เป็นอีกหนึ่งโน๊ตบุ๊คที่หลายคนรอคอย สำหรับการมาของ Surface Laptop 3 จาก Microsoft ที่เพิ่งขายในไทยกันไปแล้ว ในราคา 34,990 – 52,990 บาท โดยมาพร้อมกับ 2 ขนาดหน้าจอด้วยคือ 13.5″ / 15″ แน่นอนว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่เน้นความพรีเมียมหรือหราบางเบาตามสไตล์ของ Microsoft โดยตัวเครื่องวัสดุใช้เป็นอลูมิเนียมที่ให้ความแข็งแรงทนทานหรูหรา แต่ยังเปี่ยมด้วยประสิทธิภาพการทำงานและฟีเจอร์ต่างๆ ที่จัดเต็มอยู่ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.25 กิโลกรัมและบางเพียง 14.5 มิลลิเมตร สำหรับหน้าจอ 13.5″
ในส่วนของรุ่นที่แอดมินโป้งได้รับมารีวิวเป็นหน้าจอ 13.5″ สัดส่วนหน้าจอ 3:2 ที่ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล สเปกมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 สถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร ให้ประสิทธิภาพการใช้งานที่เหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นก่อนๆ พอตัว เรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น เน้นเรื่องของการพกพา เมื่อเปิดฝาเครื่อง Instant On สามารถใช้งานต่อได้ทันที พร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อ ทั้ง USB-A / USB-C และ Surface Connect สำหรับชาร์จไฟโดยเป็นแบบแม่เหล็กที่ใช้งานสะดวก
Specification
Surface Laptop 3 จาก Microsoft สเปก Intel Core i Gen 10 มาพร้อมกับ 2 สเปก 2 ราคา ที่เป็นชิปประมวลผล Intel Core i5-1035G1 (1.0 – 3.6GHz) หรือ Intel Core i7-1065G7 (1.3 – 3.9GHz) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลที่ดีและสามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้ที่ต้องบอกว่าแรงมากๆ
เป็นซีพียูแบบ 4 Core 8 Threads ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลหนักก็รองรับได้อย่างสบายๆ พร้อมการ์ดจอออนชิป Intel Iris Plus Graphics รุ่นใหม่ทั้ง G1 / G7 ที่ดีขึ้นกว่าเดิม และด้วยการที่เป็นสถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโนเมตรรุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้ร้อนน้อยกว่าเดิม พร้อมประสิทธิภาพของ AI ที่เร็วขึ้น 2.5-3 เท่า นับว่าก้าวกระโดดจาก Surface Laptop 2 รุ่นก่อนพอตัวเลยทีเดียว
มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB – 16GB DDR4 และ SSD M.2 NVMe ความจุ 128 – 256GB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้ รองรับการสำรองไฟล์ต่างๆ ได้แบบสบายๆ สนับสนุนการทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ ส่วนความบันเทิงดูหนังฟังเพลง ชม Netflix ก็สบายๆ ไปอีก และพอที่จะใช้งานหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอก็พอได้บ้าง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติก็ลื่นไหล
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีขนาด 13.5″ พาเนล IPS เกรดดี ที่ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล โดยมีความหนาแน่นอยู่ที่ 201 PPI พร้อมรองรับการทัชสกรีน 10 จุดพร้อมๆ กัน รวมไปถึง Surface Pen ไว้ขีดเขียนก็สามารถทำได้ แน่นอนว่ามีเทคโนโลยี PixelSense ทำให้ได้สีสันที่สวยงามสมจริง เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ค่อนข้างครบ USB 3.1 Type-C ที่รองรับ DisplayPort และ Power Delivery ในตัว และมี USB 3.1 Type-A และช่องหูฟัง 3.5 ม.ม. เป็นมาตรฐาน แน่นอนมีพอร์ต Surface Connect 1 ช่อง ที่เป็นแม่เหล็กไว้ชาร์จไฟด้วย ที่สำคัญยังมาพร้อม Intel Wi-Fi 6 AX ที่แรงขึ้น 3 เท่า และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 ใหม่ล่าสุด ได้ประกันจะเป็นแบบ 1 ปี ตามมาตรฐานของ Microsoft ประเทศไทย
- Core i5-1035G1 / RAM 8GB / SSD 128GB ราคา 34,990 บาท
- Core i5-1035G1 / RAM 8GB / SSD 256GB ราคา 44,990 บาท
- Core i7-1065G7 / RAM 16GB / SSD 256GB ราคา 52,990 บาท
Hardware / Design
การออกแบบโดยรวมของ Surface Laptop 3 จาก Microsoft มาในรูปแบบของ Ultrabook ที่เป็นโน๊ตบุ๊คเน้นความบางเบา เน้นการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ซึ่งมาพร้อมความพรีเมียมหรูหราตามสไตล์ของ Microsoft ในส่วนของฮาร์ดแวร์ วัสดุใช้เป็นอะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่ให้ทั้งความแข็งแรงทนทานน้ำหนักเบา สัมผัสดีเยี่ยมกว่าอลูมิเนียมแบบปกติทั่วไป ซึ่งมีสีสันให้เลือก 2 สีคือ สีดำด้านและสีเงินแพลทตินัม โดยรุ่นขนาดหน้า 13.5″ มีน้ำหนักอยู่ที่ 1.25 กิโลกรัม ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบา เน้นพกพาสะดวก แต่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
มีรูปร่างรูปลักษณ์ไปในทิศทางเดียวกับตระกูล Surface ทั้งหมด โดย Surface Laptop 3 ที่นับว่าค่อนข้างสมบูรณ์แบบและเป็นเอกลักษณ์ดีอยู่แล้ว กับการออกแบบที่เป็นโน๊ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะมาจากทาง Microsoft โดยตรง ให้ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือชั้นทรงพลังด้วยชิปประมวลผลภายในอย่างชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 โดยทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ที่ลงตัว แน่นอนมีตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คบางเบาที่มีความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ
ดีไซน์การออกแบบของ Surface Laptop 3 ดูผ่านๆ แม้ดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลยจากรุ่นก่อนๆ สำหรับรูปลักษณ์ด้านนอก อย่าง Surface Laptop 2 แต่ที่เห็นเด่นชัดเลยก็คือ การไม่ใช้วัสดุ Alcantara แล้วบริเวณที่เป็นที่วางมือ ซึ่งแม้จะนับว่าเป็นวัสดุผ้าที่มีความหรูหราสวยงามก็จริง โดยเป็นวัสดุเดียวกับซีรีส์ Surface Pro ส่วนของ Type Cover (Docking Keyboard) แต่ก็มีข้องสังเกตุว่าอาจจะเลอะง่ายถ้ามือเราไม่สะอาดขณะใช้งาน ฉะนั้นก็ทำให้เราไม่ต้องระวังเรื่องนี้อีกต่อไป แต่เปลี่ยนไปใช้อะลูมิเนียมอัลลอยด์ทั้งหมดไปเลย
