หากพูดถึง Gaming Gear แบรนด์ดังๆ ในบ้านเราเชื่อว่าจะต้องมี SteelSeries อยู่หนึ่งในนั้นแน่นอน ส่วนหนึ่งคงมาจากมีสินค้าจำหน่ายมานานในบ้านเรา และเป็นแบรนด์ Gamming Gear แบรนด์แรกๆ ที่มีสินค้ามาจำหน่ายในบ้านเรา โดยอุปกรณ์เล่นเกมส่วนใหญ่มักจะประกอบไปด้วย Mouse Mouse Pad Keyboard หูฟัง ซึ่งทาง SteelSeries ก็มีจัดจำหน่ายครบ แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่หลายคนสนใจกันคือ หูฟังสำหรับเล่นเกม หรือ ใช้กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งทาง SteelSeries ก็มีด้วยเช่นกัน
ที่เราจะพาไปดูกันในวันนี้ คือ หูฟังทั้งหมด 3 รุ่น จาก SteelSeries ได้แก่ SteelSeries Arctis Pro, SteelSeries Arctis Pro + Game Dac, SteelSeries Arctis Pro Wireless หูฟังสำหรับเล่นเกมโดยเฉพาะ โดยรุ่นที่เราจะมาดูกันในวันนี้เรียกได้ว่าเป็นรุ่นตีบวกจากรุ่นเดิมอย่าง Steelseries Arctis 3, Arctis 5, Arctis7 ส่วนจะมีอะไรที่แตกต่างกันบ้างนั้นเราไปดูกันเลย
SteelSeries Arctis Pro ราคา 7,990 บาท
เริ่มกันที่ตัวแรก SteelSeries Arctis Pro จะมีรูปทรงดีไซน์ภายนอกเหมือนกับ Steelseries Arctis รุ่นอื่น มันทำให้ผมคิดถึง SteelSeries Arctis 5 เลยในแว๊บแรก ทั้งดีไซน์ของตัวหูฟัง และ ตัวสาย แต่จะมีส่วนที่แตกต่างกันบ้างในเรื่องของลวดลายของตัว Headband ที่ติดมาจากโรงงาน ตัว Headband สามารถปรับความยาวได้หลากหลาย สำหรับงานประกอบทำได้แน่น และ เนี้๊ยบ ตามสไตล์ SteelSeries วัสดุที่ใช้มีความแข็งแรง ส่วนการสวมใส่ถือว่าทำได้ดี ใส่สบายไม่อึดอัด แต่สำหรับคนหัวใหญ่แบบผมจะรู้สึกว่าใส่นานๆ จะมีปวดหัวบ้างเล็กน้อย
ตัว Ear Cup ที่เป็นแบบผ้าเวลาใส่รู้สึกว่าร้อนน้อยกว่าแบบหนังมาก ตัวฟองน้ำมีความนุ้ม และมีขนาดใหญ่ครอบหูพอดี แต่ตัว Ear Cup แบบผ้าเมื่อเทียบกับหนังจะตัดเสียงรบกวนน้อยกว่า ทำให้ได้ยินเสียงจากภายนอก แต่เวลาใส่แล้วเปิดเพลง ก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกเลย และที่สำคัญคือมีเสียดังออกมาจากหูฟังเวลาใส่แบบรู้สึกได้ เหมือนเวลาที่เราได้ยินคนข้างๆ ใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังๆ อะไรทำนองนั้น
ที่ตัวหูฟังมาพร้อมกับที่ปรับระดับเสียง และไมโครโฟน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไฟ RGB ด้วย โดยสามารถปรับแสงไฟได้จากโปแกรม SteelSeries Engine 3 หนึ่งในฟีเจอร์ที่เป็นทีเด็ดของ SteelSeries Arctis Pro คือ ตัวที่หมุนปรับระหว่างเสียงพูด กับ เสียงเกม ทำให้เราเลือกได้ว่าตอนเล่นเกมเราอยากได้ยินเสียงอะไรมากกว่ากัน เช่น ถ้าเล่นเกมที่ต้องคุยกับเพื่อน ก็หมุนไปที่เสียงเพื่อนมากหน่อย ก็จะทำให้ได้ยินเสียงเพื่อนชัดขึ้น อะไรแบบนั้น
ในด้านของสเปคเรื่องเสียง จะถูกอัพเกรดขึ้นอีกระดับนึง อย่างการตอบสนองต่อความถี่ที่มากกว่าเดิม และรองรับ DTS X Headphone 2.0 สำหรับเรื่องเสียง ด้วยความที่เป็นหูฟังแบบเปิด Open-ear ทำให้มิติเสียงที่ได้ยินมีระยะห่างที่ดีกว่าหูฟังแบบปิด Close-ear แต่ก็แลกมากับเบส และ ความแน่นของเสียงที่จะน้อยกว่า คือฟังครั้งแรกจะรู้ได้ทันทีว่าเสียงบางกว่าหูฟังตัวอื่น
สเปคของ SteelSeries Arctis Pro
ตัวหูฟัง
- ไดรเวอร์ขนาด 40 มม.
