990 บาท ทุกรุ่นประกัน 3 ปี On-site Service ทั้งหมด แบ่งสเปกราคาตามนี้
- Core i5-9300H / GTX 1050 / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 23,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1650 / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 25,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1050 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 60Hz ราคา 26,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1650 / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 144Hz ราคา 27,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1650 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 144Hz ราคา 28,990 บาท
- Core i7-9750H / GTX 1050 / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 31,990 บาท
- Core i5-9300H / GTX 1660Ti / RAM 8GB / HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 32,990 บาท
- Core i7-9750H / GTX 1650 / RAM 8GB / SSD 128GB + HDD 1TB / จอ 60Hz ราคา 35,990 บาท
- Core i7-9750H / GTX 1650 / RAM 16GB / SSD 128GB + HDD 1TB / จอ 144Hz ราคา 36,990 บาท
เรื่องของการดีไซน์ออกแบบ Acer Nitro 5 มีการปรับให้ตัวเครื่องมีความเล็กกระชับขอบจอบาง ส่งผลให้ตัวเครื่องมีความบางเบากว่าเดิมแน่นอน รวมไปถึงการพกพาก็สะดวกยิ่งขึ้น หน้าจอ 15.6″ พาเนล IPS ขอบจอบางเพียง 7.18 มิลลิเมตร พื้นที่สัดส่วนกว่า 80% ทำให้มีขนาดเครื่องพอๆ กับโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ แบบก่อน ที่น้ำหนักตัวเครื่อง 2.3 กิโลกรัม โดยมีรุ่นหน้าจอ Refresh Rate ที่ 60Hz และ 144Hz ให้เลือกตามความต้องการ วัสดุของตัวเครื่องทั้งหมดจะเป็นพลาสติกเกรดดี
สำหรับสีสันก็ยังคงเอกลักษณ์สีดำแซมด้วยสีแดงเอาไว้อยู่ อย่างโดดเด่นและสวยงาม ที่ต้องว่า Acer Nitro 5 ฝาหลังจะมีลักษณะลวดลายผิวไม่เรียบบริเวณด้านข้างซ้ายและขวา ฝาบนจะโลโก้คำว่า Acer สีดำคมเข้มไม่ธรรมดา ผิวฝาบนพื้นผิวเป็นพลาสติกมีสีดำด้านให้สัมผัสดีมีคุณภาพสูง พร้อมมีเกล็ดเล็กๆ แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นรอยนิ้วมือง่ายนิดหนึ่ง ซึ่งคงต้องหมั่นคอยเช็ดทำความสะอาดสักหน่อย เวลามือมีเหงื่อออกแล้วไปจับ รวมไปถึงขอบตัวเครื่องบริเวณฝาพับ Acer Nitro 5 จะเป็นสีแดงพร้อมกับมีคำว่า Nitro เอาไว้ โดยสามารถกางหน้าจอได้มากกว่า 145 องศาทีเดียว
ทางด้านหลังตัวเครื่องก็จะมีช่องระบายความร้อน 1 ช่องขนาดใหญ่ทางซ้ายเห็นเป็นลักษณะของฟินสีดำสนิท ส่วนช่องทางขวาจะเป็นช่องที่ดีไซน์คล้ายกันเป็นตะแกรงสีดำ แต่ไม่มีพัดลมติดตั้งอยู่ พร้อมแกนฝาพับจะเป็นสีแดง พร้อมมีตัวอักษรเขียนไว้ว่า Nitro แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น ซึ่งดูสวยงามโดดเด่นมากเลยทีเดียว มีการติดตั้งปุ่ม Power ไว้มุมขวาบนสุดของชุดคีย์บอร์ด รวมไปถึงยังมีการติดตั้งปุ่ม NitroSense ไว้เหนือแป้นตัวเลขด้วย กดใช้งานได้สะดวกดี
Acer Nitro 5 มีเทคโนโลยี Acer CoolBoost และช่องระบายความร้อนคู่ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ โดยมีช่องระบายความร้อนด้านหลังแถวยาว 1 แถวและช่องด้านข้างทางขวาอีก 1 ช่อง เมื่อมีการใช้งานที่หนักหน่วง CoolBoost จะเพิ่มความเร็วพัดลมมากขึ้น 10% และการระบายความร้อน CPU/GPU มากขึ้น 9% เมื่อเทียบกับโหมดอัตโนมัติ (ตามที่ Acer เคลมไว้) พร้อมจัดการระบบของเราแบบเรียลไทม์ด้วยซอฟต์แวร์ NitroSense ซึ่งครอบคลุมถึงอุณหภูมิ ความเร็วพัดลมและอีกมากมาย
ฟีเจอร์เสริมอื่นๆ ของ Acer Nitro 5 มาพร้อมการติดตั้งพอร์ต LAN RJ45 (Gigabit Ethernet) พร้อมด้วยความสามารถ Killer Ethernet E2500 เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล ส่วนการเชื่อมต่อไร้สายเป็รมาตรฐาน Wi-Fi AC ที่มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมดที่มีสเถียรภาพ รวมไปถึงแหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe ก็รองรับการติดตั้ง 2 สล็อตด้วยกัน ทำให้เราสามารถอัพเกรด SSD M.2 NVMe ได้เพิ่มเติมภายหลัง โดยจะเชื่อมต่อ Raid 0 หรือ Raid 1 ก็ได้ตามความต้องการ
Acer Nitro 5 มีตัวเครื่องที่มาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ถึง 15.6 ”ขอบหน้าจอบางก็จริง แต่ก็ยังสามารถที่จะติดตั้งคีย์บอร์ดแบบ Full Size มาให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันได้อย่างสบายๆ ที่มาพร้อมปุ่มแป้นคีย์ตัวเลข (Numpad) โดยตัวปุ่มจะเป็นสีดำ มีฟอนต์เป็นสีแดง รวมไปถึงแป้นปุ่มตรงตัวอักษร WASD และปุ่มทิศทาง รวมถึงปุ่ม NitroSense จะมีขอบเป็นสีแดงเด่นออกมา นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ Backlit สีแดง ที่ให้ความสว่างพอสมควรดูเป็น Gaming Notebook สวยงาม เอามาเล่นตอนกลางคืนสบายๆ อีกทั้งเรื่องการกดการสัมผัสบนคีย์บอร์ดที่ปุ่มมีความนุ่มติดมือ รู้สึกได้เลยว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปแน่นอน
ในส่วนทัชแพดนั้นจะมีขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป ออกแบบปุ่มมาเป็นแบบชิ้นเดียวซ่อนปุ่มตามสมัยนิยมทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา มีขอบเป็นสีแดง ให้ความลื่นไหลในการใช้งานเป็นอย่างดี ซึ่งตัวทัชแพดจะวางตัวไปทางด้านซ้ายของเครื่องเล็กน้อยไม่ได้อยู่ตรงกลางหน้าจอเป๊ะๆ โดยรวมก็สามารถใช้งานได้ดีไม่ปัญหาแต่อย่างใด
ส่วนทางด้านลำโพงมีด้วยกัน 2 ตัวโดยจะอยู่ทางด้านล่างมุมซ้ายและขวาของเครื่องอย่างละตัว ลำโพงนั้นจะมีการวางตำแหน่งในลักษณะเฉียงลงไปยังพื้นเพื่อที่จะให้เสียงได้สัมผัสกับพื้นแล้วสะท้อนขึ้นมาก ซึ่งคุณภาพเสียงการใช้งานต่างๆ เมื่อใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ Waves MaxxAudio ที่ผสานกับ Acer TrueHarmony เพิ่มประสิทธิภาพเสียงเบส เสียงสนทนา และระดับเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม ก็สามารถทำออกมาได้ดีในระดับหนึ่งและจากการใช้งานรู้สึกว่าดีกว่ารุ่นเก่าด้วย
MSI GF63 Thin
Gaming Notebook อย่าง MSI GF63 Thin 9SC-297TH ได้รับการตอบรับดีที่มากๆ ตลอดที่ผ่านมาทาง MSI จริงจังเกมโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมส์มากยิ่งขึ้น โดยการแบ่งซีรีส์ออกอย่างชัดเจน และการนำเสนอซีรีส์ MSI GF63 Thin ที่เป็น Gaming Notebook ขอบจอบางมาพร้อมประสิทธิภาพสูง คุณภาพเยี่ยม โดดเด่นความความบางของตัวเครื่อง และมีน้ำหนักเพียง 1.86 กิโลกรัมเท่านั้น เน้นพกพาสะดวก แต่ยังได้สเปก Gaming เล่นเกมได้ลื่นไหล ไม่แพ้โน๊ตบุ๊คตัวหนักๆ หนาๆ เลย
