โดยทั่วไปแล้วปัจจัยสำคัญในการเลือกจอมอนิเตอร์มาใช้งานในปัจจุบันก็คงหนีไม่พ้นสองสิ่งหลัก ๆ นั่นคือการเลือกจอที่มีเทคโนโลยีช่วยถนอมสายตา เพื่อให้ตอบโจทย์กับการใช้งานหน้าจอทั้งวัน หรือไม่ก็เลือกจอที่ให้ภาพสวย ความละเอียดสูงระดับ 4K หรือ 8K ตามเทรนด์ เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดสมจริงในทุกรายละเอียด ซึ่งในบทความนี้เราจะมาคุยกันเกี่ยวกับฟังก์ชัน เทคโนโลยีของจอที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ ผ่านทางโฆษณา แต่บางท่านอาจจะไม่ได้ค้นคว้าหาข้อมูลแบบเจาะลึกต่อ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยในการเลือกซื้อจอคอมที่เหมาะกับแต่ละท่านนั่นเอง
ก่อนอื่นมาดูด้านของความละเอียด และเทคโนโลยีคุณภาพการแสดงผลของจอกันก่อนครับ
ความละเอียดภาพระดับ FHD 4K 8K
สิ่งที่เป็นตัวชี้วัดความสามารถของจอที่มองเห็นได้ชัดที่สุดก็คือตัวเลขของความละเอียดหน้าจอในแบบ จำนวนพิกเซลในแนวนอน x จำนวนพิกเซลในแนวตั้ง โดยตัวอย่างของความละเอียดที่ได้รับความนิยมในขณะนี้ก็เช่น
- 1920 x 1080 หรือที่เรียกว่าระดับ Full HD (FHD) มีจำนวนพิกเซลทั้งหมด 2,073,600 พิกเซล
- 3840 x 2160 หรือที่เรียกว่าระดับ 4K มีจำนวนพิกเซลทั้งหมด 8,294,400 พิกเซล มีชื่อเรียกอีกชื่อว่าระดับ UHD
- 7680 x 4320 หรือที่เรียกว่าระดับ 8K มีจำนวนพิกเซลทั้งหมด 33,177,600 พิกเซล
ซึ่งถ้าเทียบที่หน้าจอขนาดเท่ากัน เช่น หน้าจอ 50 นิ้ว หน้าจอที่มีความละเอียดสูงกว่า จะให้ภาพที่ดูสวยงาม ส่วนโค้ง ลายเส้นต่าง ๆ คมชัดกว่า เนื่องจากเม็ดพิกเซลจะมีขนาดเล็กและเรียงติดกันจนมีความหนาแน่นของพิกเซลสูง ทำให้การแสดงรอยหยักต่าง ๆ ดูเนียนตากว่า หากจะให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองเทียบจากภาพด้านล่างนี้ครับ
ทางซ้ายคือตัวแทนของภาพที่ได้จากจอที่มีความละเอียดน้อยกว่า ส่วนทางขวาคือตัวแทนของจอขนาดเดียวกัน แต่มีความละเอียดสูงกว่า (ความหนาแน่นของพิกเซลมากกว่า) ทำให้ได้ภาพที่ดูละเอียดกว่า โดยเฉพาะตรงรอยหยักของส่วนโค้ง ดังนั้น จอที่มีความละเอียดสูงกว่า ก็ย่อมให้ภาพที่ดีกว่า สวยงามกว่า แต่อย่างไรก็ตาม จอที่มีความละเอียดสูงกว่า ก็ย่อมใช้พลังการประมวลผลของฮาร์ดแวร์อย่างการ์ดจอที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน แม้ว่าฮาร์ดแวร์ระดับท็อปสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานในปัจจุบันจะรองรับการแสดงผลระดับ 8K ได้แล้วก็ตาม แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าประสิทธิภาพ ความไหลลื่นที่ได้นั้น อาจจะยังไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับการแสดงผลที่ระดับ 4K และ FHD นอกจากนี้ ปัจจัยในด้านของเนื้อหา และไฟล์มีเดียในปัจจุบัน เกือบทั้งหมดยังได้รับการสร้างสรรค์โดยอ้างอิงตามมาตรฐานการแสดงผลสูงสุดที่ระดับ 4K เท่านั้น ทำให้อาจต้องรอกันซักพักสำหรับเนื้อหาระดับ 8K
การแสดงผลแบบ High Dynamic Range (HDR)
