บางครั้งปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในการเล่นเกม ก็ทำให้หลายคนเซ็งได้เหมือนกัน เช่นเรื่องของหูฟัง ที่บางครั้งใช้งานยาก หรือเสียงไม่สะใจบ้างหรืออาจจะรูปแบบการใช้งานไม่สะดวก การเลือกหูฟังที่ตรงกับความต้องการ ก็เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ เช่นเดียวกับในวันนี้เรามีหูฟัง HyperX สำหรับคอเกมรุ่นใหม่มาให้ได้ชมกัน
HyperX Cloud Flight หูฟังสำหรับเล่นเกมแบบไร้สาย เรียกว่าเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อเนื่องจาก Cloud series ที่หลายคนติดยกให้เป็นหูฟังคุณภาพเสียงยอดเยี่ยมอีกรุ่นหนึ่งในท้องตลาด และยังคลอดน้องรองต่อออกมาอีกหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น Cloud Core, Alpha หรือ Cloud Revolver ก็ตาม ซึ่งในรุ่นล่าสุด Cloud Flight นี้ ก็นำเอาคุณลักษณะอันโดดเด่นมาให้กับผู้ใช้ด้วยเช่นกัน
อาทิ ไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 50mm ในแบบแม่เหล็ก neodymium ครอบหูขนาดใหญ่ และนุ่มนวลด้วยเมมโมรีโฟมที่เป็นเอกลักษณ์ของทาง HyperX บนบอดี้ที่มีน้ำหนักเบา เพื่อให้รู้สึกสบายเมื่อใช้ไปนานๆ แต่ที่สำคัญคือ ใครที่ขี้รำคาญชอบหมุนไปมา เดินเล่นเวลาที่ใส่หูฟัง หรือฟังเพลงผ่านคอมหรือโน๊ตบุ๊ค แล้วเผลอนอนหลับไป
หูฟัง HyperX Cloud Flight มาในแบบหูฟังไร้สาย ออกแบบให้ตอบรับอิริยาบถของคุณได้เลย ไม่ว่าจะลุกไปเดินเล่นขณะเล่นเกม เข้าห้องน้ำหรือหาของทาน ก็ยังได้สื่อสารได้ในระยะที่หูฟังแบบมีสายทำไม่ได้อีกด้วย และที่สำคัญคือ รองรับการใช้งานกับเกมคอนโซลอย่าง PS4 และ PS4 pro อีกด้วย
Specification
- Driver: Dynamic, 50mm with neodymium magnets
- Type: Circumaural, Closed back
- Frequency response:
Wireless: 20Hz–20,000Hz
Analog: 15Hz–23,000Hz - Impedance: 32 Ω
- Sound pressure level: 106dBSPL/mW at 1kHz
- T.H.D.: < 2%
- Weight: 300g
- Weight with mic: 315g
- Cable length and type: USB charge cable (1m) + Detachable 3.5mm headphone cable (1.3m)
Microphone
- Element: Electret condenser microphone
- Polar pattern: Noise-cancelling
- Frequency response: 100Hz-7,000 Hz
- Sensitivity: -45dBV (0dB=1V/Pa,1kHz)
- Battery life1
30 hours – LED off
18 hours – Breathing LED
13 hours – Solid LED - Wireless Range3
-2.4 GHz
-Up to 20 meters
รูปลักษณ์และการออกแบบ
รูปแบบของแพ็คเกจแตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ด้วยกล่องโทนสีขาว คาดลายสีแดง ซึ่งจากเดิมจะเน้นเป็นโทนดำ-แดง ที่เน้นความเป็นเกมเมอร์ตามที่ได้เห็นกันในหลายๆ รุ่น
สำหรับอุปกรณ์ที่มีมาในกล่อง ประกอบด้วย คู่มือการใช้งาน USB cable สำหรับชาร์จ และสาย Audio 3.5mm เมื่อต้องการใช้งานแบบต่อสาย และสุดท้ายคือ ไมโครโฟนแบบถอดแยกได้
หน้าตาของหูฟัง Cloud Flight จะมีรูปลักษณ์ที่ค่อนไปทาง Cloud รุ่นแบบดั้งเดิม แต่เสริมโครงขึ้นมารับให้กระชับและแข็งแรงขึ้น มาในโทนสีดำ และโลโก้ HyperX ตรงที่ครอบหูฟัง
คาดศีรษะด้านบนที่เป็นพลาสติกมีความยืดหยุ่นสูง โครงสร้างจะค่อนข้างกว้างกว่าในรุ่นก่อนๆ เพื่อให้โอบกระชับมากขึ้น และกระจายแรงไปรอบๆ เพื่อให้สวมได้สบายมากกว่า
ครอบหูฟังเป็นแบบเมมโมรีโฟม และหุ้มด้วยวัสดุสังเคราะห์เน้นการสวมใส่สบาย สำหรับคนที่ใช้นานๆ น่าจะชอบ เพราะไม่บีบหูมากเกินไป ด้านในเป็นผ้าที่หุ้มไดรเวอร์ขนาด 50mm ที่เป็นแบบ neodymium magnets