MSI GF63 Thin 9SC-297TH ได้ส่งสเปกใหม่ออกมาเป็นชิปประมวลผล Intel Core i5-9300H ส่วนการ์ดจอก็เป็น NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q จัดเต็มด้วยแรมขนาด 8GB และ SSD ที่ 512GB ในทุกๆ รุ่น ตอบสนองทุกการใช้งานได้อย่างราบรื่น รวดเร็ว ออกแบบโน๊ตบุ๊ครุ่นนี้ให้มีความสวย ทันสมัยให้ความแข็งแรง ทนทาน เพิ่มความโดดเด่น ใช้งานง่ายและสะดวก ทำให้ MSI GF63 Thin 9SC-297TH เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมน่าซื้อที่สุดรุ่นนึงทีเดียว
มีที่เก็บข้อมูลเป็นมาตรฐาน SSD แบบ M.2 NVMe ความจุ 512GB ที่ทั้งแรงและลื่นไหล ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8GB แบบ DDR4 จำนวน 1 แถว อัปเกรดได้สูงสุด 32 GB (ใส่ Ram ได้ 2 แถว) นับได้ว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว มาพร้อมจอแสดงผลแบบด้าน 15.6 นิ้ว ที่ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS ให้จอแสดงผลมีมุมมองกว้าง สวยงาม ไม่ว่าจะดูหนังหรือเล่นเกมก็สามารถใช้ได้ดีชัดเจน ลำโพงทำงานร่วมกับซอฟแวร์ของ Nahimic เวอร์ชั่น 3 ทำให้สามารถขับเสียงได้ดียิ่งกว่าเดิม พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม HD (720p) และมีไมค์ดิจิตอล 2 ตัว
ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง HDMI, 3 x USB 3.1, USB 3.1 Type C, Kensington lock slot, 2-in-1 SD, Lan RJ-45 , รูหูฟังกับไมค์แบบแยกออกจากกัน พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Wi-Fi 802.11 ac + Bluetooth 5.0 น้ำหนัก 1.86 กิโลกรัม พร้อม Windows 10 แท้ ประกันตามมาตรฐาน MSI ระยะเวลา 2 ปีด้วยกัน ซึ่งดูจากราคาที่จำหน่ายแล้วถือว่าคุ้มค่าทีเดียว
MSI GS65 Stealth
Gaming Notebook ที่เน้นทั้งความแรงลื่นจากสเปก ตัวเครื่องบางเบาพกพาสะดวก และฟีเจอร์ครบเครื่องที่สุด บทความนี้ขอแนะนำกับ MSI GS65 Stealth 9SD-1094TH ซึ่งเป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมที่เน้นความพรีเมียมจาก MSI โดดเด่นด้วยวัสดุอลูมิเนียมที่พรีเมียมตลอดทั้งเครื่อง แน่นอนว่าเป็นตระกูล GS ที่เน้นความบางเบาแต่ก็มีความแรงไม่แพ้ตระกูลอื่นๆ อีกเลย ซึ่งมีการพัฒนาต่อยอดมาโดยตลอด รวมไปถึงยังได้เรื่องของฟีเจอร์เด็ดต่างๆ มากมาย อย่างที่หาได้ยากใน Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ
MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7- 9750HQ (2.60 – 4.50 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ พร้อมกราฟฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1660Ti (6GB GDDR6) โดยแรงพอๆ กับ RTX 2060 ทีเดียว ที่ทั้ง 2 อย่างนี้ระดับ Desktop มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB จำนวน 1 แถว ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 8GB แบบ DDR4 จำนวน 1 แถว พร้อมรองรับ Dual Channel สามารถอัพเกรดแรม 8GB อีก 1 แถวได้ในภายหลัง
นอกจากนี้มาพร้อมจอแสดงผลแบบด้าน 15.6 นิ้ว ที่ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS สีสดใสมุมมองกว้าง ขอบเขตสีใกล้เคียง sRGB 100% พร้อมเทคโนโลยี MSI True Color Technology ปรับโปรไฟล์สีให้ตรงกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ ที่สำคัญรองรับ 144Hz ส่งผลให้เล่นเกมได้ลื่นไหลสุดๆ และตัวเครื่องยังมีลำโพงจากแบรนด์ Dynaudio พร้อมซอฟแวร์เสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 ขับเสียงได้ดียิ่งกว่า มาพร้อม Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที
MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin เป็น Gaming Notebook มาตรฐานใหม่ที่มีความเบาบางมีขอบจอบางพิเศษที่ 4.7 มิลลิเมตร ได้ความแรงไม่แพง Gaming Notebook เครื่องหนักๆ หนาๆ แบบแต่ก่อน โดดเด่นในเรื่องของการดีไซน์ที่เพกพาได้สะดวก ที่รักษาความเป็นเกมเมอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.9 กิโลกรัม บางที่ 1.79 มิลลิเมตร ทำให้ถือมือเดียวได้ หรือหยิบใส่กระเป๋าแบบสบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันมีพลังด้วยวัสดุอะลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง
MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อน Cooler Boost Trinity ใช้พัดลม 3 ตัว ซึ่งมีช่องระบายอากาศถึง 4 จุด อยู่ทางด้านหลังและด้านข้างของตัวเครื่อง อย่างละ 2 ด้วยการดูดลมเย็นจากช่องเหนือคีย์บอร์ดและใต้ตัวเครื่อง เป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผล (พัดลม 1 ตัว) และกราฟิกการ์ด (พัดลม 2 ตัว) ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 6 เส้น (รุ่นก่อน 4 เส้น) หายห่วงได้เลยในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะเล่นเกมหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
คีย์บอร์ดของ MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจาก Gaming Notebook รุ่นอื่นๆ แบบสิ้นเชิง จากการที่ใช้ Per-Key RGB Gaming Keyboard พร้อมแป้นที่ใหญ่พิเศษ ร่วมพัฒนากับแบรนด์ SteelSeries โดยพัฒนาและออกแบบมาให้ MSI โดยเฉพาะ ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน ที่สำคัญในคราวนี้ไฟ LED ที่เป็น RGB สามารถเปลี่ยนสีทีละปุ่ม ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ และยังปรับแต่ง Macrokeys บนคีย์บอร์ดเพื่อใช้ในเกมหรือซอฟแวร์ต่างๆ ผ่าน Steelseries Engine 3 ได้ด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าตัดชุด Numpad ออกไป จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่เล็กลง
ทัชแพดมีขนาดใหญ่โตมาก เป็นลักษณะผืนผ้าออกแนวยาวๆ ใหญ่กว่าเดิมถึง 35% โดยดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง ตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดี ส่วนปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็อาจจะมีความแข็งพอดีๆ การใช้งานโดยจัดได้ว่าอยู่ในระดับลงตัว ใช้งานได้สะดวกสำหรับการวางบนตัก หรือเล่นในร้านกาแฟ โดยการควบคุมมีการตอบสนองได้ดี มีการตัดขอบเส้นสีทองที่ขอบนอก เข้ากับตัวเครื่องโดยรวม