- การตอบสนองความถี่: 10Hz-40KHz
- ความต้านทาน: 32 โอห์ม
- ความไวเสียง: 92 dBSPL @1 kHz / 1mW
- รองรับ DTS X Headphone 2.0
- Connector : 3.5mm, USB
ไมโครโฟน
- มีระบบ Noise Cancelling
- การตอบสนองความถี่: 100Hz-10KHz
- ความไวเสียง : -38 dBV / Pa
- รองรับการเชื่อมต่อ PC หรือ PS4, Moblie แบบช่องหูฟัง 3.5
ราคา 7,990 บาท
สำหรับเสียงที่ได้จะเป็นแนว Flat คือเสียงกลางจะเยอะ เสียงสูงจะไม่แหลมเสียดหู แต่ยังคงความใสเอาไว้ได้ เสียงเบสรู้สึกว่ายังไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ แต่มี Impact แรงปะทะที่โอเค เป็นเบสที่มาเร็วไปเร็ว สำหรับมิติเสียงทำได้ดีมาก แยกแยะตำแหน่งจากแหล่งกำเนิดเสียงได้ดี
ในภาพรวมจะเป็นหูฟังที่ให้เสียงฟังสบายไม่ดุดัน รุกเร้ามากจนเกินไป และอาจจะไม่เหมาะกับการนำมาใช้เน้นฟังเพลงสักเท่าไหร่ แต่ถ้านำมาใช้เล่นเกมทำได้ยอดเยี่ยมมาก ถือว่าทำได้ตามวัตถุประสงค์ของมันที่ถูกออกแบบมาให้เน้นใช้เล่นเกม ส่วนตัวคิดว่าถ้าได้ Burn-in มากกว่านี้เสียงที่ได้จะดีขึ้น
SteelSeries Arctis Pro + Game DAC ราคา 11,090 บาท
สำหรับตัวถัดมาอย่าง SteelSeries Arctis Pro รุ่นที่มี DAC สำหรับดีไซน์ และ สเปค ตัวหูฟังจะเหมือนกันกับตัว SteelSeries Arctis Pro เป๊ะๆ จึงขอข้ามไปก่อน แต่จะขอพูดถึงในส่วนของ DAC แทน สำหรับดีไซน์ของ DAC ที่มีมาให้นั้นจะมีขนาดใกล้เคียงกับรีโมทแอร์ โดยด้านหน้าจะมาพร้อมกับหน้าจอ OLED แสดงสถานะการทำงาน และ สามารถตั้งค่าหูฟังได้จากตรงนี้เลย
ที่สำคัญคือ มาพร้อมกับที่ปรับระดับเสียงแบบหมุน ใช้งานสะดวก สำหรับ Input ที่ตัว DAC นี้รองรับจะประกอบไปด้วย USB, Optical และ 3.5 AUX นอกจากนี้ที่เป็นทีเด็ดเลยคือ รองรับเสียงแบบ Hi-Res และ Dolby Audio รวมไปถึงฟีเจอร์การปรับเลือกความดังระหว่างเสียงพูดกับเสียงเกมได้เหมือนกับใน SteelSeries Arctis Pro และรองรับการใช้งานกับ SteelSeries Engine 3
สเปคของ SteelSeries Arctis Pro +DAC
ตัวหูฟัง
- ไดรเวอร์ขนาด 40 มม.
- การตอบสนองความถี่: 10Hz-40KHz
- ความต้านทาน: 32 โอห์ม
- ความไวเสียง: 92 dBSPL @1 kHz / 1mW
- รองรับ DTS X Headphone 2.0
ไมโครโฟน
- มีระบบ Noise Cancelling
- การตอบสนองความถี่: 100Hz-10KHz
- ความไวเสียง : -38 dBV / Pa
DAC / Amp
- ใช้ชิป : ESS Sabre 9018Q2C
- รองรับการถอดรหัสไฟล์ที่ : 44.1-96 kHz 16-24 bit
- รองรับการเชื่อมต่อ : PC, PS4, XBOX One , Mobile
- รองรับไฟล์ Hi-Res
- รองรับระบบเสียง Dolby Audio
- Connector : 3.5mm, USB, Optical
ราคา 11,090 บาท
สำหรับเสียงที่ได้รู้สึกได้เลยว่ามีความต่างกับตอนที่ไม่ใช้ DAC คือเสียงที่ได้มีรายละเอียดที่ดีขึ้น, มีมิติที่ดีขึ้น มีความใกล้เคียงหูฟังแบบ Analog เหมือนว่า DAC เข้ามาแก้ไขเรื่องเสียงของตัว SteelSeries Arctis Pro ที่แห้ง บาง มีความเป็นหูฟัง Digital มาก ให้ดีขึ้นแบบรู้สึกได้ คือรู้สึกได้ว่าถ้าจะนำไปใช้งานที่หลากหลายควรเพิ่มเงินขึ้นมาเล่นรุ่นที่มี DAC เลย
SteelSeries Arctis Wireless ราคา 13,990 บาท