หูฟัง HyperX ด้านซ้าย มีช่องสำหรับเสียบสายหูฟัง กรณีที่ต้องการใช้งายแบบมีสาย ช่องสำหรับชาร์จผ่านไทโคร USB และช่องต่อไมโครโฟน
ตัวควบคุมเสียงอยูทางด้านขวา ปรับเลื่อนไปมา เพิ่ม-ลดเสียงได้ง่ายดี แรกๆ อาจจะไม่สะดวกนัก เพราะต้องขยับมือหาจุดปรับ แต่พอใช้ๆ ไปง่ายขึ้นเยอะ
ด้านข้างครอบหูฟังหมุนได้ 90 องศา เพื่อให้ครอบใบหูและพับวางได้สะดวกกว่า ซึ่งต่างจากหูฟังในรุ่นที่ผ่านๆ มา ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ เพื่อให้สวมใส่และคล้องคอได้ง่ายขึ้น
ไมโครโฟนแบบตัดเสียงรบกวน ถอดประกอบได้ ทำงานได้ดีทีเดียว โดยเฉพาะการปรับได้อย่างยืดหยุ่น ซึ่งเกมเมอร์น่าจะได้ประโยชน์จากตรงจุดนี้ไม่น้อย นอกจากนี้ด้านข้าง ยังเป็นตัวเปิด-ปิดไมโครโฟนได้อีกด้วย
ครอบศีรษะนุ่มนวลด้วยฟองน้ำที่หนาพอสมควร กระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้บางช่วงที่ลองเล่นเกมเป็นเวลานานๆ ก็ยังรู้สึกไม่เกะกะเกินไป
ระยะของโครงสร้าง สามารถยืดออกไปได้มากกว่า 5cm เลยทีเดียว เพื่อให้เข้ากับขนาดของศีรษะแต่ละบุคคล ซึ่งคนหัวโตๆ อย่างแอดมิน ก็ยังใส่ได้ เรียกว่าไม่แน่นมาก แต่ก็กระชับดี
ไฟเรืองแสงเป็นโลโก้สีแดงปรากฏขึ้นตรงครอบหูฟังทั้ง 2 ด้าน สีสันจัดจ้าน แต่น่าเสียดาย ถ้าปรับเปลี่ยนสีได้หรือมาสไตล์ RGB ก็น่าจะถูกใจใครหลายคน
Conclusion
หากมองในแง่ของความสะดวกสบายแล้ว หูฟัง HyperX Cloud Flight ต้องถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของเกมเมอร์ได้ดีกว่ารุ่นที่ผ่านๆ มาพอสมควร ด้วยองค์ประกอบที่โดดเด่นคือ ทำงานแบบไร้สาย ซึ่งระยะการทำงานอยู่ที่ราวๆ 20 เมตร ถือว่าอยู่ในระยะที่ใช้งานภายในบ้านขนาดกลางได้สบาย เพราะสามารถสวมคอและเดินเล่น
เช่น ไปหยิบของที่ตู้เย็น หรือไปเข้าห้องน้ำ ก็ยังพอใช้งานและฟังเสียงได้ในระยะที่ทำงาน น้ำหนักค่อนข้างเบา เพราะอยู่ที่ราวๆ 300 กรัมเท่านั้นเอง จึงทำให้วางบนศีรษะและเล่นได้แบบยาวๆ ในเรื่องของความเอนกประสงค์ คงต้องให้คะแนนส่วนนี้เยอะ
สำหรับคุณภาพเสียง แม้จะเป็นหูฟังแบบไร้สาย แต่ก็ได้ความหนักแน่นมาจากสายพันธุ์รุ่นพี่มาแบบเต็มๆ กับเอกลักษณ์เสียงกลางหนัก เหมาะกับการเล่นเกมหรือดูหนัง ไม่ต้องปรับสุด แต่เสียงทุ้มก็ใส่มาได้แบบเต็มๆ ทีเดียว รายละเอียดของเสียงแหลม พอเก็บได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงทรายหรือเศษหินกระจายจากระเบิดหรือจะเป็นกระจกแตกจากบนอาคาร เสียงสนทนาในเกมที่ยังคงความชัดเจน
เช่นเดียวกับสายเกมแอ็คชั่นน่าจะสนุกได้กับการจำลองเสียงรอบทิศทาง ที่ทาง HyperX จัดมาให้แบบเต็มๆ ซึ่งจากการได้ลองกับ PUBG, FarCry5 และ Monster Hunter World อารมณ์เสียงมาดี แม้จะเก็บไม่หมดในทุกย่าน แต่ก็ให้จับสังเกตได้ไม่ยากเลย ส่วนเรื่องระยะเวลาในการใช้งาน ค่อนข้างจะยาวนาน สแตนบายเล่นได้เป็นวันเลยทีเดียว
ในภาพรวมก็ต้องถือว่า HyperX Cloud Flight รุ่นนี้ ออกมาตอบโจทย์คนขี้รำคาญได้ดีในระดับหนึ่ง ด้วยการออกแบบให้น้ำหนักเบา คล้องคอง่าย เดินได้สะดวก ที่สำคัญระบบเสียงยังถือว่าจัดจ้านดี สมราคาประมาณ 5 พันกว่าบาท ใครไม่สนความหวือหวาของแสงสี แต่เน้นที่เสียงและความคล่องตัว ไม่น่าพลาดหูฟังจาก HyperX รุ่นนี้ด้วยประการทั้งปวง
จุดเด่น
- เป็นแบบไร้สาย ใช้งานสะดวก
- ให้เสียงกลางแน่น เสียงแหลมเก็บรายละเอียดได้ชัด
- เหมาะทั้งการเล่นเกมและดูหนัง
ข้อสังเกต
- เน้นความเรียบง่าย ไม่ได้เน้นไฟ RGB
ราคา: ประมาณ 5,490 บาท
ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX Cloud Flight