ระบบเสียงก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน ด้วยลำโพง DYNAUDIO แบบสเตอริโอ โดยมีซอฟแวร์ปรับแต่งเสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 สู่ระบบเสียงที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมจากฝรั่งเศส ทำให้มีการปรับแต่งเสียงที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปอย่างชัดเจน สนับสนุน VR และ 3D เต็มรูปแบบใช้เล่นเกมนี่บันเทิงได้เต็มอารมณ์ ยิ่งถ้าต่อหูฟังเสียบผ่าน Audio Boost ยิ่งได้อรรถรสในการเล่นเกมได้ดีขึ้นไปอีกระดับ ด้วยการที่เป็นแจ๊คแบบชุบทองคำ จะช่วยเพิ่มรายละเอียดของคุณภาพเสียงอีกด้วย พร้อมมีฟีเจอร์ Hi-Res Audio ด้วยชิปเสียงต่างหาก
MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin จัดว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 15.6 นิ้วซึ่งไซส์เล็กกว่าปกติ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-A จำนวน 3 ช่อง , Thunderbolt 3 (USB Type-C) จำนวน 1 ช่อง พร้อมด้วย HDMI 1.4 และ miniDisplayPort 1.2 อีกทั้งมี RJ45 (Killer E2500 Gigabit Ethernet with Killer Shield) และ Mic-in/Headphone-out
เชื่อมต่อไร้สายด้วย Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 802.11 ac ผ่าน Killer ac ระบบเน็ตเวิร์คสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะลดกาารกระตุกช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์ได้ลื่นๆ ลดค่าปิงต่ำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีคุณสมบัติ Matrix Display ช่วยให้ต่อจอได้หลากหลายจอแบบรอบทิศทาง จากทั้ง Thunderbolt 3, HDMI และ miniDisplayPort สนนราคา MSI GS65 9SD-1094TH Stealth Thin อยู่ที่ 47,900 บาท พร้อมการรับประกันมาตรฐาน MSI จำนวน 2 ปี ถือว่าเป็น Gaming Notebook ระดับสูงจากทาง MSI อีกหนึ่งรุ่นที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะไม่ใช่แค่แรงแต่บางเบาแต่ฟีเจอร์จัดเต็มด้วย
Acer Predator Helios 300
Acer Predator Helios 300 มีหน้าจอขนาดใหญ่ที่ 15.6″ และ 17.3″ แต่กลับมีความเล็กลงจากมิติตัวเครื่องเล็กกระทัดรัดจากการที่ขอบจอบาง ผนวกกับหน้าจอ IPS และอัตรารีเฟรชเรทที่สูงถึง 144Hz โดยเป็นส่วนสำคัญในการมอบประสบการณ์ใหม่ๆในการเล่นเกมแบบเต็มประสิทธิภาพให้กับผู้ใช้งานได้อย่างแน่นอน ในส่วนของดีไซน์ภายนอกก็ดูเรียบหรู วัสดุเป็นอลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่องแซมด้วยสีฟ้า Predator ที่โดดเด่น เป็น DNA ของ Gaming Notebook จากทาง Acer Predator ของยุคนี้ก็ว่าได้
สำหรับ Acer Predator Helios 300 นี้เป็นการต่อยอดมาจาก Gaming Notebook เน้นความพรีเมียมและประสบการณ์ใช้งานกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมแนวทางการออกแบบ รุ่นหน้าจอ 15.6″ ใช้พื้นฐานเดียวกันมาจาก Acer Predator Triton 700 และ Acer Predator Helios 500 โดยถือว่าเป็น Gaming Notebook มาตรฐานใหม่ที่มีความเบาบางกว่ารุ่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ขอบจอบางที่ 7.9 มิลลิเมตร มีพื้นที่การแสดงผลที่ 79% โดยได้ความแรงไม่แพ้ Gaming Notebook เครื่องหนักๆ หนาๆ แบบแต่ก่อน โดดเด่นในเรื่องของการดีไซน์ที่พกพาได้สะดวก รักษาความเป็นเกมเมอร์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ถือมือเดียวได้ หรือหยิบใส่กระเป๋าแบบสบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันมีพลัง
ดีไซน์การของ Acer Predator Helios 300 เน้นความพรีเมียมและประสบการณ์ใช้งานกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมแนวทางการออกแบบ มาพร้อมความสดใหม่เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ตัวเครื่องนั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุผสมระหว่างอลูมิเนียมและแมกนีเซียม
มาในโทนสีดำอย่าง Obsidian black สลับกับสีฟ้าบางส่วนอย่างโลโก้และฟินระบายความร้อน พร้อมกันนั้นพื้นผิวเรียบเนียน ซึ่งจะทำได้ละเอียดกว่าการขัดปกติ และช่วยให้สีติดที่เนื้อวัสดุได้อย่างดีที่สุด แถมยังมีความทนทานด้วย โดยการใช้งานจริงนับว่าให้สัมผัสที่เยี่ยมยอด แตกต่างจาก Gaming Notebook ทั่วไปแบบรู้สึกได้ในครั้งแรก
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่อง Acer Predator Helios 300 ถูกติดตั้งไว้มุมขวาบนสุดเรียบเนียนไปกับแป้นคีย์บอร์ด พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน ซึ่งตรงบริเวณนี้ตรงขอบบนมุมขวาจะเป็นโลโก้ลำโพงของ Waves Maxx Audio ส่วนมุมขวาล่างจะเป็นสติ๊กเกอร์ที่เน้นย้ำเรื่องของฟีเจอร์ต่างๆ อาทิ ความบางตัวเครื่อง, ขอบจอบางเฉียบ, การ์ดจอ GTX 1660 Ti ที่ Overclock ได้, พัดลม AeroBlade Gen 4, หน้าจอ 3ms และระบบ Killer DoubleShot Pro อีกด้วย
Acer Predator Helios 300 ใช้เทคโนโลยีการระบายความร้อนด้วยพัดลมแบบพิเศษ AeroBlade 3D Gen 4 ใช้พัดลม 2 ตัว ตัวละ 59 ใบพัดขนาด 0.1 มิลลิเมตร ออกแบบพิเศษได้รับแรงบันดาลใจจากกลไกการบินที่เงียบสนิทและทรงพลังของนกฮูก ปลายใบพัดลมของเราจึงมีรอยหยักเพื่อให้อากาศผ่านได้มากขึ้น
Acer Predator Helios 300 ที่จำหน่ายประเทศไทยมาพร้อมกับหลากหลายสเปกและราคา โดยเริ่มต้นเป็นชิปประมวลผลเป็น Core i7-9750H การ์ดจอเริ่มต้นเป็น NVIDIA GeForce GTX 1660Ti (6GB GDDR6)/ RTX 2060 (6GB GDDR6) จนไปถึง RTX 2070 (8GB GDDR6) พร้อม Ram 8 – 16GB DDR4 Bus 2666 (8GB x 2) ที่ฮาร์ดดิสก์เป็นแบบ SSD m.2 แบบ NVMe ที่ความจุ 512GB – 1TB (512GB x 2) รวมถึงยังใส่ฮาร์ดดิสก์ 2.5″ ได้อยู่ จัดว่าให้สเปกมาเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไปมากๆ แต่เหมาะสำหรับการเล่นเกมแบบสุดๆ
หน้าจอขนาด 15.6″ – 17.3″ แบบด้าน ความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพ IPS ตอบสนองที่ 144Hz 3ms แถมตัวเครื่องยังมีลำโพง 2.0 ชาแนล บนซอฟแวร์เสียง Waves Maxx Audio ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น USB 3.1 Type-C จำนวน 1 ช่อง, USB 3.1 Type-A จำนวน 3 ช่อง, HDMI, mini-DisplayPort, ช่องเสียบหูฟังไมค์ขนาด 3.5 มิลลิเมตร พร้อมด้วยช่องสาย Lan RJ45 พร้อม E2500 Ethernet Controller
และการเชื่อมต่อ Wi-Fi แบบ Wireless-AC 1550 และ Killer Control Center 2.0 ของ Killer ที่ช่วยให้การเล่นเกมออนไลน์ให้มีเสถียรภาพและสมูทขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การเชื่อมต่อไร้สายอย่างก็รองรับตัวที่เป็น Bluetooth 5.0 เป็นมาตรฐาน แน่นอนว่า Acer Predator Helios 300 (2019) รุ่นที่ขายในไทยต้องมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้พร้อมใช้งานทันที มีประกัน 3 ปี On-site Service หรือส่งศูนย์ซ่อมด่วนใน 3 ชั่วโมง ตามมาตรฐานของ Acer Predator ที่เป็น Gaming Notebook ระดับกลางค่อนสูง
