เป็นที่ทราบกันดีครับว่าในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมานั้นถือได้ว่าเป็นปีที่แท็บเล็ตไม่ค่อยจะบูมเท่าไร ถึงแม้ว่าทางผู้ผลิตต่างก็พยายามที่จะเปิดตัวและวางจำหน่ายแท็บเล็ตแบบปีต่อปีกันมาอย่างต่อเนื่องก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์นั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมแม้แต่น้อยครับ อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นเรื่องของการที่แท็บเล็ตไม่ได้มียอดจำหน่ายสูงเหมือนเดิมก็มีข้อดีอยู่เช่นเดียวกันซึ่งข้อดีนั้นก็ตกมายังผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ กับการเล่นสงครามราคาแท็บเล็ตที่ในปีนี้นั้นถือว่าถูกลงมากหากเทียบกับหลายๆ ปีก่อนที่ผ่านมาครับ
ดีไซน์การออกแบบและรายละเอียดของ iPad 2018 โดยรวมค่อนข้างที่จะเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นขนาด น้ำหนัก ความละเอียดหน้าจอ ที่เพิ่มเติมซึ่งมีความโดดเด่นมากๆ ก็คือ การรองรับใช้งาน Apple Pencil แล้ว ทำให้เราสามารถวาดขีดเขียนได้เหมือนกับ iPad Pro ที่ราคาแพงกว่า นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นการใช้ชิปประมวลผลเป็น A10 Fusion มาพร้อมการเข้าใช้งาน Touch ID และรองรับการใช้งาน AR ด้วยกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายวิดีโอสูงสุด Full HD โดยแบตเตอรี่อยู่ได้นาน 10 ชั่วโมง
และในบทความนี้นั้นเราจะขอนำ iPad รุ่นประจำปี 2018 ที่ทาง Apple ได้เปิดตัวออกมาไม่นานและทางสื่อต่างประเทศได้ทำการรีวิวเอาไว้มาทำการนำเสนอต่อให้ทุกท่านได้รับไว้พิจารณากันครับ สิ่งหนึ่งที่ต้องพูดถึงก่อนเลยนั้นก็คือเรื่องของราคาที่ iPad 2018 นั้นมีราคาที่ถูกลงเอามากๆ หากเทียบกับ iPad รุ่นอื่นๆ ของทาง Apple ซึ่งในไทยเรานั้นก็ได้มีการเปิดตัวราคาเริ่มต้นออกมาแล้วคืออยู่ที่ 11,500 บาทครับ
เรียกได้ว่าเป็น iPad ที่น่าสนใจมากๆ เพราะราคาเปิดตัวเริ่มต้นมานั้นถือว่าถูกมากๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ด้วยราคาเพียง 11,500 บาท กับรุ่นความจุ 32GB และ 14,900 บาท ความจุ 128GB ส่วนถ้าเป็นรุ่น Wi-Fi + Cellular ก็จะเป็นราคา 16,500 บาท และ 19,900 บาท หรือพูดง่ายๆ ว่าบวกขึ้นมาอีก 5,000 บาทนั่นเอง มาพร้อมสีสันให้เลือกตามมาตรฐานก็คือ Silver, Space Grey และ Gold