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการเลือกซื้อจอคอมของผู้บริโภค ก็คือความสามารถในการแสดงผลแบบ High Dynamic Range (HDR) ที่ให้ภาพดูสวยงามขึ้นกว่าหน้าจอที่มีการแสดงผลปกติ โดยเฉพาะในส่วนของภาพที่มีแสงสว่างจ้า กับส่วนที่มืดสุดของภาพ ซึ่งขีดจำกัดในส่วนของการแสดงผลทั้งสองสภาพแสงนี้ จะใช้ชื่อเรียกว่า Dynamic Range ครับ ยิ่งจอที่มีคุณภาพสูง ก็จะมาพร้อมกับ Dynamic Range ที่กว้าง ทำให้สามารถแสดงรายละเอียดของภาพในส่วนที่มืดสุดและสว่างสุดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังให้ภาพที่มีสีสันสดใส สวยงามยิ่งขึ้น อันมีผลมาจากค่า Dynamic Range ของจอที่สูงด้วยนั่นเอง
หรือถ้าอยากจะเห็นความแตกต่างแบบชัด ๆ ก็ลองใช้สมาร์ทโฟนถ่ายภาพย้อนแสงก็จะยิ่งเห็นได้ชัดเข้าไปอีกครับ ถึงความแตกต่างของภาพที่ได้จากการถ่ายด้วยโหมด HDR กับภาพที่ปิดโหมด HDR ว่ารายละเอียดในแต่ละจุดของภาพเป็นอย่างไร
นอกเหนือจากความสามารถของจอในการรองรับการแสดงผลแบบ HDR แล้ว สื่อที่นำมาใช้ก็ต้องได้รับการบันทึกมาในมาตรฐาน HDR ด้วยเช่นกัน จึงจะสามารถแสดงผลแบบ HDR ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันทั้งภาพยนตร์และเกมต่างก็รองรับการแสดงผลบนจอ HDR มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว จึงทำให้การเลือกซื้อจอคอมที่รองรับ HDR กลายเป็นสิ่งที่หลาย ๆ ท่านให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าในอดีตที่ผ่านมา
ซึ่งทั้งสองสิ่งที่กล่าวไปนั้น เป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานในการพิจารณาเลือกซื้อจอคอมมาได้ซักระยะหนึ่งแล้ว แต่พอมาเป็นในช่วงหลัง ๆ เราเริ่มเห็นแต่ละแบรนด์นำเสนอเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ช่วยในการถนอมสายตา โดยเฉพาะกลุ่มของจอสำหรับชาวออฟฟิศที่ต้องอยู่หน้าจอคอมเป็นเวลานาน ๆ ตัวอย่างของเทคโนโลยีก็เช่น Flicker Free และ เทคโนโลยีการตัดแสงสีฟ้า (Low Blue Light) เป็นต้น
เทคโนโลยีลดการกระพริบของจอภาพ (Flicker Free)
โดยปกติแล้ว จอภาพแบบ LCD/LED ที่ใช้หลอดไฟ backlight ในการให้แสงสว่าง จะมีอาการกระพริบของจอภาพที่มีผลต่อเนื่องมาจากกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรับระดับความสว่างของจอต่ำ อันรวมถึงระดับความสว่างปกติสำหรับการใช้งานทั่วไปด้วย ซึ่งอาการกระพริบนี้ โดยทั่วไปแล้วจะสังเกตด้วยตาเปล่าได้ค่อนข้างยากครับ แต่ที่จริงแล้วสายตาและสมองของเรานั้นรับรู้ถึงอาการกระพริบอยู่ตลอดเวลา และมีการปรับความรู้สึกให้เสมือนว่าจอแสดงผลตามปกติ จนอาจทำให้เกิดอาการปวดตา เวียนศีรษะมื่อใช้งานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ได้
ตัวอย่างภาพ Flicker อีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้สายตาล้าเวลาทำงานหน้าคอมนานๆ
ในช่วงหลังมาเราเลยได้เห็นผู้ผลิตจอหลายรายใส่เทคโนโลยีช่วยกำจัดอาการกระพริบของจอภาพมาให้ โดยอาจจะมาในชื่อเรียกที่แตกต่างกัน แต่ที่คุ้นหูคุ้นตาที่สุดก็คือคำว่า Flicker Free ดังนั้น หากคุณคิดว่าจะต้องใช้งานจอติดกันเป็นระยะเวลานาน ๆ ก็แนะนำว่าควรเลือกจอที่มี Flicker Free ด้วยจะดีที่สุด
เทคโนโลยีตัดแสงสีฟ้า (Low Blue Light)