- i7-9750H / RAM 8GB / SSD 512GB / GTX1660Ti / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 46,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB / GTX1660Ti / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 49,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB / GTX1660Ti / 17.3″ 144Hz / Win10 ราคา 49,990
- i7-9750H / RAM 8GB / SSD 512GB / RTX2060 / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 49,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB / RTX2060 / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 51,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB x 2 / RTX2060 / 15.6″ 144Hz / Win10 ราคา 54,990
- i7-9750H / RAM 8GB x 2 / SSD 512GB / RTX 2070 / 17.3″ 144Hz / Win10 ราคา 66,990
ASUS ROG Strix G531/G731/Hero III
ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ROG Strix G531/G731/ Hero III เป็น Gaming Notebook ขอบจอบางตัวเครื่องมิติเล็กกระชับทั้ง 3 ด้าน คือ บน ซ้ายและขวา พร้อมตัดกล้องเว็บแคมออกไป คาดว่าจะมาแบบแยกแนวเดียวกับ ASUS Zephyrus S GX701 ส่วนบานพับเป็นแบบ ASUS Zephyrus S GX531 แบบ 2 แกนยกตัวขึ้นมา ที่ทั้ง ASUS ROG Strix G531/G731/ Hero III ได้ทาง BMW Designworks Group มาร่วมออกแบบด้วย เห็นได้ชัดจากชุดระบายความร้อนด้านหลังที่เป็นครีบคล้ายกับเสื้อสูมมอเตอร์ไซต์จาก BMW เรียกได้ว่ายกระดับขึ้นไปอีกขั้น
ที่สำคัญจากรุ่นก่อนที่มี Light Bar ด้านหน้า รุ่นนี้จะได้ไฟ RGB ด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่องเข้ามาด้วย ส่วนไฟ RGB ของคีย์บอร์ดยังเป็นแบบ 4 โซนเช่นเดิม (หรือ Per-Key สำหรับ Hero III) ที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือได้ NumberPad เข้ามาด้วย โดยทัชแพดเองสามารถเปลี่ยนเป็นแป้นตัวเลขได้ จากการที่ตัด Numpad ด้านขวาออกไป พร้อมขยายปุ่มคีย์บอร์ดให้มีความกว้างขึ้น (สำหรับ ASUS ROG Strix G531/ Hero III)
สำหรับ ASUS ROG Strix G531/G731 เป็น Gaming Notebook ขนาดหน้าจอ 15.6″ และ 17.3″ มีน้ำหนักที่ 2.2 กิโลกรัม และ 2.85 กิโลกรัม ตามลำดับ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการ Gaming Notebook สายจริงจัง ฟีเจอร์ครบครัน ในราคาที่เหมาะสม พร้อมมีให้เลือกหลากหลายสเปกและราคา ตามความต้องการของแต่ละคน โดยอยู่บนพื้นฐานการออกแบบของตระกูล ROG ที่เน้นสายเกมเมอร์เป็นหลัก แต่ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ อะไรก็แล้วแต่เลย เพราะสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด ทั้งจากฟีเจอร์ ดีไซน์และสเปกแรงๆ ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นเดิมได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากการที่ได้ดีไซน์ สเปก ฟีเจอร์ และราคาที่เหมาะสมที่สุด
สนนราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 27,990 บาท ได้สเปกเป็น Core i5-9300H และการ์ดจอเป็น GTX 1050 ส่วนแรมมีขนาด 8GB พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB เป็นมาตรฐาน หน้าจอเป็น IPS 120Hz 100% sRGB ส่วนรุ่นบนสุดจะเป็นสเปก Core i7-9750H ได้การ์ดจอเป็น RTX2070 หน้าจอเป็น 144Hz 100% sRGB ในราคา 59,990 บาท นับว่าเป็นราคาต่อสเปกที่คุ้มค่ามากๆ
ฟีเจอร์อื่นๆ ที่น่าสนใจก็จะเป็นระบบระบายความร้อนอย่าง 3D Thermal Design ที่ใส่ทุกอย่างจัดเต็มกว่าทีเคยมีมา ที่แม้สเปกจะแรงขึ้นแต่ก็เย็นกว่าเดิม คีย์บอร์ดมีไฟหลากสีด้วยเทคโนโลยี AuraRGB ของทาง ROG แบ่งเป็น 4 โซน ที่สามารถปรับแต่งเองได้ด้วยซอฟต์แวร์ภายใน ให้ความสะดวกด้วยคีย์หลัก QWER ตามสไตล์ MOBA โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.8 มิลลิเมตร แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มิลลิเมตร เข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ การเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB / Gigabit Ethernet / Bluetooth 5.0 / Wi-Fi AC ASUS RangeBoost
โดย ASUS ROG Strix Hero III เป็น Gaming Notebook ที่มีฟีเจอร์และรายละเอียดเพิ่มเติมให้เข้ามา ต่อยอดมาจาก ASUS ROG Strix G531 มีน้ำหนักอยู่ที่ 2.57 กิโลกรัม เน้นสายเกม MOBA มีลวดลายที่แตกต่าง โดดเด่นด้วยไฟคีย์บอร์ด RGB Per-Key ที่เราสามารถปรับแต่ละปุ่มได้สีตามต้องการ นอกจากนี้ ASUS ROG Strix Hero III ยังมาพร้อมความสดใหม่ในส่วนของ ROG Keystone ที่เป็นอุปกรณ์ NFC ประเภทหนึ่ง โดยใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ Armoury Crate เพื่อเข้าถึงข้อมูล Shadow Drive ที่ซ่อนอยู่และโปรไฟล์การตั้งค่าต่างๆ ของเรา
สเปกที่โดดเด่นก็คือ ASUS ROG Strix Hero III จะมาพร้อมสเปกสูงสุดอย่าง Intel Core i9-9980H ที่ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด พร้อมด้วยการ์ดจอรองท็อปอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2070 (8GB GDDR6) ที่สามารถ Overclock เพิ่มไปได้อีก ร่วมกับระบบระบายความร้อนแบบใหม่ที่ดีขึ้น 17% เรียกได้ว่าแม้จะแรงขึ้นแต่ก็เอาอยู่ อีกทั้งได้หน้าจอเป็น 15.6″ Full HD พาเนล IPS ที่ 240Hz 3ms 100% sRGB ที่ต้องบอกว่าเป็นหน้าจอที่ดีที่สุดในโลกตอนนี้แล้ว กับราคา 89,990 บาท
ASUS ROG Strix G531/G731/ Hero III จะมีให้เลือกหลากหลายรุ่น โดยเริ่มต้นเป็น Core i5-9300H หรือ Core i7-9750H รวมถึง Core i9-9980H ส่วนการ์ดจอก็จะมีเลือก อาทิ GTX 1050 / GTX 1650 / GTX 1660Ti / RTX 2060 / RTX 2070 เรียกได้ว่ามากมาย ซึ่งมีรายละเอียดสเปกที่แตกต่างกันเล็กๆ น้อยๆ แต่ที่แน่นอนคือได้แรมเป็น 8GB DDR4 และ SSD M.2 NVMe 512GB เป็นมาตรฐาน ส่วนการรับประกันแน่นอนว่าเป็น เวลา 2 ปี พร้อมประกันอุบัติเหตุอีก 1 ปี จากทาง ASUS Thailand ที่เราสามารถส่งได้ตามศูนย์บริการ หรือใครจะสะดวกฝากส่งเคลมตามร้าน 7-11 ทั่วประเทศก็สามารถทำได้เช่นกัน
- G531 – i5-9300H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1050/Win10/120Hz ราคา 27,990 บาท
- G531 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1050/Win10/120Hz ราคา 30,990 บาท
- G531 – i5-9300H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1650/Win10/120Hz ราคา 30,990 บาท
- G531 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1650/Win10/120Hz ราคา 34,990 บาท
- G531 – i5-9300H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1660Ti/Win10/120Hz ราคา 36,990 บาท