ส่วนราคาของ Apple Pencil จะอยู่ที่ 3,400 บาท ฉะนั้นแล้วถ้าเวลาซื้อ iPad ก็ต้องเผื่องบซื้อดินสอด้วยนะครับ เช่นเราซื้อตัวเริ่มต้นพร้อม Apple Pencil สนนราคาก็จะเป็น 11,500 + 3,400 = 14,900 บาท ซึ่งนับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับคุณสมบัติที่เราจะเอาไปสร้างสรรค์งานต่อได้ ซึ่งถ้าเทียบจากเมื่อหลายปีก่อน ต้องซื้อคอมเครื่อง Wacom เครื่อง เดี๋ยวนี้ถือว่าเราจ่ายเงินได้ถูกมากๆ ทีเดียว ซึ่งถ้าใช้สิทธิ์การเป็นนักเรียนนักศึกษาเข้าไปด้วยราคาก็จะถูกลงกว่านี้ เริ่มต้นที่ 10,800 บาทเท่านั้นเอง
ว่ากันด้วยเรื่องของฮาร์ดแวร์
จุดที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั้นคงหนีไม่พ้นในส่วนของฮาร์ดแวร์ครับ ด้วยราคาตัวเครื่องที่เทียบได้ว่าค่อนข้างที่จะถูกกว่า iPad ในหลายๆ รุ่นที่ผ่านมาทำให้หลายๆ คนอาจจะคิดว่าทาง Apple นั้นกั๊กสเปคเอาไว้ ทว่าในความเป็นจริงนั้นมันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ iPad 2018 นั้นมาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วโดยในส่วนของดีไซน์นั้นจะค่อนข้างที่เหมือนกันกับ iPad Air ในรุ่นปี 2013 อยู่พอสมควรทว่าส่วนของภายนอกที่เปลี่ยนไปนั้นก็คือการที่ iPad 2018 นั้นมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ Touch ID นั่นเองครับ
อีกอย่างหนึ่งที่เราไว้ใจ Apple ได้นั่นก็คือเรื่องของวัสดุที่ใช้ในการผลิตซึ่ง iPad 2018 นั้นก็ได้ใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียมเป็นส่วนของตัวเครื่องโดยทั้งหมดทั้งมวลนั้นทำให้ iPad 2018 มีความหนาอยู่ที่ราวๆ 7.5 mm พร้อมด้วยน้ำหนักที่ประมาณ 453 g เท่านั้น สำหรับพอร์ทการเชื่อมต่อต่างๆ ก็จะเหมือนกับในเครื่องรุ่นเดิมทั้งตำแหน่งการจัดวางและจำนวนของพอร์ทต่างๆ ที่มีให้มาครับ(iPad 2018 นั้นยังคงมีพอร์ท 3.5 audio มาให้เช่นเดิมครับ)
กล้องหลังของ iPad 2018 นั้นจะมีความละเอียดอยู่ที่ 8 MP ซึ่งประสิทธิภาพอาจจะไม่สามารถเอาไปเทียบกับในซีรีย์ Pro ได้ทว่ามันก็สามารถที่จะทำงานของมันได้เป็นอย่างดี ตัวเครื่องไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไปทำให้สามารถพกพาและถือใช้งานได้อย่างสะดวก(แต่ถือนานๆ ก็มีอาการปวดข้อมือกันเข้าบ้างเหมือนกันครับ) สำหรับด้านข้างของตัวเครื่องก็จะมาพร้อมกับ Smart Connector แบบเดียวกันกับในรุ่น Pro ที่โดยหลักๆ แล้วก็เอาไว้ใช้ในการชาร์จ Apple Pencil ที่ iPad 2018 รับรองด้วยนั่นเองครับ
กลับมาที่ส่วนของหน้าจอกันก่อนโดย iPad 2018 นั้นจะมาพร้อมกับความละเอียดในระดับ Retina Display พร้อมครอบทับด้วยกระจกเป็นการป้องกันการกระแทกด้วยอีกส่วนหนึ่ง ตัวหน้าจอนั้นถือได้ว่าแสดงผลได้อย่างสวยงามเหมือนกับ iPad ในรุ่นอื่นๆ ที่ทาง Apple เคยเปิดตัวมา(จะเว้นก็แต่ iPad Mini ล่ะครับ) ตัวเครื่องมาพร้อมกับชิปเซ็ท A10 Fusion ที่อาจจะไม่ได้ใหม่แต่มันก็แรงในระดับที่รับมือกับการใช้งานหลายๆ อย่างได้แบบสบายๆ(ประสิทธิภาพก็เทียบกันได้กับ iPhone 7 และ 7 Plus ครับ)