พวกเทคโนโลยีการตัดแสงสีฟ้าของจอแสดงผล กลายเป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในผลิตภัณฑ์กลุ่มจอคอมพิวเตอร์ จนล่าสุดก็มีอยู่ในมือถือมากมายหลากหลายรุ่น โดยส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยการตัดการแสดงผลของสีฟ้าให้ลดลง ทำให้สามารถใช้งานหน้าจอได้สบายตาขึ้น ลดอาการล้าของสายตาที่เกิดจากสเปคตรัมแสงสีฟ้า
แต่การตัดแสงสีฟ้าของเทคโนโลยี Low Blue Light ส่วนใหญ่จะเป็นการทำให้ภาพออกเป็นโทนสีเหลืองมากขึ้น รวมถึงอาจทำให้ส่วนที่แสดงสีฟ้าให้สีเพี้ยนจากความเป็นจริงไปด้วย จึงอาจจะไม่ค่อยเหมาะกับผู้ที่ต้องทำงานที่อาศัยความแม่นยำของสีจอซักเท่าไหร่
นอกจากนี้ยังมีบางเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดขึ้นมา โดยจะไม่ได้เป็นการตัดการแสดงผลสีฟ้าออกไปจนหมด แต่จะเน้นตัดสเปคตรัมแสงสีฟ้าในส่วนที่เป็นอันตรายกับสายตาแทน ทำให้สีของภาพที่ได้จากจอไม่ผิดเพี้ยนไปมากนัก ในขณะเดียวกันก็ช่วยถนอมสายตาไปด้วยในตัว
อย่างในภาพด้านบน หากเป็นเทคโนโลยี Low Blue Light ธรรมดา ตัวจอจะตัดการแสดงผลของสเปคตรัมในส่วนของสีฟ้าแทบทั้งหมด (ช่วง Harmful Blue Light + Beneficial Blue Light) แต่สำหรับจอที่ใช้เทคโนโลยี Low Blue Light+ นั้น จะตัดสเปคตรัมสีฟ้าเฉพาะในส่วนของ Harmful Blue Light ที่มีผลกระทบต่อสายตาเท่านั้น ช่วยให้ภาพยังคงสีสันสดใสอยู่
เทคโนโลยีการปรับระดับแสงและอุณหภูมิสีอัตโนมัติ
นอกเหนือจากการตัดแสงสีฟ้าแล้ว อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ช่วยในการถนอมสายตาได้ก็จะเป็นจำพวกการปรับแสงสว่าง การปรับอุณหภูมิสีของจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ เพื่อลดอาการล้าของสายตาเมื่อต้องใช้งานเป็นระยะเวลานาน ๆ เพื่อให้สายตาไม่รับภาระหนักจนเกินไป ถ้าให้เห็นภาพง่ายขึ้น ก็ตามภาพ GIF ด้านล่างนี้ครับ
ตัวอย่างของเทคโนโลยีที่มีการนำคอนเซ็ปท์นี้ไปใช้งานก็เช่น เทคโนโลยี TrueTone ที่อยู่ใน iPhone รุ่นใหม่ ๆ และเทคโนโลยี Brightness Intelligence Plus (B.I.+) เป็นต้น
เมื่อพิจารณาทั้งคุณภาพการแสดงผล และเทคโนโลยีที่ช่วยถนอมสายตาจอที่มาพร้อมกับความละเอียดสูง รองรับการแสดงผลแบบ HDR และเทคโนโลยี Brightness Intelligence Plus (B.I.+) ย่อมเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับการใช้งานในแทบทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการทำงานของเทคโนโลยี Brightness Intelligence Plus (B.I.+) ที่จะช่วยลบจุดอ่อนของการแสดงผลแบบ HDR ที่ในบางครั้งอาจให้ภาพที่มีความสว่างมากเกินไปจนส่งผลให้เกิดอาการล้าสายตาได้
ตัวอย่างจอที่มีการทำงานร่วมกันของสองเทคโนโลยีนี้ก็เช่น BenQ EW3270U ที่เป็นจออเนกประสงค์ ซึ่งนอกเหนือจากความสามารถทั้งในด้านของการแสดงผล และฟังก์ชันที่ช่วยถนอมสายตาแล้ว ยังมาพร้อมคุณสมบัติเด่นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
1. พอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน ใช้งานง่าย
พอร์ตเชื่อมต่อนับเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นลำดับต้น ๆ ในการเลือกจอมาใช้งานซักตัว ซึ่ง BenQ EW3270U นี้มาพร้อมกับพอร์ตยอดนิยมอย่างครบครัน ได้แก่
- HDMI 2.0 มาให้ 2 ช่อง
- DisplayPort 1.4 มาให้ 1 ช่อง
- USB-C มาให้ 1 ช่อง
- ช่องเสียบแจ็คหูฟังขนาด 5 มม.