สำหรับมิติตัวเครื่องจะอยู่ที่ 308 มม. x 223 มม. x 14.5 มม. เรียกได้ว่า Surface Laptop 3 มีความบางสุดเพียง 14.5 มิลลิเมตรเท่านั้น อีกทั้งจากการที่ขอบหน้าจอบางเฉียบลงไปอีก ก็ทำให้มิติตัวเครื่องเล็กลงไปกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป โดดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยีการผลิตรูปแบบ Unibody ที่แทบจะไร้รอยต่อ โดยทั้งเครื่องประกอบจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ซึ่งฝาหลังมาพร้อมเอกลักษณ์ชัดเจน ก็คือ โลโก้ Windows ที่มีมีความมันวาวตัดกับผิวของตัวเครื่องโดยรวมที่เป็นแบบด้าน
ด้านล่างตัวเครื่องของ Surface Laptop 3 จะเห็นว่ามีความเรียบเนียนมากๆ และไม่มีช่องอะไรเลย แต่จะมีช่องดูดลมเย็นอยู่ที่ขอบตัวเครื่องด้านหลังติดกับช่องระบายความร้อนที่อยู่ใต้หน้าจอแทน โดยส่วนที่เป็นสี่ดำกลมจะเป็นยางรองตัวเครื่องทั้ง 4 ด้าน เพื่อยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้น รวมถึงความั่นคงในการวางเครื่องกับโต๊ะ สำหรับส่วนของน็อตทั้งหมดจะถูกซ่อนเอาไว้ใต้ยางรองนี้ด้วย อีกทั้งจะมีโลโก้ Microsft เล็กๆ ติดตั้งเอาไว้ด้วย
เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คปี 2019 อีกหนึ่งรุ่นที่มีดีไซน์และงานประกอบที่เยียมยอดจริงๆ ให้ความมินิมอลแบบสุดๆ แตกต่างจากโน๊ตบุ๊คแบรนด์อื่นๆ จริงๆ เหมาะกับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คบางเบาระดับสูงเน้นใช้งานทางการซะหน่อย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศหรือระดับผู้บริหาร ที่โน๊ตบุ๊คเครื่องที่เราใช้งานอยู่ก็นับว่าเป็นภาพลักษณ์ที่สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ Surface Laptop 3 เป็นสีสันเดียวกับตัวเครื่องให้ประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอด ให้ความนุ่มนวลเด้งรับกับการพิมพ์อย่างลงตัว กับระยะกดเพียง 1.3 มิลลิเมตร ให้เสียงปุ่มเบา มาพร้อมด้วยไฟเรืองแสงสีขาวให้แสงสว่างในการทำงาน ที่ตอบสนองได้ดีกว่าคีย์บอร์ดทั่วไปแบบรู้สึกได้แถมยังสวยงามหรูหรา ส่วน Layout คีย์บอร์ดยังคงเป็น 4 แถวขนาด Full Size ซึ่งตัวปุ่มเองมีความโค้งรับเข้ากับนิ้วมือลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม และช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำ โดดเด่นด้วยปุ่ม Hotkey แถวบนสุดที่ใช้งานได้สะดวก พร้อมปุ่ม Power / PrtScn / Volume จะมีตุ่มนูนขึ้นมาด้วย
ส่วนดีไซน์ทัชแพดนั้นก็ใช้เป็นขนาดที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อน สัมผัสแบบกระจกให้ความรู้สึกติดนิ้ว แบบไม่มีปุ่มแยกคลิกซ้ายคลิกขวาออกมาให้ชัดเจน เช่นเดียวกับโน๊ตบุ๊คปัจจุบันหลายๆ รุ่น การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก ควบคุมที่ทันใจ ก็เหนือกว่าทัชแพดของโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่น จากการที่ดีไซน์การออกแบบที่คิดและปรับปรุงตลอดมาของทาง Microsoft แน่นอนว่ารองรับการใช้งาน Multi Gesture ผ่านทาง Windows 10 ได้สมบูรณ์แบบ
Screen / Speaker
ต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่ยังคงเอกลักษณ์เอาไว้สำหรับ Surface Laptop 3 กับสัดส่วนของหน้าจอแสดงผลแบบ 3:2 ที่ต้องบอกว่ามีความสวยงามสมจริงแบบสุด ด้วยเทคโนโลยี PixelSense บนขนาดหน้าจอที่ 13.5″ ซึ่งจัดว่ามีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป บนความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล (201 PPI) ทำให้มีความเรียบเนียนตาอย่างที่สุด แทบจะไม่เห็นเม็ดพิกเซลบนหน้าจอเหมือนกับที่เราใช้บนสมาร์ทโฟนรุ่นท๊อป โดยเหมาะกับการทำงานมากๆ แน่นอนที่สุดกับหน้าจอทัชกรีนที่รองรับ 10 จุดพร้อมกัน พร้อมรองรับใช้งานปากกา Surface ได้ด้วย (ซื้อเพิ่มเอง) ทำให้เราใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากที่ Surface Laptop 3 มาพร้อมไมโครโฟน Studio Mic คู่แบบรับเสียงจากระยะไกล และกล้องหน้าความละเอียด 720p ที่ไว้วีดีโอคอลเป็นหลัก ยังมีในส่วนของกล้อง IR ที่ไว้ใช้งานเฉพาะกับฟีเจอร์ Windows Hello อีกด้วย เพื่อเข้าใช้งานที่เน้นความปลอดภัยแบบไม่ต้องกรอกรหัสอีกต่อไป รวมไปถึงยังมีการติดตั้ง Ambient Sensor ที่ช่วยปรับความสว่างอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมที่เรากำลังใช้งานอยู่ เรียกได้ว่าให้ประสบการณ์ใช้งานด้านจอภาพที่เยียมยอดจริงๆ
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 86% และ AdobeRGB ที่ 66% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันดีมากเลยทีเดียว แต่นั่นก็อาจจะยังไม่ถึงระดับ sRGB 90+ เหมือนโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายๆ รุ่นที่เคนทดสอบ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 350 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าค่อนข้างสว่างเลยทีเดียว เหมาะสำหรับใช้ในงานตกแต่งภาพที่ต้องการความเที่ยงตรงของสีเป็นหลัก
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องมุมขวาแถวบน 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ แต่สำหรับขอบจอช่องมุมซ้ายแถวล่างที่ลดลงไปถึงระดับ 14% ซึ่งต้องใช้งานอย่างระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงมุมนี้สำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนนรวม 4.0 คะแนนถือว่าได้ว่าค่อนข้างดีมากเลยทีเดียวครับ
ส่วนของลำโพงสองตัวสเตอริโอ Omnisonic ที่ติดตั้งซ่อนอยู่บริเวณใต้แป้นคีย์บอร์ดทั้งซ้ายและขวา เป็นแบบระบบเสียง Dolby Audio Premiumให้คุณภาพและความดังที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับขนาดที่เล็ก จากการใช้งานไม่ว่าจะดูหนังฟังเพลง ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าเทียบกับโน๊ตบุ๊คบางเบาหรือ Ultrabook ที่มีราคาใกล้เคียงกัน นับได้ว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีมากๆ
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง Surface Laptop 3 มีความครบครับที่สุดรุ่นนึง แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบาแต่เรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น ก็มีมาให้มากพอทีเดียว เริ่มด้วย Surface Connect สำหรับชาร์จไฟโดยเป็นแบบแม่เหล็กที่ใช้งานสะดวก ด้วยพอร์ต USB 3.1 Type-A จำนวน 1 พอร์ต ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้โดนตรง อีกทั้งยังมี USB 3.1 Type-C ไว้โอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูงพร้อมเชื่อมต่อกับจอแสดงผลมาตรฐาน DisplayPort และยังรองรับการชาร์จไฟด้วยเทคโนโลยี PD ด้วย (Power Delivery) แน่นอนว่ามีช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรอยู่แล้ว
ขนาดของตัวเครื่องและสายชาร์จ เมื่อเทียบกับขนาดของ Ultrabook ทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร ที่สำคัญแดปเตอร์ที่ชาร์จก็ยังคงทำได้ดีด้วยการมีพอร์ต USB ไว้ชาร์จอุปกรณ์อื่นๆ อย่างสมาร์ทโฟน หรือ Power Bank ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 1.25 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์เข้าไปด้วย ก็จะมีหนักราวๆ 1.5 กิโลกรัมเท่านั้น แน่นอนว่าตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ
Performance / Software
Surface Laptop 3 ที่ได้รับมารีวิวเป็นสเปกขายจริง ได้ชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดระดับสูงในซีรีส์ที่เน้นการประหยัดพลังงาน อย่าง Intel Core i7-1065G7 สถาปัตยกรรม Ice Lakeใหม่ล่าสุด ทำงานแบบ 4 Core / 8 Thread ความเร็ว 1.0 – 3.6GHz เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 15Wattโดยมีการ์ดจอบนชิปเป็น Intel UHD Graphics G7 ที่รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนชิปอย่าง Intel UHD G7 ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดของกราฟิกชิปในทุกรุ่น ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ดีเยี่ยม รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงได้แบบไม่มีปัญหาระดับ 2256 x 1504 พิกเซล (201 PPI) บนหน้าจอของ Surface Laptop 3 แบบสบายๆ ลื่นไหล อย่างที่สเปกรุ่นก่อนๆ ทำไม่ได้
ส่วนแรมก็ให้มาเป็นแบบ 16GB DDR4 LPDDR4x Bus 3733 MHz ที่เหลือเฟือต่อการใช้งาน อีกทั้งได้ที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB ที่ได้ทั้งขนาดที่ใหญ่ใส่ไฟล์ได้เยอะ และเป็นรุ่นเกรดสูงความเร็วสูง โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home Single Language มาตั้งแต่แกะกล่อง ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องลิขสิทธิ์ Windows เลยครับ ส่วนถ้าต้องการเคลียร์เครื่อง ก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน Reset this PC ที่อยู่ใน Settings ของ Windows 10 ได้เลยโดยไม่ต้องฟอร์แมต SSD เพื่อลง Windows ใหม่
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจมากๆ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย ด้วยการที่เป็นสถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโนเมตรรุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้ร้อนน้อยกว่าเดิม พร้อมประสิทธิภาพของ AI ที่เร็วขึ้น 2.5-3 เท่ารวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 256GB แบบ M.2 NVMe ระดับกลางๆ แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 2314 MB/s และเขียนที่ 1599 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมที่น่าประทับใจ จัดว่าเป็น SSD M.2 NVMe ระดับกลางค่อนบน แต่ในความเป็นจริงแล้ว น่าจะให้ตัวที่สเปกที่ความสูงกว่านี้
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 4,394 รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 อย่าง Intel Core i7-1065G7 พร้อมแรมขนาด 16GB LPDDR4x และ SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB ที่แรงยิ่งขึ้น ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปก Intel Core i Gen 8 ตระกูล U รุ่นก่อนๆ ใกล้เคียง Intel Core i Gen 9 ตระกูล H ยิ่งไปอีกขั้น
ทดสอบเกมสำหรับ Surface Laptop 3 คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 3 เกมออนไลน์ เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยค่อนข้างลื่นไหล น่าประทับใจทีเดียว เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมมาก ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-1065G7 ที่ได้การ์ดจอออนชิปเป็น Intel Iris Plus Graphics อย่าง G7 ประกอบกับใช้แรม 16GB LPDDR4x รวมไปถึง SSD ก็ส่งผลช่วยด้วย
สำหรับเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมด ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่เฉลี่ยที่ 40 แต่ฉากตะลุมบอนกันก็เฟรมเรทลดลงไปที่ 18 (อยากลื่นกว่านี้ก็ปรับกลางๆ ได้) และในส่วนของเกม Overwatch ที่ปรับ Low ทดสอบแล้วจะมีเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ 44 ซึ่งต่ำสุดจะอยู่ที่ 32 ทีเดียว โดยรวมแล้วแม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความบางเบา แต่ก็พอที่จะเล่นเกมได้ดีทีเดียว
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ Surface Laptop 3 เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น โดยสามารถใช้งานจริงต่อเนื่องยาวนานได้เกือบ 7 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ (ดูภาพยนตร์และเล่นอินเตอร์เน็ต) โดยปรับเป็น Power Saver Mode เชื่อมต่อผ่านทาง Wi-Fi และคาดว่าจะระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่จะเปลี่ยนแปลงตามการใช้งานของแต่ละคน โดยอาจจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ตัวแปร อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยการรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ที่รวดเร็วจาก 0 – 80% ภายใน 1 ชั่วโมงเท่านั้น
อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 35 – 50 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าชิปประมวลผลจะร้อนที่สุดที่ 95 องศาเซลเซียส นับว่าระบบระบายความร้อนของ Surface Laptop 3 เครื่องนี้ทำออกมาได้ดี แม้ชิปประมวลผลจะดูว่าร้อน แต่ก็สามารถจัดการระบบระบายความร้อนออกมาอย่างน่าประทับใจไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการใช้งาน ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 Ice Lake ใหม่ล่าสุด 10 นาโนเมตร ที่แม้ตัวเครื่องจะบางเบาสุดๆ ก็ตามส่วนช่องระบายความร้อนของ Surface Laptop 3 จะอยู่ด้านบนของฐานเครื่องบริเวณขาพับจอ โดยออกแบบให้ซ่อนตัวเอาไว้ด้านหลังติดกับกรอบอะลูมิเนียมของจอ ถึงพับจอก็ไม่เห็นช่องระบายความร้อนเลย