จุดที่น่าจะกลายมาเป็นข้อเสียใหญ่ที่สุดก็คือเรื่อง Apple Pencil นี่ล่ะครับ เพราะพี่ Apple นั้นงกไปหน่อยไม่พอแถม Pencil มาให้ด้วยในชุดจำหน่ายทำให้ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ Pencil ด้วยนั้นต้องซื้อเองแยกต่างหากโดยราคานั้นก็จะอยู่ที่ราวๆ $99 หรือประมาณ 3,130 บาท ซึ่งเรียกได้ว่าราคานั้นทำให้เราต้องหันมาพิจารณา iPad 2018 กันใหม่อีกครั้งถ้าหากจะซื้อแบบครบชุดเพราะพอรวมราคาทั้งหมด iPad 2018 ก็ไม่ได้ถูกไปกว่าฝั่งคู่แข่งอย่าง Samsung Galaxy Tab S3 สักเท่าไรครับ
ว่ากันด้วยเรื่องของซอฟต์แวร์และประสิทธิภาพในการใช้งานจริง
ก่อนอื่นแล้วขอพูดถึงเรื่องความแรงของตัวเครื่องกันก่อนครับ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ครับว่า iPad 2018 นั้นมาพร้อมกับชิปเซ็ท A10 Fusion ซึ่งถูกใช้งานมาก่อนแล้วใน iPhone 7 และ 7 Plus ดังนั้นแล้วประสิทธิภาพที่ได้ก็ไม่ค่อยจะแตกต่างกันมากเท่าไรนัก แถมถ้าพูดกันตรงแล้วนั้นด้วย A10 Fusion นี้นั้นทำให้ั iPad 2018 มีประสิทธิภาพโดยรวมสูงกว่า iPad Pro ในรุ่นแรกซะด้วยซ้ำไป งานนี้ถือว่าเรื่องประสิทธิภาพนั้นทาง Apple ไม่ได้กั๊กไว้ล่ะคับ
ทั้งนี้ด้วยความที่ Apple ออกมาประกาศเองว่า iPad 2018 นั้นจะเน้นตลาดนักเรียนนักศึกษาเป็นหลักก็ต้องมีการลองฉอปพลิเคชันต่างๆ ที่รองรับเรื่องการเรียนรู้ซึ่งเรียกได้ว่าสามารถรับรองการใช้งานได้แบบสบายๆ ส่วนจะสบายมากแค่ไหนนั้นเอาเป็นว่าคุณสามารถที่จะเล่นเกม PUBG Mobile บน iPad 2018 ได้อย่างสบายๆ(พร้อมกับเกมที่ใช้งานการประมวลผลอย่างหนักหน่วงเช่นเกม Drake’s jam Fortnite ก็สามารถเล่นได้แบบสบายๆ จนอาจจะลืมไปว่าพี่ Apple เขาเน้นตลาดเพื่อการเรียนรู้เข้าให้ครับ)
และด้วยระบบปฎิบัติการใหม่อย่าง iOS 11.3 ที่เปิดตัวออกมาพร้อม iPad 2018 นั้นเรียกได้ว่าสามารถที่จะใช้งานแท็บเล็ตได้ดีขึ้นมากกว่าเดิมอย่างมาก เรียกว่าใน iOS 11.3 นี้ทาง Apple เตรียมตัวมาเป็นอย่างดีสำหรับการใช้งานแท็บเล็ตที่สะดวกสบายกว่า iOS 10 เยอะ ในส่วนของเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่นั้นเรียกได้ว่าสบายหายห่วงเพราะทาง Apple เขายืนยันมาอย่างหนักแน่นว่าสามารถที่จะใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 10 ชั่วโมงต่อการชาร์จหนึ่งครับ(แต่น่าเสียดายไปหน่อยก็คือเมื่อใช้งานหนักๆ มากอย่างเช่นการเล่นไฟล์วีดีโอระดับ HD อย่างต่อเนื่องนั้น iPad 2018 จะสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ที่ราวๆ 1.5 – 2 ชั่วโมงเท่านั้นในการปรับความสว่างหน้าจอไว้ที่ 50% ครับ)
