ในปีที่แล้วนั้นทาง HyperX นั้นได้ทำการปล่อย Gaming Keyboard ตัวแรกออกมาอย่าง HyperX FPS Alloy โดยมีจุดเด่นที่วัสดุที่เป็น Alloy ยกชุดและมีขนาดทีกระทัดรัด และการออกแบบสุดเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความดุดันตามสไตล์ของทาง HyperX นั้นเอง
โดยนี้ปีนี้ทาง HyperX ก็ได้ปล่อยมาทั้ง Gaming Mouse ตัวแรกออกมาอย่าง HyperX Plusefire ที่ออกมาตีตลาดในระดับกลางจนทำให้เป็นเมาส์ระดับกลางที่ได้รับความนิยมขึ้นมาเรื่อยๆจากเหล่า ProPlayer จากเกมต่างๆ ล่าสุดกับ Gaming Keyboard ตัวใหม่กับ Alloy Elite รุ่นพัฒนาจากทาง Alloy FPS โดยสนราคาอยู่ที่ ราคา 3,990 บาท จะแจ่มสักแค่ไหนติดตามได้ในบทความนี้เลย!!!
สเปค
- Switch: CHERRY MX
- Type: Mechanical
- Backlight: Single color, Red
- Light effects: 6 LED modes and 4 brightness levels
- Connection type: USB 2.0 (2 USB connectors)
- USB 2.0 Pass-through: Yes
- Polling rate: 1000Hz
- Anti-ghosting: 100% anti-ghosting Key Rollover: N-key mode
- Media control: Yes
- Game Mode: Yes
- OS compatibility: Windows® 10, 8.1, 8, 7
โดยเจ้าตัว HyperX Alloy Elite นั้นจะออกมาทั้งหมด 3 รุ่นนั้นก็คือ Blue switch / Red Switch / Brown Switch โดนรุ่นที่แอดมินได้โอกาสนำมารีวิวนั้นก็คือรุ่นที่เป็นแบบ Red Switch นั้นเองถือว่าเป็นสวิทช์ที่มีจุดเด่นในเรื่องความเงียบและสัมผัสที่ดีโดยไม่จำเป็นต้องใช้แรงกดเยอะ ถือว่าเป็นสวิทช์ที่เหมาะกับคนที่เพิ่งจะมาใช้ Machanical Switch มากที่สุด
โดย HyperX นั้นจะเน้นการออกแบบผลิตภัณท์ให้เป็น Gaming Keyboard ที่คุณจะต้องสามารถใช้งานได้เป็นระยะเวลานานทนไม้ทนมือจึงเลือกใช้วัสดุเป็น Alloy ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของตัวคีย์บอร์ดได้เป็นอย่างดีแถมยังมีน้ำหนักที่เบาอีกด้วย นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับสาย USB ที่แข็งแรงด้วยการถักแบบพิเศษด้วย rubber grommet หรือการใช้แผ่นยางรองเข้าไปอีกหนึ่งทีก่อนถักนั้นเองซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงทนทานให้มากกว่าสายทั่วไปโดยตัวคีย์บอร์ดนั้นจะออกแบบมาด้วยโทนสีดำเป็นหลักซึ่งสามารถตัดกับสีไฟ Backlight สีแดงได้อย่างดีซึ่งช่วยเพิ่มความดุดันและความเท่ ของคีย์บอร์ดได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นในบริเวณด้านขวาบนของตัวคีย์บอร์ดนั้นยังมาพร้อมกับปุ่ม Media Keys ที่มากันแบบครบครั้นไม่ว่าจะเป็นเพิ่มลดเสียงที่มาในลักษณะของลูกกลิ้ง รวมไปถึงปุ่ม Game Mode ที่สามารถช่วยปิดปุ่ม Windows Key ซึ่งจะสามารถช่วยให้คุณมั่นใจทุกการใช้งาน
แถมยังมีที่รองข้อมือที่ดีไซน์ออกมา ตามสรีระของมือเราซึ่งจะช่วยให้การเล่นเกมของเรานั้นสามารถเล่นได้นานขึ้นและคล่องมือมากขึ้นนั้นเอง และไม่ต้องกล้วลื่นเพราะว่าพื้นผิวของที่รองข้อมือนั้นทำมาแบบป้องกันเหงือและกันลื้นได้เป็นอย่างดี