Conclusion / Award
สรุปการทดสอบ Surface Laptop 3 ต้องบอกว่าน่าประทับใจในหลายๆ ส่วนสมกับเป็น Ultrabook สุดหรูจากทาง Microsoft แน่นอนว่าคงไม่หนีจากเรื่องของดีไซน์และงานประกอบที่ทำได้ดีตามาตรฐานของ Surface วัสดุอะลูเนียมอัลลอยด์ให้ฟิลลิ่งสัมผัสที่ดีมากๆ รวมไปถึงจากความที่เป็น Microsoft การออกแบบก็ดูลงตัวสไตล์เรียบหรูดูดีไม่แพ้ MacBook ของ Apple กันเลยทีเดียว สำหรับหน้าจอสัมผัส การใช้ Surface Pen ก็ถือว่าสมบูรณ์อยู่แล้ว พอร์ตการเชื่อมต่อก็อยู่ในเกณ์ที่ยอมรับได้ รวมไปถึงกล้อง IR ที่เมื่อใช้งามร่วมกับฟีเจอร์ Windows Hello ต้องบอกว่าสุดยอดจริงๆ ทั้งความเร็ว ง่าย และแม่นยำ
โดดเด่นเหนือกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วยการที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กเทียบเท่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3″ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.5″ เทคโนโลยี PixelSense ที่ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล (201 PPI) รวมไปถึงก็มีน้ำหนักเบากว่าด้วย เพียง 1.25 กิโลกรัมและบางสุดเพียง 14.5 มิลลิเมตรเท่านั้น พร้อมมีดีไซน์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนๆ ซึ่งมีความเรียบง่ายยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Microsoft ไว้เต็มเปี่ยม ที่สำคัญในรุ่นนี้มีสีสันที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ก็คือ สีดำด้านและสีเงินแพลทตินัม ซึ่งเหมาะกับหนุ่มๆ หรือสาวๆ ที่เน้นความเท่ ที่ได้ความหรูหราและเป็นทางการ นับว่าเป็นส่วนที่มีผลต่อการซื้อเหมือนกัน
ที่สำคัญคือราคาค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับสเปกที่ได้ ตั้งแต่ชิปประมวลผล Intel Core i5-1035G1 (1.0 – 3.6GHz) หรือ Intel Core i7-1065G7 (1.3 – 3.9GHz) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลที่ดีและสามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้ที่ต้องบอกว่าแรงมากๆ ซึ่งราคาขนาดนี้เรายังจำเป็นต้องซื้อ Surface Pen แยกอีกทีถ้าจะใช้งาน อีกทั้งพาเนลหน้าจอน่าจะดีกว่านี้ที่ขอบเขตสี sRGB 100% ขึ้นไป (คือมันราคาระดับนี้แล้วไง)
สำหรับแบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุดแค่ 6:40 ชั่วโมงเท่านั้น (จากที่อ้างคือ 11 ชั่วโมง ไม่สามารถทำได้) ที่สำคัญการที่ออกแบบมาให้ไม่มีพัดลมระบายความร้อน หากร้อนเกินกำหนด จะลดความเร็วลงมา ส่วนพอร์ต USB Type-C ควรเป็นมาตรฐาน Thunderbolt 3 แล้ว ปิดท้ายด้วยการรับประกันเพียง 1 ปีอาจจะดูหน่อยไปหน่อย และไม่แน่ใจเรื่อง QC จะมาแบบเดียวกับ Surface Pro ไหม เพราะคนบ่นมากันเยอะเหมือนกันว่าเจอปัญหาและเคลมกันเยอะ
เอาเป็นว่าใครอยากได้ Notebook สายบางเบา ที่ใกล้เคียงความว่าสมบูรณ์แบบที่สุดในราคาที่ไม่เกี่ยงและยอมรับจุดสังเกตต่างๆ ได้แล้วล่ะก็ Surface Laptop 3 จากทาง Microsoft ต้องเป็นคำตอบแรกๆ ของทุกคนแน่นอน ที่จะว่าไปแล้วนั้นตัวชนจริงๆ ของแต่ละแบรนด์มีอยู่เต็มไปหมด ด้วยการที่เป็นผลิตภณฑ์ Ultrabook ตลาดบน wfhสเปกใหม่ล่าสุดด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 สถาปัตยกรรม Ice Lake แม้ว่าราคาจะสูงที่สูงขนาดที่ว่าซื้อ Ultrabook แบรนด์อื่นๆ ที่ได้สเปกแรมและ SSD ที่ดีกว่าได้เลยล่ะ
แต่ยังไงก็ตามใครเป็นแฟน Microsoft อยู่แล้วและยอมจ่ายก็จัดกันได้เลย ส่วน Surface Laptop 3 หน้าจอ 15″ สเปก AMD Ryzen 5 3500U ถ้าได้มีโอกาสทดสอบ เราจะมาว่ากันอีกที ซึ่งนั่นก็จัดว่าเป็น AMD Notebook ที่ราคาสูงที่สุดรุ่นนึงในตลาดก็ว่าได้
จุดเด่น
- เป็น Ultrabook หน้าจอ 13.5 นิ้ว แต่มีขนาดตัวเครื่องเล็กกระะทัดรัดพกพาสะดวก
- พาเนลหน้าจอ IPS มีคุณภาพสูง ขอบเขตสีกว้าง รองรับการทัชสกรีน
- ได้หน้าจอเทคโนโลยี PixelSense ความละเอียดสูงระดับ 2256 x 1504 พิกเซล (201 PPI)
- น้ำหนักเบาตัวเครื่องบาง วัสดุเป็นอลูมิเนียมแบบพิเศษ ให้ความพรีเมียมสุดๆ
- ประสิทธิภาพดีด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 Ice Lake รุ่นล่าสุด
- รองรับการชาร์จแบตที่ไวจาก 0 – 80% ภายใน 1 ชั่วโมง
- เปิดฝาเครื่อง Instant On สามารถใช้งานต่อได้ทันที
- ติดตั้ง Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax ใหม่สุดๆ ดีกว่าเดิม 3 เท่า
- มีพอร์ตการเชื่อมต่อ ทั้ง USB-A / USB-C พร้อมรองรับ ชาร์จไฟ PD / ต่อจอแยก
- Surface Connect สำหรับชาร์จไฟโดยเป็นแบบแม่เหล็กที่ใช้งานสะดวก
- มี Windows 10 แท้ และมีซอฟต์แวร์ต่างๆ พร้อมใช้งาน
- รองรับ Windows Hello ด้วยกล้อง IR และมี Ambient Sensor
- อแดปเตอร์มีขนาดเล็ก พร้อมมีช่องเชื่อมต่อชาร์จไฟ USB-A
- ลำโพง Omnisonic ระบบเสียง Dolby Audio Premiumให้คุณภาพที่ดีและดัง
ข้อสังเกตุ
- เทียบสเปกเฉพาะ CPU / RAM / SSD มีราคาสูงกว่า Notebook ทั่วไปพอสมควร
- ความร้อนสูงสุดค่อนข้างสูง (แต่ไม่มีผลในการใช้งาน) เพราะจัดการออกได้ดี
- SSD ที่ให้มาความเร็วในการเขียนอ่านน้อยไปหน่อย แต่ก็เพียงพอต่อใช้งาน
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานน้อยกว่าที่ 6:40 ชั่วโมง จากที่เคลมไว้ 11 ชั่วโมง
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของ Ultrabook ขนาดหน้าจอ 13.3 – 13.5 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง Surface Laptop 3 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Surface Series จากทาง Microsoft มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน Surface Laptop 3 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ มีความเรียบง่ายเรียบเนียนแต่หรูหรา ตัวเครื่องหลักๆ สีสันจะเป็นสีดำด้านและสีเงินแพลทตินัม สำหรับด้านนอกทั้งฝาหลังและด้านล่างตัวเครื่อง ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
Best Mobility