Pencil อุปกรณ์เสริมที่อยากให้ทุกคนมีไว้ใช้งานกัน
ถึงแม้ว่าทาง Apple จะงกไม่แถม Pencil มาให้ด้วยในชุดจำหน่ายแต่ทว่าคงปฎิเสธไม่ได้เลยครับว่า Pencil นั้นหากใช้ iPad 2018 แล้วนั้นควรที่จะมี Pencil เป็นเพื่อนคู่กายอย่างมากเนื่องจากว่ามันสามารถที่จะใช้งานได้เป็นอย่างดีไม่ได้มีความแตกต่างอะไรเลยกับเครื่องในซีรีย์ Pro แถมในการใช้งานนั้นยิ่งเอามาใช้ในการจดบันทึก ขีดเขียนวาดรูปบ่อยๆ ล่ะก็สบายและง่ายกว่าการใช้นิ้วมือจิ้มลากเป็นอย่างมากครับ
หมายเหตุ – แต่ต้องระวังให้ดีนะครับด้วยความที่ทาง Apple เน้น iPad 2018 สำหรับตลาดนักเรียนนักศึกษาเป็นหลักดังนั้นแล้วหากเด็กที่ยังโตไม่มากมาใช้งาน Pencil ก็อาจจะมีการลืมหรือทำ Pencil หายกันบ้างให้คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองต้องเสียงเงินกันรอบ 2 รอบ 3 ได้เอาง่ายๆ เลยล่ะครับ
สรุป
ถามว่า iPad 2018 นั้นน่าใช้แค่ไหนบอกได้เลยครับว่าถ้าเทียบกับราคาแล้วนั้นต้องบอกว่าค่อนข้างที่จะคุ้มค่าสมกับราคาของมันจริงๆ ประสิทธิภาพในการใช้งานต่างๆ นั้นเรียกได้ว่า iPad 2018 รองรับทั้งการใช้งานเพื่อการเรียนรู้(รวมไปถึงทำงาน) จนกระทั่งเรื่องของความบันเทิงก็ตอบรับนักเล่นเกมได้อย่างสบายๆ จุดที่อาจจะเป็นข้อเสียไปบ้างนั้นก็คือในส่วนของลำโพงที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักถ้าเอาไปเทียบกับซีรีย์ Pro ทว่าเสียงที่ได้นั้นก็ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขั้นจะฟังกันแล้วขัดหูครับ
แน่นอนว่าการมาของ iPad รุ่นใหม่จากทาง Apple ครั้งนี้ เป็นการตั้งใจให้ทุกคนสามารถเข้าถึงประสบการณ์ iPad พร้อม Apple Pencil ในราคาที่เบากว่า iPad + Apple Pencil มาก อีกทั้งยังมีแอปพลิเคชั่นมากมายที่เหมาะกับการเรียนรู้และพัฒนาของเด็กๆ อีกด้วย เชื่อได้ว่าพ่อแม่หลายคนน่าจะซื้อมาให้ลูกๆ อย่างแน่นอน คือจริงๆ ทุกวันนี้ก็ขายดีกับกลุ่มเด็กๆ จะแย่อยู่แล้ว แต่หลังจากนี้จะขายดียิ่งขึ้นไปอีก เอาแบบที่ Android Tablet แทบจะขายไม่ได้กันเลยทีเดียว
ข้อดี
- ราคาคุ้มค่าถ้าเทียบกับแท็บเล็ตที่มีราคาอยู่ใกล้ๆ กัน
- สนับสนุนการใช้งาน Pencil
- รองรับแอปพลิเคชันมากมายที่โหลดจาก Store
ข้อเสีย
- ดีไซน์เครื่องเหมือนรุ่นเก่าดูแล้วไม่ทันสมัย
- หากเทียบเรื่องความหนาแล้วอาจจะหนาไปหน่อยเมื่อเทียบกับคู่แข่งหรือแม้กระทั่ง iPad ด้วยกันเอง
- Pencil ต้องซื้อแยกต่างหากทำให้ราคาสูงขึ้น
ที่มา : engadget