- G531 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/GTX1660Ti/Win10/120Hz ราคา 40,990 บาท
- G531 – i5-9300H/RAM 8GB/SSD 512GB/RTX2060/Win10/120Hz ราคา 40,990 บาท
- G531 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/RTX2060/Win10/120Hz ราคา 46,990 บาท
- G731 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/RTX2060/Win10/144Hz ราคา 49,990 บาท
- G731 – i7-9750H/RAM 8GB/SSD 512GB/RTX2070/Win10/144Hz ราคา 59,990 บาท
- Hero III – i7-9750H/RAM 16GB/SSD 512GB/RTX2070/Win10/240Hz ราคา 55,990 บาท
- Hero III – i9-9980H/RAM 16GB/SSD 512GB/RTX2070/Win10/240Hz ราคา 89,990 บาท
ASUS ROG Zephyrus S GX502
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 Glacier Blue จัดว่าเป็น Gaming Notebook สายบางเบาที่สุดในโลกรุ่นล่าสุด ที่ได้สีสันที่แตกต่าง ต่อยอดมาจากรุ่นก่อนที่เป็น สีดำ Brushed Black รุ่นที่นำมารีวิวเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H การ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce RTX 2060 สเปกอื่นๆ จัดเต็มด้วยแรมขนาด 16GB และได้ SSD M.2 NVMe ที่ 512GB พร้อมหน้าจอ IPS 240Hz โดยมีราคาอยู่ที่ 59,990 บาท (หรือรุ่นการ์ดจอ RTX 2070 จะมีราคาอยู่ที่ 69,990 บาท) ได้ประสิทธิภาพความแรงที่พอตัว เล่นเกมได้ลื่นๆ ทุกเกมแน่นอน
เรียกได้ทำให้เป็น Gaming Notebook ที่ตอบโจทย์ทุกๆ การใช้งานอย่างแท้จริง โดยได้ทั้งประสิทธิภาพที่ทรงพลังและน้ำหนักตัวเครื่องที่บางเบาไปพร้อมๆ กัน โดยบางสุดเพียง 18.9 มิลลิเมตร และเบาเพียง 2.0 กิโลกรัมเท่านั้น ใครจะเอาไปเล่นเกมก็เยี่ยมยอดจากสเปกที่แรงลื่น หรือเอาไว้ทำงานก็สบายๆ ด้วยดีไซน์ที่พกพาสะดวก นอกจากนี้ฟีเจอร์อื่นๆ ก็ยังจัดเต็ม ซึ่งในซีรีส์ ZEPHYRUS ที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมสายบางเบา
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 มาพร้อมแรงบันดาลใจจาก ASUS ROG ZEPHYRUS Series รุ่นต่างๆ มาต่อยอดรวมกัน ที่มีความโดดเด่นแต่ไม่เตะตาจนเกินไป ตัวเครื่องนั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง เรียกได้ว่าแทบไม่มีความโค้งเว้าใดๆ ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว มาพร้อมกับวัสดุโลหะที่แข็งแรงทนทานอย่างแม็กนีเซียมอัลลอยด์และพลาสติก มาในโทนสีสันฟ้าอ่อนๆ ออกสีเงินตลอดทั้งตัวเครื่อง ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดีมีคำว่า ZEPHYRUS
ซึ่งฝาหลังจะถูกออกแบบให้มีความเรียบง่ายด้วยลวดลายโลหะแบบขัดลายตลอดทั้งฝาหลัง ซึ่งมีการแบ่งออกเป็น 2 โซน พร้อมด้วยด้วยโลโก้ ROG สีเงินที่มีไฟสีแดง LED ที่จะติดก็ต่อเมื่อเปิดเครื่อง ถือว่าหลายส่วนนั้นเป็นการต่อยอดมาจาก ROG รุ่นก่อนหน้า แถมทำได้ดีกว่าเพราะเป็นการพัฒนาต่อยอด ด้วยชิ้นส่วนประกบทั้งด้านบนและล่างถูกขึ้นรูปอย่างบรรจงจากแม็กนีเซียมอัลลอยด์ที่มีความแข็งแกร่ง ให้ความทนทานและหรูหราไปพร้อมๆ กัน ทั้งหมดนี้จากกระบวนการขึ้นรูป CNC ด้วยเครื่องจักรที่ทำได้ยาก
จุดเด่นที่สุดซึ่งนั่นเป็นความภูมิใจของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 Glacier Blue ที่เป็น Gaming Notebook ตัวบางเบาแต่ประสิทธิภาพความแรงไม่แพ้โน๊ตบุ๊ครุ่นที่หนาๆ หนักๆ เลย จากการติดตั้งการ์ดจอระดับบนอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 (หรือ RTX 2070) ที่ตอบสนองทั้งการเล่นเกมระดับ AAA ที่ลื่นไหล รวมไปถึงการประมวลผลหนักๆ อย่างงานประมวลผล 3 มิติ ซึ่งตัวเครื่องของ ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 นั้นจะมีความบางอยู่ที่ 18.9 มิลลิเมตรเท่านั้น พกพาใส่กระเป๋าเป้ได้สะดวกสบายไม่เป็นรอง Ultrabook เลยล่ะ
แถมน้ำหนักของตัวเครื่องก็อยู่ที่ 2 กิโลกรัม ทำให้เป็นโน้ตบุ๊ตเล่นเกมการ์ดจอตัวแรงที่สามารถพกพาได้สะดวกมากๆ ไม่ต่างจากโน๊ตบุ๊คสายบางเบาที่เน้นการพกพาเลย แต่นี่ได้ความแรงกราฟิกแบบเหลือเฟือด้วย อย่างที่โน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ทั่วไปไม่เคยให้ได้มาก่อน เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทั้งเรื่องการเล่นเกมสมกับ ROG พร้อมด้วยการทำงานแบบจริงจังจบในเครื่องเดียว ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ รวมไปถึงพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่องวัสดุพลาสติกที่แข็งแรงงานประกอบเรียบร้อย ที่สำคัญคือมีนวัตกรรมของระบบระบายความร้อนแบบอากาศพลศาสตร์ (Active Aerodynamic System – AAS) เปิดช่องว่างให้อากาศไหลเวียนมากขึ้นถึง 22% พร้อมไฟ RGB ส่องสว่างออกมาเมื่อเปิดฝาขึ้น ตัวเครื่องจะยกขึ้นเพื่อเพิ่มอากาศเย็นไหลผ่านผ่านโดยมีช่องดูดลมเย็นอีก 3 ช่องด้านล่างใต้เครื่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีก ติดตั้งด้านหลังด้วยช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ 4 ช่อง (หลัง 2 ช่อง และซ้ายขวาอย่างละช่อง) หนาแน่นด้วยฟินกว่า 205 ครีบ
พร้อม 2 สองพัดลมขนาดใหญ่ ที่มีกว่า 83 ใบ ทำงานร่วมกับฮีตต์ไปป์ 6 เส้น พร้อมช่องไล่ฝุ่น Anti-Dust Cooling ส่งผลให้ไม่มีความร้อนสะสมขึ้นในอนาคต โดยมีซอฟต์แวร์ ROG Armory Crate สามารถสลับระหว่างโหมดการทำงานของพัดลม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดเสียงรบกวนจากพัดลมได้เป็นอย่างดีรวมๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง ASUS นั้นใส่ใจในการออกแบบมาจริงๆ
ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 สี Glacier Blue / สีดำ Brushed Black มีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H รุ่นยอดนิยม ทำงานความเร็ว 2.6 – 4.5 GHz แบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด แตกต่างกันที่การติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2060 หรือ RTX 2070 (รุ่นที่ได้รับมารีวิว) ให้ความแรงที่พอเพียงเหลือเฟือในการเล่นเกมทุกเกมบนโลกแบบลื่นไหล ส่วนของแรมมีขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz มีที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 NVMe PCIE 3.0 ความจุ 512GB หน้าจอขนาด 15.6 นิ้ว Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS รองรับ 240Hz 3ms ทำงานมืออาชีพ เล่นเกมตอบสนอง
ความบางสุดของตัวเครื่องเพียง 18.9 มิลลิเมตร และเบาเพียง 2.0 กิโลกรัมเท่านั้น เมื่อรวมกับอแดปเตอร์ไม่เกิน 2.5 กิโลกรัมแน่นอน ถ้าลองย้อนเวลากลับไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว ใครจะเชื่อละว่าจะมี Gaming Notebook ที่เบาและบางขนาดนี้ออกมาให้เราได้เห็นกัน โดยพอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันด้วย USB 3.1 Type-A, USB 3.1 Type-C, Mini DisplayPort, HDMI
พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi มาตรฐาน 802.11 ac 2×2 (Wi-Fi 5) สนนราคา ASUS ROG ZEPHYRUS S GX502 Glacier Blue เหมือนกันกับรุ่นที่เป็นสี Brushed Black โดยอยู่ที่ 59,990 – 69,990 บาท แบ่งเป็น 2 รุ่นชัดเจนคือ RTX 2060 / RTX 2070 ได้ประกัน 2 ปี สามารถเคลมฝากผ่านร้าน 7-11 ได้ และประกันอุบัติเหตุ 1 ปีแรก เพียงแค่ลงทะเบียนในเว็บไซต์เท่านั้น
- Core i7-9750H + RTX 2060 + RAM 16GB + SSD 512GB ราคา 59,990 บาท
- Core i7-9750H + RTX 2070 + RAM 16GB + SSD 512GB ราคา 69,990 บาท
MSI P65 Creator
สำหรับ MSI P65 Creatorn ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานสเปกแรงที่เน้นความบางเบารุ่นล่าสุดอีกรุ่นหนึ่ง ในเรื่องของสีสันที่เป็นสีขาวสะอาดตาพร้อมแซมด้วยสีเงินดูหรูหรา โดยเน้นความบางเบาเช่นกัน ในเรื่องของการดีไซน์ที่เน้นความบางเบา พกพาได้สะดวก ด้วยความบางของตัวเครื่องเพียง 17.9 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเพียง 1.88 กิโลกรัม ทำให้พกพาไปใช้งานได้สบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันมีพลังด้วยวัสดุอะลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง
โดยการออกแบบและดีไซน์ทั้งหมดมีการใช้สีสันเป็นสีขาวแบบด้านกับพื้นผิวเรียบๆ ตั้งแต่ตัวเครื่องด้านนอกด้านใน พร้อมโลโก้ที่เป็นแบบฝังเรียบมากับฝาหลัง ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ช่องระบายความร้อน ก็จะเป็นสีทองที่เป็นวัสดุอะลูเนียมเกือบทั้งหมด (บางส่วนมีแซมด้วยพลาสติกบ้าง เช่น ขอบจอด้านใน) ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่ต้องโน๊ตบุ๊คนั้นส่วนมากเป็นสีดำ ที่ดูแล้วสีทองที่ใช้ดูมีความทันสมัย ความสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจกับคนรุ่นใหม่มากกว่า
ด้านฐานล่างตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียมเรียบๆ พร้อมมียางรองขนาดใหญ่ 2 จุด ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องถูกติดตั้งอยู่เหนือชุดแป้นคีย์บอร์ด พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการทำงาน พร้อมการติดตั้งช่องลมโปร่งขนาดใหญ่เพื่อให้ช่วยระบายความร้อนที่ดีกว่าเดิม ส่วนมุมซ้ายล่างคีย์บอร์ดจะเป็นโลโก้ Prestige ที่บ่งบอกถึงซีรีส์
MSI P65 Creator ยังใช้เทคโนโลยี Cooler Boost Trinity เหมือนกับ MSI GS65 ที่เป็นชุดระบายความร้อนแบบพัดลม 3 ตัว ซึ่งมีช่องระบายอากาศถึง 5 จุด อยู่ทางด้านหลังและด้านข้างของตัวเครื่อง เป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผล (พัดลม 1 ตัว) และกราฟิกการ์ด (พัดลม 2 ตัว)
ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 4 เส้น ที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ ถึง 45% หายห่วงได้เลยในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะเล่นเกมหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม จากการที่สเปกตัวเครื่องแรงมากเหมือนเทียบกับความบาง ตรงนี้เลยเป็นเรื่องที่สำคัญ ส่วนที่พักมือและเนื้องานรอบแป้นพิมม์ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมเช่นกัน ที่สำคัญไม่พูดไม่ได้เลยกับขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัดที่ 4.9 มิลลิเมตร ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ดูได้จากกล้องเว็บแคมถูกติดตั้งลงไปบนขอบที่บางมากๆ
คีย์บอร์ดของ MSI P65 Creator เห็นแล้วต้องบอกว่า ยกชุดมาจาก MSI GS65 เลยก็ว่าได้ ด้วยปุ่มที่มีขนาดใหญ่พิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากๆ (ใช้แรกๆ จะรู้สึกแปลกๆ หน่อย) ที่แม้ไม่ใช่แบรนด์ SteelSeries แต่ก็ให้อารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด และการใช้ปุ่มแต่ละปุ่มได้ใกล้เคียง มาพร้อมไฟ LED สีขาวสวยงาม ที่ดูแล้วหรูหราเข้ากับตัวเครื่อง อย่างไรก็ตาม ได้มีการตัดชุด Numpad ออกไปเลย จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่เล็กลงนั่นเอง ตรงนี้ใครเคยชินว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ต้องมี Numpad ก็อาจจะต้องปรับตัวกันหน่อย
ทัชแพดมีขนาดใหญ่ โดยดูเป็นเนื้อเดียวกับตัวเครื่อง ตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดี ส่วนปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็อาจจะมีความแข็งพอดีๆ การใช้งานโดยจัดได้ว่าอยู่ในระดับทั่วไป ใช้งานได้สะดวกสำหรับการวางบนตัก หรือเล่นในร้านกาแฟ โดยการควบคุมมีการตอบสนองได้ดี นอกจากนี้ยังมีการติดตั้ง Finger Print สแกนลายนิ้วมือไว้มุมซ้ายบน โดยเข้าใช้งานผ่านทาง Windows Hello ตามมาตรฐาน Windows 10
MSI P65 Creator ถูกแบ่งออกเป็น 2 รุ่นด้วยกัน รุ่นท็อปจะมาพร้อมสเปก Intel Core i7- 9750H และการ์ดจอตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 (6GB GDDR6) ได้แรมมาเป็น 32GB DDR4 (16GB x 2) ที่สำคัญคือหน้าจอจะเป็นแบบ IPS คุณภาพสูงสุด ที่ความละเอียด 4K Ultra HD 60Hz เรียกได้ว่าสุดทางไปเลย มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต ใส่มา 1TB ที่ 1 แถว สนนราคาที่ 75,900 บาท
ส่วนอีกรุ่นจะเป็น MSI P65 Creator ราคา 52,900 บาท ที่สีสันจะเป็นสีเงิน Silver ตลอดทั้งตัวเครื่อง ใช้ชิปประมวลผลเหมือนกันคือเป็น Intel Core i7- 9750H (2.60 – 4.50 GHz) ทำงานแบบ 6 คอร์ 12 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ ได้การ์ดจอที่แรงไม่แพ้กันเท่าไรอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1660 Ti (6GB GDDR6) มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe จำนวน 2 สล็อต โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แบบ DDR4
ส่วนจอแสดงผลแบบด้าน 15.6 นิ้ว ของ MSI P65 Creator มีความละเอียด Full HD พาเนลคุณภาพสูง IPS โดยเหนือชั้นกว่าเพราะรองรับที่ 144Hz หรือความละเอียด 4K Ultra HD 60Hz พร้อมเทคโนโลยี MSI True Color Technology ปรับโปรไฟล์สีให้ตรงกับการใช้งานได้ทุกรูปแบบ และตัวเครื่องยังมีลำโพงจากแบรนด์ Dynaudio พร้อมซอฟแวร์เสียง Nahimic เวอร์ชั่น 3 ขับเสียงได้ดียิ่งกว่า มาพร้อม Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที รับประกันมาตรฐาน MSI ระยะเวลา 2 ปีเต็ม
- i7-9750H + RTX 2060 + RAM 32GB + SSD 1TB + Ultra HD 60Hz ราคา 75,900 บาท