ความสามารถในการพกพาของ Surface Laptop 3 ก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ Ultrabook อยู่เช่นเดิม ทั้งในความบางเพียง 14.5 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 1.25 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะระบบไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พร้อมเปิดฝาเครื่อง Instant On สามารถใช้งานต่อได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่เล็กมาก พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ
Best Performance
ด้วยสเปก Surface Laptop 3 ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ตัวล่าสุด อย่าง Intel Core i7-1065G7 ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB LPDDR4x Bus 3733 MHz รวมไปถึง SSD ความเร็วสูง PCIe ความจุ 256GB ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย
Specification
Surface Laptop 3 จาก Microsoft สเปก Intel Core i Gen 10 มาพร้อมกับ 2 สเปก 2 ราคา ที่เป็นชิปประมวลผล Intel Core i5-1035G1 (1.0 – 3.6GHz) หรือ Intel Core i7-1065G7 (1.3 – 3.9GHz) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลที่ดีและสามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้ที่ต้องบอกว่าแรงมากๆ
เป็นซีพียูแบบ 4 Core 8 Threads ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลหนักก็รองรับได้อย่างสบายๆ พร้อมการ์ดจอออนชิป Intel Iris Plus Graphics รุ่นใหม่ทั้ง G1 / G7 ที่ดีขึ้นกว่าเดิม และด้วยการที่เป็นสถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโนเมตรรุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้ร้อนน้อยกว่าเดิม พร้อมประสิทธิภาพของ AI ที่เร็วขึ้น 2.5-3 เท่า นับว่าก้าวกระโดดจาก Surface Laptop 2 รุ่นก่อนพอตัวเลยทีเดียว
มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB – 16GB DDR4 และ SSD M.2 NVMe ความจุ 128 – 256GB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้ รองรับการสำรองไฟล์ต่างๆ ได้แบบสบายๆ สนับสนุนการทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ ส่วนความบันเทิงดูหนังฟังเพลง ชม Netflix ก็สบายๆ ไปอีก และพอที่จะใช้งานหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอก็พอได้บ้าง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติก็ลื่นไหล
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีขนาด 13.5″ พาเนล IPS เกรดดี ที่ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล โดยมีความหนาแน่นอยู่ที่ 201 PPI พร้อมรองรับการทัชสกรีน 10 จุดพร้อมๆ กัน รวมไปถึง Surface Pen ไว้ขีดเขียนก็สามารถทำได้ แน่นอนว่ามีเทคโนโลยี PixelSense ทำให้ได้สีสันที่สวยงามสมจริง เรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ค่อนข้างครบ USB 3.1 Type-C ที่รองรับ DisplayPort และ Power Delivery ในตัว และมี USB 3.1 Type-A และช่องหูฟัง 3.5 ม.ม. เป็นมาตรฐาน แน่นอนมีพอร์ต Surface Connect 1 ช่อง ที่เป็นแม่เหล็กไว้ชาร์จไฟด้วย ที่สำคัญยังมาพร้อม Intel Wi-Fi 6 AX ที่แรงขึ้น 3 เท่า และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 ใหม่ล่าสุด ได้ประกันจะเป็นแบบ 1 ปี ตามมาตรฐานของ Microsoft ประเทศไทย
- Core i5-1035G1 / RAM 8GB / SSD 128GB ราคา 34,990 บาท
- Core i5-1035G1 / RAM 8GB / SSD 256GB ราคา 44,990 บาท
- Core i7-1065G7 / RAM 16GB / SSD 256GB ราคา 52,990 บาท
Hardware / Design
การออกแบบโดยรวมของ Surface Laptop 3 จาก Microsoft มาในรูปแบบของ Ultrabook ที่เป็นโน๊ตบุ๊คเน้นความบางเบา เน้นการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ซึ่งมาพร้อมความพรีเมียมหรูหราตามสไตล์ของ Microsoft ในส่วนของฮาร์ดแวร์ วัสดุใช้เป็นอะลูมิเนียมอัลลอยด์ที่ให้ทั้งความแข็งแรงทนทานน้ำหนักเบา สัมผัสดีเยี่ยมกว่าอลูมิเนียมแบบปกติทั่วไป ซึ่งมีสีสันให้เลือก 2 สีคือ สีดำด้านและสีเงินแพลทตินัม โดยรุ่นขนาดหน้า 13.5″ มีน้ำหนักอยู่ที่ 1.25 กิโลกรัม ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบา เน้นพกพาสะดวก แต่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
มีรูปร่างรูปลักษณ์ไปในทิศทางเดียวกับตระกูล Surface ทั้งหมด โดย Surface Laptop 3 ที่นับว่าค่อนข้างสมบูรณ์แบบและเป็นเอกลักษณ์ดีอยู่แล้ว กับการออกแบบที่เป็นโน๊ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ Windows 10 ที่เป็นหนึ่งเดียวกันเพราะมาจากทาง Microsoft โดยตรง ให้ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือชั้นทรงพลังด้วยชิปประมวลผลภายในอย่างชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 โดยทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์ที่ลงตัว แน่นอนมีตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คบางเบาที่มีความแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ
ดีไซน์การออกแบบของ Surface Laptop 3 ดูผ่านๆ แม้ดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปเลยจากรุ่นก่อนๆ สำหรับรูปลักษณ์ด้านนอก อย่าง Surface Laptop 2 แต่ที่เห็นเด่นชัดเลยก็คือ การไม่ใช้วัสดุ Alcantara แล้วบริเวณที่เป็นที่วางมือ ซึ่งแม้จะนับว่าเป็นวัสดุผ้าที่มีความหรูหราสวยงามก็จริง โดยเป็นวัสดุเดียวกับซีรีส์ Surface Pro ส่วนของ Type Cover (Docking Keyboard) แต่ก็มีข้องสังเกตุว่าอาจจะเลอะง่ายถ้ามือเราไม่สะอาดขณะใช้งาน ฉะนั้นก็ทำให้เราไม่ต้องระวังเรื่องนี้อีกต่อไป แต่เปลี่ยนไปใช้อะลูมิเนียมอัลลอยด์ทั้งหมดไปเลย
สำหรับมิติตัวเครื่องจะอยู่ที่ 308 มม. x 223 มม. x 14.5 มม. เรียกได้ว่า Surface Laptop 3 มีความบางสุดเพียง 14.5 มิลลิเมตรเท่านั้น อีกทั้งจากการที่ขอบหน้าจอบางเฉียบลงไปอีก ก็ทำให้มิติตัวเครื่องเล็กลงไปกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป โดดเด่นด้วยการใช้เทคโนโลยีการผลิตรูปแบบ Unibody ที่แทบจะไร้รอยต่อ โดยทั้งเครื่องประกอบจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ซึ่งฝาหลังมาพร้อมเอกลักษณ์ชัดเจน ก็คือ โลโก้ Windows ที่มีมีความมันวาวตัดกับผิวของตัวเครื่องโดยรวมที่เป็นแบบด้าน