เนื่องจาก HyperX นั้นเป็นแบรนด์ที่เน้นในด้านคุุณภาพมากกว่าความสวยงามดังนั้นวัสดุทุกๆอย่างที่เอามาใช้นั้นต้องเป็นวัสดุอันดับหนึ่ง และแน่นอนว่า Switch ที่ใช้ต้องเป็น Cherry MX Switch แน่นอนซึ่งเป็น Switch ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเหล่า ProPlayer ต่างยกให้เป็น Switch ที่ดีที่สุดในโลกด้วยประสิทธิภาพและความทนทานที่สามารถรองรับการกดได้ถึง 50 ล้านครั้ง โดยในรุ่น Alloy Elite นั้นก็ยก Switch มาให้เลือกถึง 3 รุ่นนั้นก็คือ Blue/ Red /Brown นั้นเอง โดย Blue จะเหมาะกับคนที่ต้องการใช้ Switch ที่เป็นแบบ 2 จังหวะ และใช้แรงกดที่ค่อนข้างเยอะ Red เหมาะสำหรับใครที่ต้องการสั่งการได้อย่างราบลื่นเพราะว่าใช้น้ำหนักในการกดที่ค่อนข้างน้อย Brown จะเหมาะสำหรับใครที่ต้องการอะไรที่กลางๆ ไม่ใช่น้ำหนักเยอะ และเป็นสวิทช์จังหวะเดียวนั้นเอง
มาดูเกี่ยวกับไฟกันสักหน่อย
โดยมาดูกันสำหรับจุดเริ่มต้นของไฟ Backlight กันสักหน่อย โดยปกติแล้วไฟ Backlight นั้นมีหน้าที่ในการช่วยให้มองเห็นคีย์บอร์ดในที่มืดได้ชัดขึ้นเพียงเท่านั้น โดย HyperX Alloy Elite ก็ได้มาพร้อมไฟดีแสง แรง 3 เท่าที่จะมาช่วยให้การมองเห็นได้ชัดมาขึ้นโดยที่ไม่มีไฟแยงตา หรือ สีสันที่เยอะเกินไปจนทำให้เราเวียนหัวกันง่ายๆ โดยเราสามารถปรับ Effect ไฟได้ถึง 6 แบบในบริเวณปุ่มด้านบนซ้ายของคีย์บอร์ดซึ่งจะช่วยเพิ่มความสวยงามของคีย์บอร์ดได้ดีเลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับ Keycap ที่เป็น Alloy เฉพาะสำหรับหรับปุ่ม WASD และ 1234 เพื่อช่วยให้มั่นใจทุกครั้งในการกด
มาทดสอบกับการเล่นเกมกันสักหน่อย
โดยชื่อรุ่นก็บอกอยู่ว่าเป็น Alloy “FPS” Elite ดังนั้นเกมที่เราจะทำมาทดสอบกันนั้นก็คือ CS:GO นั้นเองเกม FPS ยอดฮิตติดลมบนของวงการ eSports โดยเริ่มมาจากการทดสอบปุ่มว่าสามารถป้องกัน Anti ghost Keys ได้ดีขนาดไหนปรากฏว่าทำออกมาได้ดีไม่มีติดขัดใดๆเลยไม่ว่าจะพยายามเล่นท่ายากขนาดไหนก็ไม่มีติดขัดซึ่งคีย์บอร์ดบางรุ่นนั้นไม่สามารถที่จะนั่งและเดินไปทิศทางเฉียงๆพร้อมกับเปลี่ยนอาวุธไปด้วยได้แต่สำหรับ Alloy Elite นั้นสามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา
และที่สำคัญ Game Mode ก็สามารถปิดการใช้งานของ Windows Key ได้เป็นอย่างดี แถมพอจะนำ Windows Keys มาใช้งานนั้นก็ง่ายสะดวกเร็วเร็ว แน่นอนว่านอกจากการเล่นเกมนั้นการที่จะหยิบมาทำงานนั้นก็ไม่เลวเลยทีเดียว เนื่องด้วยเป็นแบบ Red Switch นั้นจึงสามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการพิมพ์ได้อย่างดีโดยถึงแม้ว่าจะพิมพ์ไปสัก 110 คำ / วินาที ก็ไม่มีปัญหา
สรุปแล้วถ้าสังเกตุกันเจ้าคีย์บอร์ดตัวนี้นั้นแทบไม่มีปุ่มไหนเลยที่เราจะไม่ได้ใช้งานมัน เพราะว่าแต่ละปุ่มล้วนสำคัญทั้งสิ้นโดยทาง HyperX พยายามตัดปุ่มที่ไม่สำคัญ หรือ ไร้ประโยชน์ออกไปเพื่อให้เพิ่มพื้นที่การใช้งานมากขึ้นและมุงเน้นไปที่คุณภาพของตัว Alloy Elite เป็นหลักมากกว่า การที่มีฟังชั่นมากมายแต่กลับใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ โดยอีกหนึ่งจุดเด่นของเจ้าตัว Alloy Elite นั้นก็คือการทำความสะอาดเนื่องด้วยมันเป็น Alloy จึงสามารถทำให้การทำความสะอาดของเราง่ายขึ้นมาก แถมปุ่ม Keycap ยังสามารถถอดออกมาทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย
ข้อดี
- ปุ่มใช้งานหมดไม่มีฟังชั่นนี้เยอะแยะจนรู้สึกเปลื่องพื้นที่
- Switch ที่มีให้เลือกถึง 3 รุ่น
- วัสดุที่เน้นความคงทนและแข็งแรงเป็นหลัก
- ที่รองข้อมือที่ออกแบบมาได้อย่างดีเยี่ยม
จุดสังเกตุ
- สำหรับใครที่ชอบไฟหลากหลายสีคงต้องข้ามกันไปเพราะเจ้าตัว HyperX Alloy Elite นั้นจะมีเพียงไฟสีแดงเท่านั้น