- i7-9750H + GTX 1660 Ti + RAM 16GB + SSD 512GB + Full HD 144Hz ราคา 52,900 บาท
Acer ConceptD 7
Acer ConceptD 7 เป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานสร้างสรรค์ระดับมืออาชีพ ที่มาพร้อมสเปก Core i7-9750H + Quadro RTX 5000 ดีไซน์ใหม่ขอบจอบางเฉียบ วัสดุเป็นอลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง ทั้งฝาหลัง ด้านนอก ด้านใน ใต้เครื่อง การออกแบบก็สวยล้ำ เน้นความพรีเมียมในดีไซน์ที่เรียบง่าย มาพร้อมหน้าจอ 15.6″ ความละเอียด 4K Ultra HD พาเนล IPS เกรดสูง ระดับ 100% Adobe RGB หลักๆ คือเน้นความเป็นมืออาชีพ เรียกได้ว่าจัดเต็มจริงๆ สำหรับ ConceptD ที่เป็นโน๊ตบุ๊คซีรีส์ใหม่จากทาง Acer หลักจากที่ประสบความสำเร็จจาก Aspire / Swift / Nitro / Predator มาแล้ว
สำหรับสเปกอื่นๆ นอกเหนือจากชิปประมวลผลและการ์ดจอแล้ว ยังจัดเต็มด้วยแรมขนาด 32GB DDR4 และได้แหล่งเก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 1TB พร้อมรองรับ HDD 2.5″ ปกติก็ยังมีติดตั้งให้อยู่ คาดว่าจะมาพร้อมการรับประกัน 3 ปี แบบ On-site Service ซ่อมฟรีถึงบ้าน หรือส่งศูนย์เองก็ซ่อมด่วนใน 3 ชั่วโมงด้วย ตามมาตรฐานของ Acer ด้วย
Acer ConceptD 7 เพราะมาพร้อมกับสเปกใหม่ล่าสุดด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 9 อย่าง i7-9750H (2.60 – 4.50 GHz) ทำงานแบบ 6 Core/12 Thread ปที่สำคัญได้การ์ดจอรุ่นใหม่สายทำงานระดับมืออาชีพมาเสริมทัพอัพเดทอย่าง NVIDIA Quadro RTX 5000 (16GB GDDR6) ที่เป็นรุ่นใหม่ของ Quadro RTX รองรับ Ray-Tracing เหมือนอย่าง GeFoece RTX เน้นความแรงในการประมวลผลภาพ 3 มิติ หรืองานดีไซน์อื่นๆ รวมไปถึงใช้งานทางด้านการตัดต่อสื่อวีดีโอและภาพถ่ายโดยเฉพาะ ซึ่งประสิทธิภาพพอๆ กับ RTX 2080 ทีเดียวสำหรับการเล่นเกม
พร้อมติดตั้ง SSD แบบ M.2 PCIe จำนวน 2 ช่องอีกด้วย ใส่มาแล้ว 512GB จำนวน 2 ตัว และมีฮาร์ดดิสก์ปกติ HDD 2.5″ มาให้ ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 32GB แบบ DDR4 Bus 2666 ที่เป็นแบบ 16GB x 2 แถว โดดเด่นด้วยจอแสดงผลแบบด้าน 15.6″ ความละเอียด 4K Ultra HD ที่ 3840 x 2160 พิกเซล พาเนล IPS แบบ 60Hz เกรดสูง มาตรฐาน Pantone validated ค่าสีคลาดเคลื่อนที่ Delta E < 1 ขอบเขตสีระดับ 100% Adobe RGB ให้สีสันที่สวยงามเที่ยงตรงแบบสุดๆ และในส่วนของระบบเสียงเป็นลำโพงแบบสเตอริโอ 2.0 ให้เสียงที่ดีในระดับที่น่าพอใจ ประกอบกับมีซอฟต์แวร์จัดการเสียงอย่าง Wave MaxxAudio ทำให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขั้นไปอีก
ตัวหน้าจอยังมาพร้อมกล้อง Webcam แบบ HD และมีไมค์ดิจิตอล 2 ตัวแบบตัดเสียง ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง HDMI, 2 x USB 3.1 Type-A, 1 x USB 2.0 Type-A, 1 x USB 3.1 Type-C, Kensington Lock, 2-in-1 SD, RJ-45 (KillerTM Ethernet E2500) , Headset 3.5mm พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi 6 Intel Dual Band MU-Mimo มาตรฐาน AX คาดการณ์ว่าตัวขายจริงจะมีการประกัน On-site Service ถึง 3 ปีเต็ม ส่วนราคาอยู่ที่ 119,990 บาท
การดีไซน์ออกแบบ หลักๆ Acer ConceptD 7 ยังมีทรงคล้ายๆ กับ Acer Predator Triton 500 แต่เป็นสีขาวเนียนตา เรียกได้ว่าถอดแบบกันมาเลยดีกว่า ซึ่งจากการที่ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมตลอทั้งตัวเครื่องทำให้ดูแข็งแรงทนทานและหรูหรา รวมไปถึงการพกพาก็สะดวก ด้วยหน้าจอขอบบางทำให้แม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอขนาด 15.6″ แต่มิติตัวเครื่องโดยรวมใกล้เคียงกับโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ แบบเดิมๆ ทีเดียว จากการที่ขอบหน้าจอที่บางเฉียบพื้นที่แสดงผลเป็น 81% ส่งผลให้มิติโดยรวมตัวเครื่องทั้งหมดมีขนาดที่เล็กกระชับ มีความบางที่ 17.9 มิลลิเมตรเท่านั้น นับว่ามีความบางเบากว่ารุ่นก่อนมาก รวมไปถึงการพกพาก็สะดวกยิ่งขึ้น กับน้ำหนักเบาเพียง 2.1 กิโลกรัม
สีสันก็ยังคงเอกลักษณ์สีขาวด้านๆ ทั้งตัวเครื่อง ทำให้ดูเรียบง่ายเรียบเนียนสวยงาม พร้อม DNA ในการตัดมุมตัวเครื่อง โดยฝาหลังของ Acer ConceptD 7 เป็นอลูมิเนียมดูสวยงามพรีเมียมซึ่งไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลย นอกจากขอบฝาด้านบนจะเป็นคำว่า ConceptD ส่วนด้านในเหนือคีย์บอร์ดก็เป็นอีกจุกที่มีความว่า ConceptD เรียกได้ว่าไม่มีคำว่า Acer อยู่เป็นตัวเครื่องเลย ทำให้แตกต่างจากโน๊ตบุ๊คของทาง Acer ที่เป็นรุ่นอื่นๆ ชัดเจนทีเดียว
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Aeroblade 3D Fan รุ่นที่ 4 ที่เป็นใบพัดลมแบบพิเศษเอกสิทธิ์เฉพาะ Acer เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาได้นำไปใช้กับ Gaming Notebook ระดับสูงอย่าง Predator รุ่นต่างๆ ทำงานร่วมกับช่องระบายความร้อนด้านหลัง 2 ช่อง พร้อมด้านข้างทางซ้ายขวาอีกอย่างละช่อง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ แม้จะทำงานหนักหน่วงแค่ไหนก็เอาอยู่ ส่งผลให้ตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไป ที่สำคัญคือ เสียงของพัดลมจะมีความดังไม่เกิน 40dBA ทำให้เมื่อเรานำไปใช้งานนอกสถานที่แล้วจะไม่มีเสียงรบกวนที่ดังเกินไปนั่นเอง
มีตัวเครื่องที่มาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ถึง 15.6”ขอบหน้าจอบางก็จริง แต่ก็ยังสามารถที่จะติดตั้งคีย์บอร์ดแบบ Full Size มาให้ผู้ใช้งานได้ใช้กันได้อย่างสบายๆ ที่มาพร้อมปุ่มแป้นคีย์ตัวเลข (Numpad) โดยตัวปุ่มจะเป็นสีดำ มีฟอนต์เป็นสีขาวรวมไปถึงแป้นปุ่มตรงตัวอักษร WASD และปุ่มทิศทาง นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ Backlit สีส้มที่ดูแล้วโดดเด่นและแตกต่าง ที่ให้ความสว่างพอสมควรดูเป็น Gaming Notebook สวยงาม เอามาเล่นตอนกลางคืนสบายๆ อีกทั้งเรื่องการกดการสัมผัสบนคีย์บอร์ดที่ปุ่มมีความนุ่มติดมือ รู้สึกได้เลยว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปแน่นอน
ในส่วนทัชแพดนั้นจะมีขนาดใหญ่พอดีๆ ออกแบบปุ่มมาเป็นแบบชิ้นเดียวซ่อนปุ่มตามสมัยนิยมทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา มีขอบเป็นสีเงินสวยงาม ให้ความลื่นไหลในการใช้งานเป็นอย่างดี ซึ่งตัวทัชแพดจะวางตัวไปทางด้านซ้ายของเครื่องเล็กน้อยไม่ได้อยู่ตรงกลางหน้าจอเป๊ะๆ โดยรวมก็สามารถใช้งานได้ดีไม่ปัญหาแต่อย่างใด
ASUS ZenBook Pro Duo UX581