ด้านล่างตัวเครื่องของ Surface Laptop 3 จะเห็นว่ามีความเรียบเนียนมากๆ และไม่มีช่องอะไรเลย แต่จะมีช่องดูดลมเย็นอยู่ที่ขอบตัวเครื่องด้านหลังติดกับช่องระบายความร้อนที่อยู่ใต้หน้าจอแทน โดยส่วนที่เป็นสี่ดำกลมจะเป็นยางรองตัวเครื่องทั้ง 4 ด้าน เพื่อยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้น รวมถึงความั่นคงในการวางเครื่องกับโต๊ะ สำหรับส่วนของน็อตทั้งหมดจะถูกซ่อนเอาไว้ใต้ยางรองนี้ด้วย อีกทั้งจะมีโลโก้ Microsft เล็กๆ ติดตั้งเอาไว้ด้วย
เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คปี 2019 อีกหนึ่งรุ่นที่มีดีไซน์และงานประกอบที่เยียมยอดจริงๆ ให้ความมินิมอลแบบสุดๆ แตกต่างจากโน๊ตบุ๊คแบรนด์อื่นๆ จริงๆ เหมาะกับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คบางเบาระดับสูงเน้นใช้งานทางการซะหน่อย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศหรือระดับผู้บริหาร ที่โน๊ตบุ๊คเครื่องที่เราใช้งานอยู่ก็นับว่าเป็นภาพลักษณ์ที่สำคัญไม่แพ้ส่วนอื่นๆ
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ Surface Laptop 3 เป็นสีสันเดียวกับตัวเครื่องให้ประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอด ให้ความนุ่มนวลเด้งรับกับการพิมพ์อย่างลงตัว กับระยะกดเพียง 1.3 มิลลิเมตร ให้เสียงปุ่มเบา มาพร้อมด้วยไฟเรืองแสงสีขาวให้แสงสว่างในการทำงาน ที่ตอบสนองได้ดีกว่าคีย์บอร์ดทั่วไปแบบรู้สึกได้แถมยังสวยงามหรูหรา ส่วน Layout คีย์บอร์ดยังคงเป็น 4 แถวขนาด Full Size ซึ่งตัวปุ่มเองมีความโค้งรับเข้ากับนิ้วมือลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม และช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำ โดดเด่นด้วยปุ่ม Hotkey แถวบนสุดที่ใช้งานได้สะดวก พร้อมปุ่ม Power / PrtScn / Volume จะมีตุ่มนูนขึ้นมาด้วย
ส่วนดีไซน์ทัชแพดนั้นก็ใช้เป็นขนาดที่ใหญ่กว่ารุ่นก่อน สัมผัสแบบกระจกให้ความรู้สึกติดนิ้ว แบบไม่มีปุ่มแยกคลิกซ้ายคลิกขวาออกมาให้ชัดเจน เช่นเดียวกับโน๊ตบุ๊คปัจจุบันหลายๆ รุ่น การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก ควบคุมที่ทันใจ ก็เหนือกว่าทัชแพดของโน๊ตบุ๊คหลายๆ รุ่น จากการที่ดีไซน์การออกแบบที่คิดและปรับปรุงตลอดมาของทาง Microsoft แน่นอนว่ารองรับการใช้งาน Multi Gesture ผ่านทาง Windows 10 ได้สมบูรณ์แบบ
Screen / Speaker
ต้องยอมรับว่าเป็นอะไรที่ยังคงเอกลักษณ์เอาไว้สำหรับ Surface Laptop 3 กับสัดส่วนของหน้าจอแสดงผลแบบ 3:2 ที่ต้องบอกว่ามีความสวยงามสมจริงแบบสุด ด้วยเทคโนโลยี PixelSense บนขนาดหน้าจอที่ 13.5″ ซึ่งจัดว่ามีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป บนความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล (201 PPI) ทำให้มีความเรียบเนียนตาอย่างที่สุด แทบจะไม่เห็นเม็ดพิกเซลบนหน้าจอเหมือนกับที่เราใช้บนสมาร์ทโฟนรุ่นท๊อป โดยเหมาะกับการทำงานมากๆ แน่นอนที่สุดกับหน้าจอทัชกรีนที่รองรับ 10 จุดพร้อมกัน พร้อมรองรับใช้งานปากกา Surface ได้ด้วย (ซื้อเพิ่มเอง) ทำให้เราใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากที่ Surface Laptop 3 มาพร้อมไมโครโฟน Studio Mic คู่แบบรับเสียงจากระยะไกล และกล้องหน้าความละเอียด 720p ที่ไว้วีดีโอคอลเป็นหลัก ยังมีในส่วนของกล้อง IR ที่ไว้ใช้งานเฉพาะกับฟีเจอร์ Windows Hello อีกด้วย เพื่อเข้าใช้งานที่เน้นความปลอดภัยแบบไม่ต้องกรอกรหัสอีกต่อไป รวมไปถึงยังมีการติดตั้ง Ambient Sensor ที่ช่วยปรับความสว่างอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมที่เรากำลังใช้งานอยู่ เรียกได้ว่าให้ประสบการณ์ใช้งานด้านจอภาพที่เยียมยอดจริงๆ
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 86% และ AdobeRGB ที่ 66% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันดีมากเลยทีเดียว แต่นั่นก็อาจจะยังไม่ถึงระดับ sRGB 90+ เหมือนโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายๆ รุ่นที่เคนทดสอบ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 350 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าค่อนข้างสว่างเลยทีเดียว เหมาะสำหรับใช้ในงานตกแต่งภาพที่ต้องการความเที่ยงตรงของสีเป็นหลัก
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องมุมขวาแถวบน 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ แต่สำหรับขอบจอช่องมุมซ้ายแถวล่างที่ลดลงไปถึงระดับ 14% ซึ่งต้องใช้งานอย่างระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงมุมนี้สำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนนรวม 4.0 คะแนนถือว่าได้ว่าค่อนข้างดีมากเลยทีเดียวครับ
ส่วนของลำโพงสองตัวสเตอริโอ Omnisonic ที่ติดตั้งซ่อนอยู่บริเวณใต้แป้นคีย์บอร์ดทั้งซ้ายและขวา เป็นแบบระบบเสียง Dolby Audio Premiumให้คุณภาพและความดังที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับขนาดที่เล็ก จากการใช้งานไม่ว่าจะดูหนังฟังเพลง ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี ซึ่งถ้าเทียบกับโน๊ตบุ๊คบางเบาหรือ Ultrabook ที่มีราคาใกล้เคียงกัน นับได้ว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีมากๆ
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง Surface Laptop 3 มีความครบครับที่สุดรุ่นนึง แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบาแต่เรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น ก็มีมาให้มากพอทีเดียว เริ่มด้วย Surface Connect สำหรับชาร์จไฟโดยเป็นแบบแม่เหล็กที่ใช้งานสะดวก ด้วยพอร์ต USB 3.1 Type-A จำนวน 1 พอร์ต ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้โดนตรง อีกทั้งยังมี USB 3.1 Type-C ไว้โอนถ่ายข้อมูลความเร็วสูงพร้อมเชื่อมต่อกับจอแสดงผลมาตรฐาน DisplayPort และยังรองรับการชาร์จไฟด้วยเทคโนโลยี PD ด้วย (Power Delivery) แน่นอนว่ามีช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรอยู่แล้ว