ซึ่งช่อง USB-C นี้ สามารถใช้เชื่อมต่อกับโน๊ตบุ๊คที่ช่อง USB-C รองรับการส่งภาพได้ทันที เช่นใน MacBook รุ่นใหม่ ๆ ทำให้สามารถใช้เพียงสาย USB-C เพียงเส้นเดียวก็ใช้ต่อภาพเข้าจอ ส่วนการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงนั้น ก็สามารถต่อสายแจ็ค 3.5 มม. จากจอไปออกลำโพงนอกได้ทันที หรือจะใช้ลำโพงในตัวก็ได้เช่นกันครับ เพราะจอ BenQ EW3270U มาพร้อมลำโพงกำลังขับ 2 วัตต์มาด้วย 2 ตัว เรียกได้ว่าเป็นจอที่ครบเครื่องสำหรับการใช้งานได้ทันทีตั้งแต่แกะกล่องเลย
2. ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง ที่มักใช้จอคอมแทนจอทีวีไปด้วยพร้อมกัน
ผู้ใช้ที่อาจจะมีพื้นที่จัดวางอุปกรณ์ค่อนข้างจำกัด เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโด สามารถใช้งานจอได้ทันทีโดยไม่แทบไม่ต้องหาลำโพงมาเสริม นอกจากนี้ยังมีพอร์ต HDMI มาให้ถึงสองช่อง ทำให้สามารถกดสลับ source ภาพเพื่อสลับไปดูทีวี สลับไปใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือสลับไปดูหนังจากอุปกรณ์อื่น ๆ ได้สะดวก จะสลับไปเล่นเกมในยามว่างก็ทำได้ทันที เรียกได้ว่ามีจอเดียวก็ตอบโจทย์การใช้งานของคนเมืองได้แทบทั้งหมดเลยก็ว่าได้
3. ช่วยถนอมสายตาในขณะทำงาน
ด้วยเทคโนโลยีทั้ง Low Blue Light และ Brightness Intelligence Plus (B.I.+) ที่มีอยู่ใน BenQ EW3270U จะเข้ามาช่วยปรับการแสดงผลของจอให้มีความเหมาะสม และถนอมสายตามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในการปรับระดับของฟังก์ชัน Low Blue Light ให้เหมาะสมกับการใช้งานด้วย เช่น หากปรับเป็นระดับ Reading หน้าจอก็จะให้สีเป็นโทนสีเหลืองกว่าปกติ เพื่อให้สามารถอ่านบทความได้สบายตามากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ทำให้สีเพี้ยนจนเกินไปด้วย
4. พื้นที่ทำงานที่กว้างขึ้น ตอบโจทย์คนใช้งานหลายโปรแกรมพร้อมกัน
เนื่องด้วยความละเอียดของจอ BenQ EW3270U ที่สูงถึงระดับ 4K ทำให้มีพื้นที่ในการทำงานที่มากกว่าจอความละเอียดระดับ FHD อยู่เป็นเท่าตัว จึงเหมาะกับคนที่ต้องทำงานโดยใช้หลายโปรแกรมพร้อมกัน รวมไปถึงคนที่จำเป็นต้องใช้จอในการตัดต่อวิดีโอ ที่โดยปกติแล้วโปรแกรมตัดต่อวิดีโอจะมีหน้าต่างย่อย ๆ เป็นจำนวนมาก รวมถึงหน้าจอพรีวิวที่ยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานได้มากขึ้นด้วย
5. เพลิดเพลินกับเกมโปรดบน PS4 ได้เต็มอารมณ์
บอกได้เลยว่าคอเกมน่าจะถูกใจ BenQ EW3270U ที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการแสดงผล ทั้งความละเอียดระดับ 4K และการแสดงผลแบบ HDR ควบคู่กับเทคโนโลยี B.I.+ ที่ทำให้ภาพมีสีสันสดใส เป็นธรรมชาติ ช่วยให้การเล่นเกมโปรดบน PS4 Pro เป็นไปได้อย่างไหลลื่น เก็บได้ครบทุกรายละเอียดในเกม ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่มืดที่สุด สว่างที่สุด หรือในส่วนที่เล็กที่สุดก็ตาม
ทั้งนี้ สามารถอ่านรีวิวเพิ่มเติมจากทางเราได้ที่
- รีวิว BenQ EW3270U: https://notebookspec.com/review-benq-ew3270u/449291/
- รีวิว BenQ EL2870U: https://notebookspec.com/review-benq-el2870u-hdr-monitor-uhd-4k/444922/
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ได้จากเว็บไซต์เบ็นคิวได้ที่: http://bit.ly/2Jj4xg4
พบกับจอแต่งภาพ สีตรง ที่ได้รับการรับรองจาก CalMAN และ PANTONE ได้ที่
- เว็บไซต์เบ็นคิว http://bit.ly/2Yr6viz
- เช็คราคา https://s.tenmax.io/ykRGI