ASUS ZenBook Pro Duo UX581 ที่จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊ค 2 จอสุดล้ำ ถือว่าเป็นสุดยอดโน๊ตบุ๊คแห่งปี 2019 ก็ว่าได้ ซึ่งมาพร้อมกับ ScreenPad Plus กับหน้าจอที่สอง ต่อยอดมาจากปีก่อนอย่าง ScreenPad ที่ทัชแพดเป็นหน้าจอที่สอง มาพร้อมสเปกแรงลื่นด้วย Intel Core i7-9750H + GeForce RTX 2060 + RAM 32GB + SSD 1TB พร้อมจอ OLED 4K ขนาด 15.6″ + 14″ IPS รองรับการทัชสกรีนทั้งคู่ และมีปากกาในชุดบันเดิลทันที ในราคา 89,990 บาท ส่วนรุ่นสเปกที่ได้เป็น Core i9-9980HK จะมีราคาอยู่ที่ 109,990 บาท ประกัน 2 ปีตามสไตล์ของ ASUS
การมาของ ASUS ZenBook Pro Duo UX581 ทำเอาตลาดโน๊ตบุ๊คสั่นสะเทือนกันอีกครั้ง โดยเป็นโน๊ตบุ๊คที่รองรับการทำงานที่หลากหลายพร้อมๆ กันอย่างแท้จริง ด้วย ScreenPad Plus โดยที่เราไม่จำเป็นต้องหาหน้าจอภายนอกมาเชื่อมต่อแต่อย่างใด เป็นหน้าจอขนาดใหญ่ โดยอยู่ใต้หน้าจอหลัก ส่วนการใช้งานก็หลากหลายมากๆ จะเป็นหน้าจอที่สองเปิดโปรแกรมเพิ่ม หรือจะใช้งานเป็นส่วนของเครื่องมือโปรแกรมนั้นๆ รวมไปถึงลงแอปเพิ่มเติมได้อีก ทำให้ในการใช้งานของเรานั้นมีความหยืดหยุ่นกว่าเดิมอย่างที่ไม่เคยมีโน๊ตบุ๊คตัวไหนบนโลกทำได้มาก่อน
ดีไซน์โดยรวมของ ASUS ZenBook Pro Duo UX581 นั้นจะดูเล็กกว่าและบางกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ อยู่พอสมควร โดยมีน้ำหนักเบาทเพียง 2.5 กิโลกรัม และเนื่องด้วยมีขอบจอที่ค่อนข้างบางตามสไตล์ NanoEdgeทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพาสะดวกสบาย แม้จะไม่ได้เบาที่สุดๆ แต่ได้ฟีเจอร์จัดเต็มแบบไร้คู่แข่ง เพราะในตลาดตอนนี้แนวคิด 2 หน้าจอแบบนี้มีเพียง ASUS เท่านั้น
ส่วนงานประกอบก็เป็นแบบ Unibody ที่แทบจะไร้รอยต่อเลยทีเดียว พร้อมตัดขอบตัวเครื่องรอบๆ แบบ Daimond Cutting ขอบตัวเครื่องด้านหลังมีความสวยงามเรียบง่ายแต่ดูแพง โดยมีการเพิ่มคำว่า ZenBook Series ลงไป ส่วนขอบด้านหน้าก็ทำมิติเพื่อให้เปิดจอได้ง่าย พร้อมกับติดตั้งไฟ LED หลากสีแสดงสถานะการทำงานเอาไว้ด้วย โดยสามารถใช้กับ Alexa ได้อีกด้วย
ซึ่งการออกแบบออกมาได้ดูทันสมัยและเรียบง่ายมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของมุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบมุมเป็นเหลี่ยม มิติโดยรวมเป็นแบบสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนให้ผิวสัมผัสที่ดี รวมถึงแกนพับหน้าจอขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางดูแข็งแรงทนทานสุดๆ เลยทีเดียว ที่สำคัญเลือกใช้สีสันเป็น Celestial Blue ลักษณะสีน้ำเงินพร้อมแซมด้วยสีเงินลงไปที่ไม่เหมือนใคร ส่วนวัสดุงานประกอบจะเป็นอลูมิเนียมเกรดสูงทั้งหมดพร้อมความทนทานระดับ Military Standard ด้วยการผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด
ตัวเครื่องภายนอกทั้งฝาหลังและด้านล่างตัวเครื่องวัสดุจะเป็นอลูมิเนียมทั้งหมด ซึ่งโลหะเกรดนี้มีความแข็งแรงมากกว่าโลหะอัลลอยธรรมดาแสดงถึงความเอาใจใส่ในรายละเอียดของการดีไซน์ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นฝาหลัง ตัวเครื่องด้านใน และใต้ตัวเครื่อง ทำให้มีทั้งความแข็งแรในด้านดีไซน์ฝาหลังใช้ลวดลายเป็นวงกลมล้อมรอบโลโก้ ASUS แต่ถูกขยับไปทางด้านขวา มีอีกจุดที่ทำมาได้น่าสนใจมากคือบานพับแบบ ErgoLift ที่เมื่อกางหน้าจอออก ตัวบานพับก็จะหนุนเครื่องให้ลาดเอียงขึ้นไปอีก (ทำมุมได้สูงสุดในทุกรุ่น)
ซึ่งเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับการใช้พิมพ์งาน รวมถึงยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน และช่วยเพิ่มพลังเสียงให้กับลำโพงภายในจาก Harman / Kardon ได้อีกด้วย ส่วนช่องระบายอากาศก็จะมีอยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาของตัวเครื่อง พร้อมซ่อนอยู่ใต้หน้าจออีก 1 แถวยาว โดยเป็นช่องที่ใช้ระบายความร้อนจากภายใน ส่วนช่องดูดลมจากภายนอกเข้าไปข้างในจะอยู่ที่ฝาด้านล่างของตัวเครื่อง
ในเรื่องของสเปก ASUS ZenBook Pro Duo UX581 นั้น แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือรุ่น ชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H และ Core i9-9980HK ที่ในเรื่องของประสิทธิภาพความแรงหายห่วงได้ เมื่อเล่นเกมหรือประมวลผลหนักๆ รวมถึงรองรับการทำงานที่หลากหลายพร้อมๆ กันก็ทำได้อย่างดีที่สุด ซึ่งรุ่นที่เราได้รับมาทดสอบนั้นเป็นรุ่น Intel Core i7-9750H สนนราคาที่ 89,990 บาท ส่วนรุ่น Core i9-9980HK จะมีราคาอยู่ที่ 109,990 บาท โดยแตกต่างกันแค่สเปกของชิปประมวลผลเท่านั้น
ส่วนสเปกอื่นๆ เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นการ์ดจอแยกที่ติดมาให้นั้นจะเป็น NVIDIA GeForce RTX2060 (6GB GDDR6) ที่มีความแรงพอตัว เล่นเกมได้ลื่นและสนับสนุนหน้าจอความละเอียดสูง แรมก็ให้มา 32GB DDR4 แบบ 16GB x 2 ส่วน SSD M.2 NVMe มีมาให้ความจุ 1TB ทั้งใหญ่และแรง โดยตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit มาให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานหรูหราระดับสูงสุดของทาง ASUS ก็ว่าได้
ที่สำคัญเลยก็คือใช้จอหลักเป็นมาตรฐานใหม่ OLED ขนาด 15.6″ ที่แสดงสีสันได้ดีเยี่ยมสุดของหน้าจอปัจจุบัน บนความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล มาตรฐาน Ultra HD 4K และจอที่สอง ScreenPad Plus ได้ขนาดที่ 14″ บนความละเอียด 3840 x 1100 พิกเซล ซึ่งทั้ง 2 หน้าจอนี้รองรับการทัชสกรีนจากนิ้ว และปากกาไว้วาดขีดเขียนจากทาง ASUS ที่บันเดิลมาด้วย
ส่วนเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้น มีมาอย่างครบครัน ทั้ง USB 3.1 Type-A จำนวน 2 พอร์ต, HDMI, ช่องต่อหูฟัง และ Thunderbolt 3 อีก 1 พอร์ต ส่งผลให้การใช้งานนั้นครอบคลุม ที่สำคัญยังมาพร้อมการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX และ Bluetooth 5.0 รุ่นล่าสุดดีที่สุด แน่นอนว่ามาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ ส่วนการรับประกันมีระยะ 2 ปีตามมาตรฐาน ASUS พร้อมประกันอุบัติเหตุใน 1 ปีแรกอีกด้วย
- Core i7-9750H / RTX 2060 / RAM 32GB / SSD 1TB / Windows 10 ราคา 89,990 บาท
- Core i9-9980HK / RTX 2060 / RAM 32GB / SSD 1TB / Windows 10 ราคา 109,990 บาท
นอกจากนี้ ASUS ZenBook Pro Duo UX581 ยังบันเดิลของมาสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น Plam Rest ที่รองข้อมือต่อจากแป้นคีย์บอร์ดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีแท่นรองตัวเครื่องที่สามารถพับเก็บไปมาได้ โดยออกแบบมาไม่ให้บังช่องลมด้านใต้ตัวเครื่อง บอกได้เลยว่า ASUS ใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