ขนาดของตัวเครื่องและสายชาร์จ เมื่อเทียบกับขนาดของ Ultrabook ทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร ที่สำคัญแดปเตอร์ที่ชาร์จก็ยังคงทำได้ดีด้วยการมีพอร์ต USB ไว้ชาร์จอุปกรณ์อื่นๆ อย่างสมาร์ทโฟน หรือ Power Bank ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 1.25 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์เข้าไปด้วย ก็จะมีหนักราวๆ 1.5 กิโลกรัมเท่านั้น แน่นอนว่าตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ
Performance / Software
Surface Laptop 3 ที่ได้รับมารีวิวเป็นสเปกขายจริง ได้ชิปประมวลผลรุ่นล่าสุดระดับสูงในซีรีส์ที่เน้นการประหยัดพลังงาน อย่าง Intel Core i7-1065G7 สถาปัตยกรรม Ice Lakeใหม่ล่าสุด ทำงานแบบ 4 Core / 8 Thread ความเร็ว 1.0 – 3.6GHz เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 15Wattโดยมีการ์ดจอบนชิปเป็น Intel UHD Graphics G7 ที่รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนชิปอย่าง Intel UHD G7 ซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีที่สุดของกราฟิกชิปในทุกรุ่น ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ดีเยี่ยม รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงได้แบบไม่มีปัญหาระดับ 2256 x 1504 พิกเซล (201 PPI) บนหน้าจอของ Surface Laptop 3 แบบสบายๆ ลื่นไหล อย่างที่สเปกรุ่นก่อนๆ ทำไม่ได้
ส่วนแรมก็ให้มาเป็นแบบ 16GB DDR4 LPDDR4x Bus 3733 MHz ที่เหลือเฟือต่อการใช้งาน อีกทั้งได้ที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB ที่ได้ทั้งขนาดที่ใหญ่ใส่ไฟล์ได้เยอะ และเป็นรุ่นเกรดสูงความเร็วสูง โดยมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home Single Language มาตั้งแต่แกะกล่อง ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงเรื่องลิขสิทธิ์ Windows เลยครับ ส่วนถ้าต้องการเคลียร์เครื่อง ก็สามารถใช้งานฟังก์ชัน Reset this PC ที่อยู่ใน Settings ของ Windows 10 ได้เลยโดยไม่ต้องฟอร์แมต SSD เพื่อลง Windows ใหม่
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจมากๆ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย ด้วยการที่เป็นสถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิต 10 นาโนเมตรรุ่นใหม่ล่าสุด ทำให้ร้อนน้อยกว่าเดิม พร้อมประสิทธิภาพของ AI ที่เร็วขึ้น 2.5-3 เท่ารวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 256GB แบบ M.2 NVMe ระดับกลางๆ แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 2314 MB/s และเขียนที่ 1599 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมที่น่าประทับใจ จัดว่าเป็น SSD M.2 NVMe ระดับกลางค่อนบน แต่ในความเป็นจริงแล้ว น่าจะให้ตัวที่สเปกที่ความสูงกว่านี้
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 4,394 รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 อย่าง Intel Core i7-1065G7 พร้อมแรมขนาด 16GB LPDDR4x และ SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB ที่แรงยิ่งขึ้น ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปก Intel Core i Gen 8 ตระกูล U รุ่นก่อนๆ ใกล้เคียง Intel Core i Gen 9 ตระกูล H ยิ่งไปอีกขั้น
ทดสอบเกมสำหรับ Surface Laptop 3 คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 3 เกมออนไลน์ เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยค่อนข้างลื่นไหล น่าประทับใจทีเดียว เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมมาก ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-1065G7 ที่ได้การ์ดจอออนชิปเป็น Intel Iris Plus Graphics อย่าง G7 ประกอบกับใช้แรม 16GB LPDDR4x รวมไปถึง SSD ก็ส่งผลช่วยด้วย
สำหรับเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมด ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่เฉลี่ยที่ 40 แต่ฉากตะลุมบอนกันก็เฟรมเรทลดลงไปที่ 18 (อยากลื่นกว่านี้ก็ปรับกลางๆ ได้) และในส่วนของเกม Overwatch ที่ปรับ Low ทดสอบแล้วจะมีเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ 44 ซึ่งต่ำสุดจะอยู่ที่ 32 ทีเดียว โดยรวมแล้วแม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความบางเบา แต่ก็พอที่จะเล่นเกมได้ดีทีเดียว
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ Surface Laptop 3 เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับโน๊ตบุ๊คหลายรุ่น โดยสามารถใช้งานจริงต่อเนื่องยาวนานได้เกือบ 7 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ (ดูภาพยนตร์และเล่นอินเตอร์เน็ต) โดยปรับเป็น Power Saver Mode เชื่อมต่อผ่านทาง Wi-Fi และคาดว่าจะระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่จะเปลี่ยนแปลงตามการใช้งานของแต่ละคน โดยอาจจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ตัวแปร อีกทั้งยังโดดเด่นด้วยการรองรับการชาร์จแบตเตอรี่ที่รวดเร็วจาก 0 – 80% ภายใน 1 ชั่วโมงเท่านั้น
อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 35 – 50 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าชิปประมวลผลจะร้อนที่สุดที่ 95 องศาเซลเซียส นับว่าระบบระบายความร้อนของ Surface Laptop 3 เครื่องนี้ทำออกมาได้ดี แม้ชิปประมวลผลจะดูว่าร้อน แต่ก็สามารถจัดการระบบระบายความร้อนออกมาอย่างน่าประทับใจไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการใช้งาน ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 Ice Lake ใหม่ล่าสุด 10 นาโนเมตร ที่แม้ตัวเครื่องจะบางเบาสุดๆ ก็ตามส่วนช่องระบายความร้อนของ Surface Laptop 3 จะอยู่ด้านบนของฐานเครื่องบริเวณขาพับจอ โดยออกแบบให้ซ่อนตัวเอาไว้ด้านหลังติดกับกรอบอะลูมิเนียมของจอ ถึงพับจอก็ไม่เห็นช่องระบายความร้อนเลย
Conclusion / Award
สรุปการทดสอบ Surface Laptop 3 ต้องบอกว่าน่าประทับใจในหลายๆ ส่วนสมกับเป็น Ultrabook สุดหรูจากทาง Microsoft แน่นอนว่าคงไม่หนีจากเรื่องของดีไซน์และงานประกอบที่ทำได้ดีตามาตรฐานของ Surface วัสดุอะลูเนียมอัลลอยด์ให้ฟิลลิ่งสัมผัสที่ดีมากๆ รวมไปถึงจากความที่เป็น Microsoft การออกแบบก็ดูลงตัวสไตล์เรียบหรูดูดีไม่แพ้ MacBook ของ Apple กันเลยทีเดียว สำหรับหน้าจอสัมผัส การใช้ Surface Pen ก็ถือว่าสมบูรณ์อยู่แล้ว พอร์ตการเชื่อมต่อก็อยู่ในเกณ์ที่ยอมรับได้ รวมไปถึงกล้อง IR ที่เมื่อใช้งามร่วมกับฟีเจอร์ Windows Hello ต้องบอกว่าสุดยอดจริงๆ ทั้งความเร็ว ง่าย และแม่นยำ