และตัวสุดท้ายอย่าง SteelSeries Arctis Wireless จะมีรูปทรงดีไซน์ภายนอกจะเหมือนกับ SteelSeries Arctis 7 ที่เป็นไร้สายในรุ่นก่อน กลับมาในครั้งนี้เหมือนกับเป็นการนำเอาหูฟังรุ่นก่อนๆ อย่าง SteelSeries H Wireless มารวมร่างกับ Steelseries Arctis 7 สำหรับดีไซน์ในภาพรวมจะเหมือนกับตัว SteelSeries Arctis Pro แต่จะเพิ่มความสามารถไร้สายเข้ามา และ ตัดไฟ RGB ออกเพื่อประหยัดพลังงาน โดยที่ด้านขวาของหูฟังจะมีแบตเตอรี่แบบถอดได้ติดมาให้ด้วย
ตัวหูฟังรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายบนคลื่นความถี่ 2.4 GHz, Bluetooth 4.1 และแบบมีสาย ทำให้ตัวหูฟังสามารถรับ Input ได้พร้อมกันหลายเครื่อง เช่น เชื่อมต่อแบบไร้สายแบบ 2.4 GHz กับคอมพิวเตอร์ และแบบ Bluetooth กับสมาร์ทโฟน ทำให้เมื่อมีคนโทรเข้ามาจะสามารถรับสายได้ทันที สะดวกมากๆ
ตัวกล่องควบคุมจริงๆ ก็ทำหน้าที่เหมือนกับ DAC ใน SteelSeries Arctis Pro + DAC แต่เพิ่มความสามารถไร้สายเข้ามา ดังนั้น มันก็เลยทำหน้าที่ได้เหมือนกัน ส่วนที่แตกต่างกันคือ ในภาคการเชื่อมต่อไร้สาย และ Bluetooth รวมไปถึงการเพิ่มที่ชาร์จแบตเตอรี่ของหูฟัง ตัวแบตเตอรี่ใช้ได้ 10 ชั่วโมง
แบตเตอรี่สามารถชาร์จได้ผ่านสายชาร์จ และชาร์จกับแท่นควบคุมก็ได้ โดยได้แถมมาจำนวนสองก้อน ตัวกล่องควบคุมสามารถเชื่อมต่อกับหูฟังผ่านระบบไร้สาย และแบบ Bluetooth คือตัวกล่องควบคุมปล่อยสัญญาณ Bluetooth ออกมาเองเลย แล้วใช้สื่อสารกับตัวหูฟัง ทำให้มีทางเลือกในการเชื่อมต่อที่หลากหลาย
ระบบไร้สายที่เพิ่มเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายในการสวมใส่มาก เมื่อเทียบกับแบบมีสาย คือจะไม่มีสายมากวนใจเวลาใช้งานเลย ดังนั้นเลยทำให้เราสามารถเดินไปเข้าห้องน้ำโดยที่ไม่ต้องถอดหูฟัง หรือ จะทำอย่างอื่นก็คล่องตัว เช่นกัน
สเปคของ SteelSeries Arctis Pro Wireless
- ไดรเวอร์ขนาด 40 มม.
- การตอบสนองความถี่: 10Hz-40KHz
- ความต้านทาน: 32 โอห์ม
- ความไวเสียง: 92 dBSPL @1 kHz / 1mW
- รองรับ DTS X Headphone 2.0
ไมโครโฟน
- มีระบบ Noise Cancelling
- การตอบสนองความถี่: 100Hz-10KHz
- ความไวเสียง : -38 dBV / Pa
ตัวกล่องควบคุม
- รองรับคลื่นความถี่ 2.4 GHz และ Bluetooth 4.1
- รองรับการเชื่อมต่อ PC, PS4, XBOX One , Mobile
- รองรับไฟล์ Hi-Res
- รองรับระบบเสียง Dolby Audio
- Connector : 3.5mm, USB, Optical
ราคา 13,990 บาท
ตัวคุณภาพเสียงที่ได้ไม่แตกต่างกับตัว SteelSeries Arctis Pro + DAC ทั้งการเชื่อมต่อแบบไร้สายบนคลื่นความถี่ 2.4, Bluetooth หรือแบบมีสาย คือไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างใช้สายกับไร้สาย เสียงที่ได้ในภาพรวมเหมือนกันมาก รวมไปถึงไม่มีดีเลย์ คลื่นรบกวน มากวนใจแม้แต่น้อย
สำหรับภาพรวมของ SteelSeries Arctis Pro Series ใหม่นี้ เหมือนเป็นการอัพเกรดตีบวกสเปคของหูฟังให้มีเสียงที่ดีขึ้น รองรับการใช้งานที่หลากหลายแนวมากขึ้น และถ้าถามผมว่าชอบตัวไหนมากที่สุดในบรรดา 3 ตัวนี้ คงจะเป็น SteelSeries Arctis Pro + Game DAC เพราะผมเชื่อมั่นว่าการใช้หูฟังแบบสายจะให้เสียงที่ดีที่สุดอยู่ดี ถือแม้ว่ามีสายกับไร้สายจะเสียงไม่ต่างกันเลยก็ตาม ส่วนรายละเอียดอื่นๆ สามารถติดตามได้ในรีวิวตัวเต็มในถายหลังได้เลย