โดดเด่นเหนือกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วยการที่ตัวเครื่องมีขนาดเล็กเทียบเท่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3″ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.5″ เทคโนโลยี PixelSense ที่ความละเอียด 2256 x 1504 พิกเซล (201 PPI) รวมไปถึงก็มีน้ำหนักเบากว่าด้วย เพียง 1.25 กิโลกรัมและบางสุดเพียง 14.5 มิลลิเมตรเท่านั้น พร้อมมีดีไซน์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นก่อนๆ ซึ่งมีความเรียบง่ายยิ่งขึ้น แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ความเป็น Microsoft ไว้เต็มเปี่ยม ที่สำคัญในรุ่นนี้มีสีสันที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ก็คือ สีดำด้านและสีเงินแพลทตินัม ซึ่งเหมาะกับหนุ่มๆ หรือสาวๆ ที่เน้นความเท่ ที่ได้ความหรูหราและเป็นทางการ นับว่าเป็นส่วนที่มีผลต่อการซื้อเหมือนกัน
ที่สำคัญคือราคาค่อนข้างสูงมากเมื่อเทียบกับสเปกที่ได้ ตั้งแต่ชิปประมวลผล Intel Core i5-1035G1 (1.0 – 3.6GHz) หรือ Intel Core i7-1065G7 (1.3 – 3.9GHz) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลที่ดีและสามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้ที่ต้องบอกว่าแรงมากๆ ซึ่งราคาขนาดนี้เรายังจำเป็นต้องซื้อ Surface Pen แยกอีกทีถ้าจะใช้งาน อีกทั้งพาเนลหน้าจอน่าจะดีกว่านี้ที่ขอบเขตสี sRGB 100% ขึ้นไป (คือมันราคาระดับนี้แล้วไง)
สำหรับแบตเตอรี่ใช้งานได้นานสูงสุดแค่ 6:40 ชั่วโมงเท่านั้น (จากที่อ้างคือ 11 ชั่วโมง ไม่สามารถทำได้) ที่สำคัญการที่ออกแบบมาให้ไม่มีพัดลมระบายความร้อน หากร้อนเกินกำหนด จะลดความเร็วลงมา ส่วนพอร์ต USB Type-C ควรเป็นมาตรฐาน Thunderbolt 3 แล้ว ปิดท้ายด้วยการรับประกันเพียง 1 ปีอาจจะดูหน่อยไปหน่อย และไม่แน่ใจเรื่อง QC จะมาแบบเดียวกับ Surface Pro ไหม เพราะคนบ่นมากันเยอะเหมือนกันว่าเจอปัญหาและเคลมกันเยอะ
เอาเป็นว่าใครอยากได้ Notebook สายบางเบา ที่ใกล้เคียงความว่าสมบูรณ์แบบที่สุดในราคาที่ไม่เกี่ยงและยอมรับจุดสังเกตต่างๆ ได้แล้วล่ะก็ Surface Laptop 3 จากทาง Microsoft ต้องเป็นคำตอบแรกๆ ของทุกคนแน่นอน ที่จะว่าไปแล้วนั้นตัวชนจริงๆ ของแต่ละแบรนด์มีอยู่เต็มไปหมด ด้วยการที่เป็นผลิตภณฑ์ Ultrabook ตลาดบน wfhสเปกใหม่ล่าสุดด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 สถาปัตยกรรม Ice Lake แม้ว่าราคาจะสูงที่สูงขนาดที่ว่าซื้อ Ultrabook แบรนด์อื่นๆ ที่ได้สเปกแรมและ SSD ที่ดีกว่าได้เลยล่ะ
แต่ยังไงก็ตามใครเป็นแฟน Microsoft อยู่แล้วและยอมจ่ายก็จัดกันได้เลย ส่วน Surface Laptop 3 หน้าจอ 15″ สเปก AMD Ryzen 5 3500U ถ้าได้มีโอกาสทดสอบ เราจะมาว่ากันอีกที ซึ่งนั่นก็จัดว่าเป็น AMD Notebook ที่ราคาสูงที่สุดรุ่นนึงในตลาดก็ว่าได้
จุดเด่น
- เป็น Ultrabook หน้าจอ 13.5 นิ้ว แต่มีขนาดตัวเครื่องเล็กกระะทัดรัดพกพาสะดวก
- พาเนลหน้าจอ IPS มีคุณภาพสูง ขอบเขตสีกว้าง รองรับการทัชสกรีน
- ได้หน้าจอเทคโนโลยี PixelSense ความละเอียดสูงระดับ 2256 x 1504 พิกเซล (201 PPI)
- น้ำหนักเบาตัวเครื่องบาง วัสดุเป็นอลูมิเนียมแบบพิเศษ ให้ความพรีเมียมสุดๆ
- ประสิทธิภาพดีด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 Ice Lake รุ่นล่าสุด
- รองรับการชาร์จแบตที่ไวจาก 0 – 80% ภายใน 1 ชั่วโมง
- เปิดฝาเครื่อง Instant On สามารถใช้งานต่อได้ทันที
- ติดตั้ง Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax ใหม่สุดๆ ดีกว่าเดิม 3 เท่า
- มีพอร์ตการเชื่อมต่อ ทั้ง USB-A / USB-C พร้อมรองรับ ชาร์จไฟ PD / ต่อจอแยก
- Surface Connect สำหรับชาร์จไฟโดยเป็นแบบแม่เหล็กที่ใช้งานสะดวก
- มี Windows 10 แท้ และมีซอฟต์แวร์ต่างๆ พร้อมใช้งาน
- รองรับ Windows Hello ด้วยกล้อง IR และมี Ambient Sensor
- อแดปเตอร์มีขนาดเล็ก พร้อมมีช่องเชื่อมต่อชาร์จไฟ USB-A
- ลำโพง Omnisonic ระบบเสียง Dolby Audio Premiumให้คุณภาพที่ดีและดัง
ข้อสังเกตุ
- เทียบสเปกเฉพาะ CPU / RAM / SSD มีราคาสูงกว่า Notebook ทั่วไปพอสมควร
- ความร้อนสูงสุดค่อนข้างสูง (แต่ไม่มีผลในการใช้งาน) เพราะจัดการออกได้ดี
- SSD ที่ให้มาความเร็วในการเขียนอ่านน้อยไปหน่อย แต่ก็เพียงพอต่อใช้งาน
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานน้อยกว่าที่ 6:40 ชั่วโมง จากที่เคลมไว้ 11 ชั่วโมง
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของ Ultrabook ขนาดหน้าจอ 13.3 – 13.5 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง Surface Laptop 3 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Surface Series จากทาง Microsoft มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน Surface Laptop 3 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ มีความเรียบง่ายเรียบเนียนแต่หรูหรา ตัวเครื่องหลักๆ สีสันจะเป็นสีดำด้านและสีเงินแพลทตินัม สำหรับด้านนอกทั้งฝาหลังและด้านล่างตัวเครื่อง ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
Best Mobility
ความสามารถในการพกพาของ Surface Laptop 3 ก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ Ultrabook อยู่เช่นเดิม ทั้งในความบางเพียง 14.5 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 1.25 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะระบบไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พร้อมเปิดฝาเครื่อง Instant On สามารถใช้งานต่อได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่เล็กมาก พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ
Best Performance
ด้วยสเปก Surface Laptop 3 ใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 ตัวล่าสุด อย่าง Intel Core i7-1065G7 ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB LPDDR4x Bus 3733 MHz รวมไปถึง SSD ความเร็วสูง PCIe ความจุ 256GB ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย