อีกหนึ่ง Ultrabook ที่มีความน่าสนใจมากๆ กับ HP ENVY 13 ปี 2017 ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความบางและเบามากๆ เพียง 13.9 มิลลิเมตรและน้ำหนักเพียง 1.2 กิโลกรัมเท่านั้น เรียกได้ถือมือเดียวได้อย่างสบายๆ นับได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 13.3 นิ้วของ HP ที่เบาและบางที่สุดก็ว่าได้ ส่วนตัวคีย์บอร์ดนั้นก็ได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ให้แต่ละปุ่มมีระยะห่างกัน 1.2 มิลลิเมตร ส่วนลำโพงเป็น Bang & Olufsen ที่จัดว่าคุณภาพเสียงดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป ที่สำคัญคราวนี้ให้ลำโพงมาถึง 4 ตัว (เหนือแป้นคีย์บอร์ด 2 และใต้ตัวเครื่องอีก 2) แบบเดียวกับ Spectre รุ่นพี่เลย
HP ENVY 13 ปี 2017 รุ่นล่าสุดนี้ที่จุดที่น่าสนใจมากที่สุดนั้นคงหนีไม่พ้นกับการมาพร้อมกับชิปกราฟิก NVIDIA GeForce MX150 ซึ่งเค้าว่ากันว่าให้ประสิทธิภาพแรงพอๆ กับ GTX 950M ก็ว่าได้ (ไว้ทดสอบตัวจริงอีกที) ที่เชื่อว่าทำให้เล่นเกม 3 มิติ ที่ไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์ ออนไลน์ ได้ลื่นในระดับนึงทีเดียว ส่งผลให้เป็น Ultrabook การ์ดจอแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากที่ผ่านมามีแต่ 940MX เท่านั้น โดยในส่วนของการดีไซน์ตัวเครื่องนั้นเน้นความโดดเด่นด้วยหน้าจอขอบแคบขอบบาง ทำให้แม้จะเป็นขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้ว แต่ตัวเครื่องพอๆ กับโน๊ตบุ๊คที่หน้าจอ 12.5 นิ้วรุ่นก่อนๆ
Specification
สเปกตัวทีมงานได้รับมารีวิวเป็นตัวท็อปราคา 47,990 บาท ซีพียูเป็นตัว Intel Kaby Lake รุ่นล่าสุด ในรุ่น Intel Core i7-7500U ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 2.9 GHz ส่วนการ์ดจอเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX150 (2GB) แรมก็ให้มา 8GB DDR3L เป็นแบบฝังติดบอร์ด ในส่วน SSD ได้อัพเกรดมาใช้แบบ PCIe NVMe ที่ให้ความเร็วสูงกว่า SSD ทั่วไป พร้อมความจุสูงถึง 512GB มาพร้อมกับจอขนาด 13.3 นิ้ว พาเนล IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งถือว่าเป็นความละเอียดสูงที่เหมาะสม แถมตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit มาให้ด้วย ที่สำคัญยังบางเฉียบและเบาเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น จัดเต็มสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานหนักและยังพกพาสะดวกอีกด้วย
ระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ลิขสิทธิ์ พอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบครัน ประกันแบบ On-Site Service ให้เป็นระยะเวลา 2 ปีด้วยกัน และอีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดคือ HP Fast Charge ที่สามารถชาร์ตแบตถึง 90% ในเวลาเพียง 90 นาที ส่วนอื่นๆ จะเป็น Core i3-7100U/Core i5-7200U มาพร้อมแรม 4GB/8GB และ SSD 256GB/360GB ในราคา 29,990 บาท และ 39,990 บาท
- i3-7100U + HD Graphics 620 + RAM 4GB + SSD 128GB + Windows 10 Home ราคา 29,990 บาท
- i5-7200U + NVIDIA MX150 + RAM 8GB + SSD 360GB + Windows 10 Home ราคา 39,990 บาท
- i7-7500U + NVIDIA MX150 + RAM 8GB + SSD 512GB + Windows 10 Pro ราคา 47,990 บาท
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ HP ENVY 13 ปี 2017 จัดได้ว่าเป็น Ultrabook หน้าจอ 13.3 นิ้ว ที่น่าสนใจอยู่พอสมควร จากการที่มีบางเบาที่สุดของทาง HP ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา ส่วนของบอดี้ จะใช้เป็นอลูมิเนียมคุณภาพสูงเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา รวมไปถึงดูหรูหรามีราคา ที่สำคัญก็คือในส่วนของดีไซน์การเปิดตัวหน้าจอและคีย์บอร์ดที่จะทำมุมอย่างเหมาะสมเวลาเปิด ทำให้เวลาที่ใช้งานนั้นผู้ใช้จะรู้สึกว่าตัวเครื่องมีการระบายอากาศทางด้านล่างของโน๊ตบุ๊คออกไปอย่างรวดเร็วและให้ความรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นเวลาพิมพ์ ส่วนสีสันมีให้เลือกสองสีอย่าง สีทอง Silk Gold และ สีเงิน Natural Silver
ตัวเครื่องมีการออกแบบโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะลาดเอียงเล็กน้อย ตัวเครื่องทั้งหมดใช้เป็นวัสดุอลูมิเนียม ส่งให้เวลาที่เราเอามือมาวางจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหนือชั้นกว่าวัสดุทั่วๆ ไป โดยเป็นรอยนิ้วมือได้ยากในระดับนึงฉะนั้นใช้งานได้อย่างสบายใจ เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจน ว่านี่คือ Ultrabook ตัวเครื่องระดับบน ที่มีการออกแบบมาเป็นอย่างดีพร้อมใส่ในรายละเอียดอย่างที่สุด
อีกหนึ่งจุดเด่นของ HP ENVY 13 ที่เป็น Ultrabook ระดับสูงก็คือ มีน้ำหนักตัวที่เบามากๆ แถมตัวเครื่องยังบางสุดๆ โดยสามารถถือได้ด้วยมือเดียวอย่างสบายๆ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนความบางมีเพียง 13.9 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าเหมาะกับการพกพามากๆ ทีเดียว สำหรับการใช้งานนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นการไปเรียน ไปทำงาน ไปนำเสนองาน
นอกจากนี้การออกแบบยางรองใต้เครื่องก็เรียกได้ว่าไม่เหมือนใคร โดยใช้เป็นแถบยางยาวขนานไปกับแนวยาวของตัวเครื่อง พร้อมกับมีช่องระบายอากาศอยู่เป็นแนวยาวอีก ที่สำคัญยังมีการในส่วนของดีไซน์การออกแบบ HP ENVY 13 เมื่อเปิดฝาจอใช้งานจะมียางรองขอบด้านหลังทำหน้าที่ยกเครื่องให้สูงขึ้นด้วย ที่จัดได้ว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นกว่า Ultrabook รุ่นอื่นๆ ช่วยในการระบายความร้อนและเอียงรับเข้ากับการพิมพ์เป็นอย่างดี
Keyboard / Touchpad
ส่วนคีย์บอร์ดของ HP ENVY 13 นั้นตัวปุ่มเป็นพลาสติกสีทองเข้ากับตัวเครื่อง โดยสกรีนตัวอักษรเป็นสีขาว อีกทั้งได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ให้แต่ละปุ่มมีระยะห่างกัน 1.2 มิลลิเมตรทำให้สามารถพิมพ์ได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับคนที่นิ้วเล็กนิ้วใหญ่สามารถใช้งานได้สะดวกทั้งหมด ในส่วนของไฟ LED Backlit สีขาวก็สามารถใช้งานได้ดีทีเดียว โดยมีระบบการปรับระดับความสว่างอัตโนมัติตามสภาพแสงรอบข้างด้วย ส่วนปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่มุมซ้ายบนโดยมีไฟส่องสว่างขึ้นมาเมื่อใช้งาน ซึ่งข้อดีก็คือมั่นใจได้ว่าจะไม่ไปเผลอกดระหว่างการใช้งานแน่นอน พร้อมมีไฟส่องสว่างให้เห็นสถานะ
ทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ส่วนดีไซน์นั้นก็ใช้เป็นแบบไม่มีปุ่มแยกออกมาเช่นเดียวกับ Ultrabook หลายๆ รุ่น การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี โดยมีการจับความเคลื่อนไหวว่าผู้ใช้กำลังพิมพ์ข้อความอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนไปจากตำแหน่งเก่า ถ้าผู้ใช้เผลอนำมือไปโดนทัชแพดเข้า
Screen / Speaker
หน้าจอบางเฉียบ Micro Edge display ของ HP ENVY 13 มีความละเอียดสูงตามมาตรฐานที่ 1920 x 1080 พิกเซล (Full HD) พาเนล IPS ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพ ส่งผลให้มีสีสันสวยสมจริง คมชัดในทุกมุมมอง ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ค่อนข้างน่าประทับใจ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก เรียกได้ว่ากำลังพอดีทีเดียว และด้วยความที่จอเป็นแบบกระจกที่ให้เรื่องสีสันสดใส แต่ก็ค่อนข้างสะท้อนแสงพอสมควร ส่งผลให้ในการใช้งานไม่ควรหันจอไปทางแหล่งกำเนิดแสงหรือในที่ที่สว่างมากๆ เพราะอาจจะรบกวนการทำงานของเราได้
ด้านของลำโพงนั้นมีอยู่ 4 ตัวด้วยกัน โดยอยู่บริเวณเหนือชุดแป้นคีย์บอร์ด และซ้ายขวาขอบบนของตัวเครื่องด้านล่าง เรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว ส่วนคุณภาพเสียงต้องบอกว่าเป็นของ Bang & Olufsen ที่ไว้ใจได้ คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีเพียงพอแบบสบายๆ แล้ว และดีกว่าโน๊ตบุ๊ค HP รุ่นอื่นๆ พอตัวรวมไปถึงยังมีเทคโนโลยี HP Audio Boost ช่วยเพิ่มเสียงให้ก้องกังวาล เต็มอิ่มกับประสบการณ์ความบันเทิงถึงขีดสุดจากเสียงคมชัด
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง HP ENVY 13 นี้จัดว่าเป็น Ultrabook ที่มีความครบครับระดับนึง แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบาแต่เรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น ก็มีมาให้มากพอทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.1 Type-C จำนวน 2 พอร์ต และ HDMI พร้อมช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร Card Reader จะเป็นมาตรฐาน micro-SD Card ที่สำคัญอีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดคือ HP Fast Charge ที่สามารถชาร์ตแบตถึง 90% ในเวลาเพียง 90 นาที ผ่านทางพอร์ต USB 3.0 และ USB 3.1 Type-C
ขนาดของตัวเครื่องและสายชาร์จ เมื่อเทียบกับขนาดของ Ultrabook หน้าจอ 13 นิ้วทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเปล่านั้น อยู่ที่ 1.29 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์เข้าไปด้วย ก็จะมีหนักไม่เกิน 1.5 กิโลกรัมแน่นอน ก็จัดว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลย แน่นอนว่าตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะใช้งานตามร้านกาแฟ ออฟฟิศ หรือทุกๆ ที่ที่เราต้องการหยิบออกมาใช้งาน สมกับเป็น Ultrabook ในยุคปัจจุบันทีเดียว
Performance / Software
HP ENVY 13 เครื่องรีวิวนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลจาก Intel Core i7-7500U ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.7 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 2.9 GHz นะครับ เป็นซีพียูแบบ 2 Core 4 Threads ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลหนักก็รองรับได้อย่างสบายๆ แม้ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะสูงกว่าพวก Core i7 ตัวซีรีส์ HQ ไม่ได้ แต่เรื่องประหยัดพลังงานนั้นไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
ด้านของการ์ดจอที่ติดตั้งมาให้จะมีสองตัวด้วยกัน คือการ์ดจอออนบอร์ดและการ์ดจอแยกจาก NVIDIA ซึ่งการ์ดจอออนบอร์ดจะเป็น Intel HD Graphic 620 สำหรับประมวลผลทั่วไปเช่นดูหนังหรือฟังเพลง ส่วนการ์ดจอแยกจาก NVIDIA GeForce MX150 เพื่อรองรับการประมวลผลกราฟิกระดับสูงไม่ว่าจะตัดต่อหนังหรือจะเล่นเกมก็ถือว่าตอบสนองการทำงานได้ดีทีเดียว แม้อาจจะไม่แรงมากเทียบเท่าพวก GTX แต่ก็พอเพียงกับการใช้งานเล่นเกมประเภทออนไลน์ได้อยู่
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD แบบ NVMe M.2 ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดไดร์ฟแบบจานหมุนหรือแบบลูกผสมอย่าง SSHD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด โดยสามารถอ่านที่ความเร็วสูงสุดที่ 1610 MB/s และเขียนได้ระดับ 684 MB/s เลยทีเดียว
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield 1 ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับต่ำสุด ภาพก็สวยงามตามท้องเรื่อง ซึ่งดูจากเฟรมเรทเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำไปกว่า 30FPS เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว แม้ว่าต้องยอมว่าภาพอาจจะไม่สวยงานเหมือนพวกการ์ดจอ GTX แต่ก็พอที่จะเล่นแก้ขัดไปได้
อีก 2 เกมออนไลน์ ที่โดยส่วนตัวเล่นเป็นประจำอย่าง Overwatch, DOTA 2 ก็จัดการทดสอบให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ แต่ก็ปรับภาพค่อนข้างต่ำ ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่น แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 50 (แต่ก็มีแอบร่วงบ้าง) สรุปโดยรวมแล้วคือเล่นได้สบายๆ ทำได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งจากความลื่นไหลและหน้าจอที่สวยงามสมจริง เรียกได้ การ์ดจอ MX150 แรงพอๆ กับ GTX 950M ทีเดียว
อย่างไรก็ตามในการทดสอบเล่นเกมนั้นจะสังเกตได้ว่าเมื่ออุณภูมิสูงขึ้นมากกว่า 85 องศาเซลเซียส ตัวชิปประมวลผลจะลดความเร็วลงมา ทำให้การเล่นเกมบนเครื่อง HP ENVY 13 มีเฟรมเรทที่ตกลงไปเยอะทีเดียว ถึงขนาดเฟรมเรทเหลือหลักหน่วย ส่งผลให้กระตุกจนแทบเล่นไม่ได้ ฉะนั้นจะว่าไปแล้ว ถ้าจะเอา HP ENVY 13 มาเล่นเกม คงต้องเล่นในห้องแอร์เย็นๆ พวกช่วยระบายความร้อนด้วยพัดลมอีกทีด้วย อย่างไรก็ตามด้วยความบางของตัวเครื่องมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เล่นเกมหนักๆ แต่แรกอยู่แล้ว
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของ HP ENVY 13 ก็คือมาพร้อมซอฟต์แวร์บันเดิลอย่าง HP Support Assistant โดยเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราดูแลคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โปรแกรมนี้ยังระบุข้อมูลที่สำคัญสำหรับแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นหมายรวมไปถึงการอัพเดทไดร์เวอร์ต่างๆ และ Windows ด้วย จัดได้ว่าดีและใช้งานได้จริง
ปิดท้ายด้วย HP Orbit ที่เป็นซอฟต์แวร์ไวเแชร์ไฟล์กันระหว่าง HP ENVY 13 และสมาร์ทโฟน มือถือ แท็บเล็ต ที่รองรับทั้งในส่วนของ iOS หรือ Android ง่ายๆ เพียงเชื่อมต่ออุปกรณ์ในวง LAN เดียวกัน (Wi-Fi Direct) จากนั้นโหลดแอพพิลเคชั่นลงมือถือ พร้อมกับเชื่อมต่อกันในครั้งแรก เพียงแค่นี้เราก็สามารถโอนไฟล์กันไปมาระหว่าง 2 อุปกรณ์กันได้แล้ว หรือจะเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตหลายๆ เครื่องก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ส่วนไฟล์ได้ทั้งไฟล์ภาพ ไฟล์วีดีโอ หรือข้อมความ อย่างไรก็ตามไฟล์นั้นต้องไม่เกิน 30MB
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ HP ENVY 13 เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับ Ultrabook หลายๆ เครื่อง ตัวแบตเตอรี่มีขนาด 4500 mAh ทำงานต่อเนื่องยาวนานได้ราว 12 – 14 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ (ดูภาพยนตร์และเล่นอินเตอร์เน็ต) และคาดว่าจะทำได้นานยิ่งกว่านั้นปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของแต่ละคน ว่าเปิดโปรแกรมอะไร อย่าง ส่วนช่องระบายความร้อนของ HP ENVY 13 จะอยู่ด้านบนของแท่นเครื่องบริเวณขาพับจอ โดยออกแบบให้ซ่อนตัวเอาไว้ด้านหลังติดกับด้านท้ายของตัวเครื่อง ถึงพับจอก็ไม่เห็นช่องระบายความร้อนเลย
อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 45 – 50 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าเครื่องจะร้อนที่สุดที่ 91 องศาเซลเซียสทีเดียว เมื่อเล่นเกม 3 มิติต่อเนื่อง นับว่าระบบระบายความร้อนของ HP ENVY 13 เครื่องนี้มีอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูงทีเดียว แต่โดยปกติแล้วที่ความร้อนประมาณ 85 องศาเซลเซียสตอนทำงานเต็มที่แล้ว ตัวชิปประมวลผลจะลดความเร็วลงมา เพื่อไม่ให้ความร้อนสูงจนไปเกิน
แต่ที่ 91 องศาที่เราทดสอบนั้นเป็นการบังคับด้วยโปรแกรมอีกทีหนึ่ง อย่างเครื่องนี้จัดการระบบระบายความร้อนออกมาได้ดีพอสมควร เมื่อเทียบกับความบางของตัวเครื่อง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชุดระบายความร้อนจาก HP ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และชิปประมวลผล Intel รุ่นล่าสุดที่มีมีเทคโนโลยีการผลิตที่เล็กลง รวมไปถึงการ์ดจอแยก MX150
Conclusion / Award
เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจจริงๆ สำหรับ Ultrabook รุ่นล่าสุดสุดพรีเมียมจากทาง HP ในรุ่น HP ENVY 13 รุ่นใหม่ปี 2017 ที่ต่อยอดความสำเร็จตระกูล ENVY รุ่นก่อนหน้า ได้เป็นอย่างดี โดยมาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ภาพลักษณ์ วัสดุ งานประกอบ รวมไปถึงประสิทธิภาพและประสบการณ์ใช้งาน
โดยสนนเริ่มต้นที่ 29,990 บาท สำหรับรุ่น Core i3 ความละเอียดหน้าจอ Full HD ส่วนรุ่น Core i7 สเปกจัดเต็มด้วยแรม 8GB SSD 512 ที่สำคัญได้การ์ดจอแยกรุ่นล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX150 ตามเครื่องที่เราได้รีวิวนั้น ก็สนนราคาที่ 47,990 บาท จัดได้ว่ามีราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนักเมื่อเทียบกับสเปกภายในที่ได้
HP ENVY 13 สมกับเป็น Ultrabook ระดับสูง แถมยังมีการรับประกันถึง 2 ปีอีกด้วย ที่สำคัญคือ On Site Service คือมารับมาส่งถึงบ้านเลย อีกทั้ง เอาเป็นว่าใครกำลังมองหา Ultrabook ที่เน้นประสบการณ์ใช้งานที่เหนือระดับกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปในเรื่องของความบางเบา เน้นพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และมีดีไซน์ที่หรูหราน่าใช้งานแล้วล่ะก็ HP ENVY 13 น่าจะตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดีทีเดียว
อย่างไรก็ตามอาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างในเรื่องของอุณหภูมิตัวเครื่องเมื่อทำงานหนักๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงแม้จะมีการ์ดจอแยกที่แรงก็ถ้าความร้อนสูงกว่า 85 องศาเซลเซียส ก็จะโดนลดประสิทธิภาพลงมาอยู่ดี ฉะนั้นถ้าจะใช้งานเล่นเกม 3 มิติหรือประมวลผลงานจริงจัง แนะนำว่าต้องอยู่ในห้องแอร์เพื่อไม่ไห้อุณภูมิสูงจนเกินไปนัก
จุดเด่น
- เป็น Ultrabook หน้าจอ 13.3 นิ้ว ที่มีความบางและเบาแบบสุดๆ
- หน้าจอมีความละเอียดสูง ขอบจอ Micro Edge display ก็บางเฉียบ
- วัสดุแข็งแรงทนทาน ดูสสวยหรู ด้วยอลูมิเนียมทั้งชิ้น
- ดีไซน์เมื่อเปิดฝาใช้งาน จะมียางรองยกตัวเครื่องให้สูงเอียง
- ประสิทธิภาพดีด้วยชิปประมวลผล Intel รุ่นล่าสุด และ SSD ความเร็วสูง
- มีการ์ดจอแยก NVIDIA MX150 ทำให้ทำงานหรือเล่นเกม 3 มิติได้
- พอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน ในระดับ Ultrabook ที่ควรจะเป็น
- มีลำโพง Bang & Olufsen จำนวน 4 ตัว พร้อม HP Audio Boost
- HP Fast Charge ที่สามารถชาร์ตแบตถึง 90% ในเวลาเพียง 90 นาที
- มาพร้อม Windows 10 ลิขสิทธิ์ ใช้งานได้ทันที
- มีซอฟต์แวร์ที่เครื่องที่ดี ใช้งานได้จริง
- ประกันถึง 2 ปี มาพร้อม On-Site Service มาตรฐาน HP
ข้อสังเกตุ
- อุณหภูมิค่อนข้างสูงเวลาทำงานหนักๆ
- แม้มีการ์ดจอแยก แต่ถ้าความร้อนสูงเกินก็จะลดประสิทธิภาพลงมาอยู่ดี
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง HP Envy 13 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ENVY มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน HP ENVY 13 ปี 2017 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์ครุ่นใหม่ ขอบจอก็บางเฉียบ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว โดยมีสีสันอย่าง สีทอง Silk Gold และ สีเงิน Natural Silver ให้เลือกใช้งาน
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ Ultrabook ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบา ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะระบบไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก พกพาสะดวก รวมน้ำหนักแล้วยังไม่ถึง 1.3 กิโลกรัม เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ
Best Technology
สเปกตัวเครื่อง HP ENVY 13 จะมีความใหม่สดจากการที่เลือกใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 7 Kaby Lake แถมยังเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD PCIe ซึ่งทำให้การทำงานโดยรวมมีความล้ำหน้ากว่า Ultrabook ทั่วๆ ไป อีกทั้งในเรื่องของหน้าจอก็แทบไม่มีขอบความละเอียดจอก็มาในระดับที่สูงยังมาเป็นแบบ 3K ที่เป็นพาเนลจอคุณภาพสูงระดับมืออาชีพอย่าง IPS กับความละเอียด 3200 x 1880 พิกเซล จึงทำให้คว้ารางวัล Best Technology ไป
Best Ultrabook
และด้วยข้อดีข้อเด่นทั้งหมดทั้งมวลนี้ HP Envy 13 ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอด Ultrabook ของปี 2017 นี้ ทั้งในเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ประสิทธิภาพ หน้าจอคุณภาพสูง ที่หา Ultrabook เครื่องอื่นๆ มาเทียบได้ยาก ที่สำคัญราคารุ่นเริ่มต้นมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนัก ทำให้ทุกๆ คนสามารถเป็นเจ้าของง่ายขึ้น ประกอบกับคุณสมบัติในการตอบสนองการทำงานที่ครบถ้วน เพราะฉะนั้นคงไม่แปลกอะไรนักที่ HP ENVY 13 จะได้รับ Award ประเภท Best Ultrabook ไป
Specification
สเปกตัวทีมงานได้รับมารีวิวเป็นตัวท็อปราคา 47,990 บาท ซีพียูเป็นตัว Intel Kaby Lake รุ่นล่าสุด ในรุ่น Intel Core i7-7500U ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 2.9 GHz ส่วนการ์ดจอเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX150 (2GB) แรมก็ให้มา 8GB DDR3L เป็นแบบฝังติดบอร์ด ในส่วน SSD ได้อัพเกรดมาใช้แบบ PCIe NVMe ที่ให้ความเร็วสูงกว่า SSD ทั่วไป พร้อมความจุสูงถึง 512GB มาพร้อมกับจอขนาด 13.3 นิ้ว พาเนล IPS ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งถือว่าเป็นความละเอียดสูงที่เหมาะสม แถมตัวคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED Backlit มาให้ด้วย ที่สำคัญยังบางเฉียบและเบาเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น จัดเต็มสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานหนักและยังพกพาสะดวกอีกด้วย
ระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ลิขสิทธิ์ พอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบครัน ประกันแบบ On-Site Service ให้เป็นระยะเวลา 2 ปีด้วยกัน และอีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดคือ HP Fast Charge ที่สามารถชาร์ตแบตถึง 90% ในเวลาเพียง 90 นาที ส่วนอื่นๆ จะเป็น Core i3-7100U/Core i5-7200U มาพร้อมแรม 4GB/8GB และ SSD 256GB/360GB ในราคา 29,990 บาท และ 39,990 บาท
- i3-7100U + HD Graphics 620 + RAM 4GB + SSD 128GB + Windows 10 Home ราคา 29,990 บาท
- i5-7200U + NVIDIA MX150 + RAM 8GB + SSD 360GB + Windows 10 Home ราคา 39,990 บาท
- i7-7500U + NVIDIA MX150 + RAM 8GB + SSD 512GB + Windows 10 Pro ราคา 47,990 บาท
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ HP ENVY 13 ปี 2017 จัดได้ว่าเป็น Ultrabook หน้าจอ 13.3 นิ้ว ที่น่าสนใจอยู่พอสมควร จากการที่มีบางเบาที่สุดของทาง HP ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา ส่วนของบอดี้ จะใช้เป็นอลูมิเนียมคุณภาพสูงเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา รวมไปถึงดูหรูหรามีราคา ที่สำคัญก็คือในส่วนของดีไซน์การเปิดตัวหน้าจอและคีย์บอร์ดที่จะทำมุมอย่างเหมาะสมเวลาเปิด ทำให้เวลาที่ใช้งานนั้นผู้ใช้จะรู้สึกว่าตัวเครื่องมีการระบายอากาศทางด้านล่างของโน๊ตบุ๊คออกไปอย่างรวดเร็วและให้ความรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นเวลาพิมพ์ ส่วนสีสันมีให้เลือกสองสีอย่าง สีทอง Silk Gold และ สีเงิน Natural Silver
ตัวเครื่องมีการออกแบบโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะลาดเอียงเล็กน้อย ตัวเครื่องทั้งหมดใช้เป็นวัสดุอลูมิเนียม ส่งให้เวลาที่เราเอามือมาวางจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่เหนือชั้นกว่าวัสดุทั่วๆ ไป โดยเป็นรอยนิ้วมือได้ยากในระดับนึงฉะนั้นใช้งานได้อย่างสบายใจ เรียกได้ว่าเป็นการออกแบบที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจน ว่านี่คือ Ultrabook ตัวเครื่องระดับบน ที่มีการออกแบบมาเป็นอย่างดีพร้อมใส่ในรายละเอียดอย่างที่สุด
อีกหนึ่งจุดเด่นของ HP ENVY 13 ที่เป็น Ultrabook ระดับสูงก็คือ มีน้ำหนักตัวที่เบามากๆ แถมตัวเครื่องยังบางสุดๆ โดยสามารถถือได้ด้วยมือเดียวอย่างสบายๆ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนความบางมีเพียง 13.9 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าเหมาะกับการพกพามากๆ ทีเดียว สำหรับการใช้งานนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นการไปเรียน ไปทำงาน ไปนำเสนองาน
นอกจากนี้การออกแบบยางรองใต้เครื่องก็เรียกได้ว่าไม่เหมือนใคร โดยใช้เป็นแถบยางยาวขนานไปกับแนวยาวของตัวเครื่อง พร้อมกับมีช่องระบายอากาศอยู่เป็นแนวยาวอีก ที่สำคัญยังมีการในส่วนของดีไซน์การออกแบบ HP ENVY 13 เมื่อเปิดฝาจอใช้งานจะมียางรองขอบด้านหลังทำหน้าที่ยกเครื่องให้สูงขึ้นด้วย ที่จัดได้ว่าเป็นอะไรที่โดดเด่นกว่า Ultrabook รุ่นอื่นๆ ช่วยในการระบายความร้อนและเอียงรับเข้ากับการพิมพ์เป็นอย่างดี
Keyboard / Touchpad
ส่วนคีย์บอร์ดของ HP ENVY 13 นั้นตัวปุ่มเป็นพลาสติกสีทองเข้ากับตัวเครื่อง โดยสกรีนตัวอักษรเป็นสีขาว อีกทั้งได้รับการปรับดีไซน์ใหม่ให้แต่ละปุ่มมีระยะห่างกัน 1.2 มิลลิเมตรทำให้สามารถพิมพ์ได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับคนที่นิ้วเล็กนิ้วใหญ่สามารถใช้งานได้สะดวกทั้งหมด ในส่วนของไฟ LED Backlit สีขาวก็สามารถใช้งานได้ดีทีเดียว โดยมีระบบการปรับระดับความสว่างอัตโนมัติตามสภาพแสงรอบข้างด้วย ส่วนปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่มุมซ้ายบนโดยมีไฟส่องสว่างขึ้นมาเมื่อใช้งาน ซึ่งข้อดีก็คือมั่นใจได้ว่าจะไม่ไปเผลอกดระหว่างการใช้งานแน่นอน พร้อมมีไฟส่องสว่างให้เห็นสถานะ
ทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่อง ส่วนดีไซน์นั้นก็ใช้เป็นแบบไม่มีปุ่มแยกออกมาเช่นเดียวกับ Ultrabook หลายๆ รุ่น การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี โดยมีการจับความเคลื่อนไหวว่าผู้ใช้กำลังพิมพ์ข้อความอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนไปจากตำแหน่งเก่า ถ้าผู้ใช้เผลอนำมือไปโดนทัชแพดเข้า
Screen / Speaker
หน้าจอบางเฉียบ Micro Edge display ของ HP ENVY 13 มีความละเอียดสูงตามมาตรฐานที่ 1920 x 1080 พิกเซล (Full HD) พาเนล IPS ที่มีคุณภาพระดับมืออาชีพ ส่งผลให้มีสีสันสวยสมจริง คมชัดในทุกมุมมอง ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ค่อนข้างน่าประทับใจ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก เรียกได้ว่ากำลังพอดีทีเดียว และด้วยความที่จอเป็นแบบกระจกที่ให้เรื่องสีสันสดใส แต่ก็ค่อนข้างสะท้อนแสงพอสมควร ส่งผลให้ในการใช้งานไม่ควรหันจอไปทางแหล่งกำเนิดแสงหรือในที่ที่สว่างมากๆ เพราะอาจจะรบกวนการทำงานของเราได้
ด้านของลำโพงนั้นมีอยู่ 4 ตัวด้วยกัน โดยอยู่บริเวณเหนือชุดแป้นคีย์บอร์ด และซ้ายขวาขอบบนของตัวเครื่องด้านล่าง เรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว ส่วนคุณภาพเสียงต้องบอกว่าเป็นของ Bang & Olufsen ที่ไว้ใจได้ คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีเพียงพอแบบสบายๆ แล้ว และดีกว่าโน๊ตบุ๊ค HP รุ่นอื่นๆ พอตัวรวมไปถึงยังมีเทคโนโลยี HP Audio Boost ช่วยเพิ่มเสียงให้ก้องกังวาล เต็มอิ่มกับประสบการณ์ความบันเทิงถึงขีดสุดจากเสียงคมชัด
Connector / Thin And Weight
พอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง HP ENVY 13 นี้จัดว่าเป็น Ultrabook ที่มีความครบครับระดับนึง แม้ว่าจะเป็นเครื่องที่มีการออกแบบมาให้เป็นเครื่องที่มีขนาดความบางและน้ำหนักเบาแต่เรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ นั้น ก็มีมาให้มากพอทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.1 Type-C จำนวน 2 พอร์ต และ HDMI พร้อมช่องต่อหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร Card Reader จะเป็นมาตรฐาน micro-SD Card ที่สำคัญอีกหนึ่งฟีเจอร์เด็ดคือ HP Fast Charge ที่สามารถชาร์ตแบตถึง 90% ในเวลาเพียง 90 นาที ผ่านทางพอร์ต USB 3.0 และ USB 3.1 Type-C
ขนาดของตัวเครื่องและสายชาร์จ เมื่อเทียบกับขนาดของ Ultrabook หน้าจอ 13 นิ้วทั่วไปถือได้ว่ามีมิติที่เล็กกว่าพอสมควร ส่วนน้ำหนักตัวเครื่องเปล่านั้น อยู่ที่ 1.29 กิโลกรัม และเมื่อรวมกับตัวอแดปเตอร์เข้าไปด้วย ก็จะมีหนักไม่เกิน 1.5 กิโลกรัมแน่นอน ก็จัดว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลย แน่นอนว่าตอบสนองในเรื่องของการพกพาไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะใช้งานตามร้านกาแฟ ออฟฟิศ หรือทุกๆ ที่ที่เราต้องการหยิบออกมาใช้งาน สมกับเป็น Ultrabook ในยุคปัจจุบันทีเดียว
Performance / Software
HP ENVY 13 เครื่องรีวิวนี้มาพร้อมกับชิปประมวลผลจาก Intel Core i7-7500U ซึ่งเป็นชิปประมวลผลใช้พลังงานไฟต่ำมาก มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.7 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 2.9 GHz นะครับ เป็นซีพียูแบบ 2 Core 4 Threads ที่เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลหนักก็รองรับได้อย่างสบายๆ แม้ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะสูงกว่าพวก Core i7 ตัวซีรีส์ HQ ไม่ได้ แต่เรื่องประหยัดพลังงานนั้นไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
ด้านของการ์ดจอที่ติดตั้งมาให้จะมีสองตัวด้วยกัน คือการ์ดจอออนบอร์ดและการ์ดจอแยกจาก NVIDIA ซึ่งการ์ดจอออนบอร์ดจะเป็น Intel HD Graphic 620 สำหรับประมวลผลทั่วไปเช่นดูหนังหรือฟังเพลง ส่วนการ์ดจอแยกจาก NVIDIA GeForce MX150 เพื่อรองรับการประมวลผลกราฟิกระดับสูงไม่ว่าจะตัดต่อหนังหรือจะเล่นเกมก็ถือว่าตอบสนองการทำงานได้ดีทีเดียว แม้อาจจะไม่แรงมากเทียบเท่าพวก GTX แต่ก็พอเพียงกับการใช้งานเล่นเกมประเภทออนไลน์ได้อยู่
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD แบบ NVMe M.2 ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดไดร์ฟแบบจานหมุนหรือแบบลูกผสมอย่าง SSHD แล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด โดยสามารถอ่านที่ความเร็วสูงสุดที่ 1610 MB/s และเขียนได้ระดับ 684 MB/s เลยทีเดียว
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield 1 ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับต่ำสุด ภาพก็สวยงามตามท้องเรื่อง ซึ่งดูจากเฟรมเรทเฉลี่ยแล้วไม่ต่ำไปกว่า 30FPS เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว แม้ว่าต้องยอมว่าภาพอาจจะไม่สวยงานเหมือนพวกการ์ดจอ GTX แต่ก็พอที่จะเล่นแก้ขัดไปได้
อีก 2 เกมออนไลน์ ที่โดยส่วนตัวเล่นเป็นประจำอย่าง Overwatch, DOTA 2 ก็จัดการทดสอบให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ แต่ก็ปรับภาพค่อนข้างต่ำ ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่น แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 50 (แต่ก็มีแอบร่วงบ้าง) สรุปโดยรวมแล้วคือเล่นได้สบายๆ ทำได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งจากความลื่นไหลและหน้าจอที่สวยงามสมจริง เรียกได้ การ์ดจอ MX150 แรงพอๆ กับ GTX 950M ทีเดียว
อย่างไรก็ตามในการทดสอบเล่นเกมนั้นจะสังเกตได้ว่าเมื่ออุณภูมิสูงขึ้นมากกว่า 85 องศาเซลเซียส ตัวชิปประมวลผลจะลดความเร็วลงมา ทำให้การเล่นเกมบนเครื่อง HP ENVY 13 มีเฟรมเรทที่ตกลงไปเยอะทีเดียว ถึงขนาดเฟรมเรทเหลือหลักหน่วย ส่งผลให้กระตุกจนแทบเล่นไม่ได้ ฉะนั้นจะว่าไปแล้ว ถ้าจะเอา HP ENVY 13 มาเล่นเกม คงต้องเล่นในห้องแอร์เย็นๆ พวกช่วยระบายความร้อนด้วยพัดลมอีกทีด้วย อย่างไรก็ตามด้วยความบางของตัวเครื่องมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เล่นเกมหนักๆ แต่แรกอยู่แล้ว
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของ HP ENVY 13 ก็คือมาพร้อมซอฟต์แวร์บันเดิลอย่าง HP Support Assistant โดยเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราดูแลคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โปรแกรมนี้ยังระบุข้อมูลที่สำคัญสำหรับแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นหมายรวมไปถึงการอัพเดทไดร์เวอร์ต่างๆ และ Windows ด้วย จัดได้ว่าดีและใช้งานได้จริง
ปิดท้ายด้วย HP Orbit ที่เป็นซอฟต์แวร์ไวเแชร์ไฟล์กันระหว่าง HP ENVY 13 และสมาร์ทโฟน มือถือ แท็บเล็ต ที่รองรับทั้งในส่วนของ iOS หรือ Android ง่ายๆ เพียงเชื่อมต่ออุปกรณ์ในวง LAN เดียวกัน (Wi-Fi Direct) จากนั้นโหลดแอพพิลเคชั่นลงมือถือ พร้อมกับเชื่อมต่อกันในครั้งแรก เพียงแค่นี้เราก็สามารถโอนไฟล์กันไปมาระหว่าง 2 อุปกรณ์กันได้แล้ว หรือจะเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตหลายๆ เครื่องก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน ส่วนไฟล์ได้ทั้งไฟล์ภาพ ไฟล์วีดีโอ หรือข้อมความ อย่างไรก็ตามไฟล์นั้นต้องไม่เกิน 30MB
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ของ HP ENVY 13 เป็นแบบฝังไว้ในเครื่องเหมือนกับ Ultrabook หลายๆ เครื่อง ตัวแบตเตอรี่มีขนาด 4500 mAh ทำงานต่อเนื่องยาวนานได้ราว 12 – 14 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ (ดูภาพยนตร์และเล่นอินเตอร์เน็ต) และคาดว่าจะทำได้นานยิ่งกว่านั้นปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของแต่ละคน ว่าเปิดโปรแกรมอะไร อย่าง ส่วนช่องระบายความร้อนของ HP ENVY 13 จะอยู่ด้านบนของแท่นเครื่องบริเวณขาพับจอ โดยออกแบบให้ซ่อนตัวเอาไว้ด้านหลังติดกับด้านท้ายของตัวเครื่อง ถึงพับจอก็ไม่เห็นช่องระบายความร้อนเลย
อุณหภูมิปกติของเครื่องจะอยู่ที่ 45 – 50 องศาเซลเซียส แต่พอรีดประสิทธิภาพเต็มที่จะเห็นว่าเครื่องจะร้อนที่สุดที่ 91 องศาเซลเซียสทีเดียว เมื่อเล่นเกม 3 มิติต่อเนื่อง นับว่าระบบระบายความร้อนของ HP ENVY 13 เครื่องนี้มีอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูงทีเดียว แต่โดยปกติแล้วที่ความร้อนประมาณ 85 องศาเซลเซียสตอนทำงานเต็มที่แล้ว ตัวชิปประมวลผลจะลดความเร็วลงมา เพื่อไม่ให้ความร้อนสูงจนไปเกิน
แต่ที่ 91 องศาที่เราทดสอบนั้นเป็นการบังคับด้วยโปรแกรมอีกทีหนึ่ง อย่างเครื่องนี้จัดการระบบระบายความร้อนออกมาได้ดีพอสมควร เมื่อเทียบกับความบางของตัวเครื่อง ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเพราะชุดระบายความร้อนจาก HP ที่เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ และชิปประมวลผล Intel รุ่นล่าสุดที่มีมีเทคโนโลยีการผลิตที่เล็กลง รวมไปถึงการ์ดจอแยก MX150
Conclusion / Award
เรียกได้ว่ามีความน่าสนใจจริงๆ สำหรับ Ultrabook รุ่นล่าสุดสุดพรีเมียมจากทาง HP ในรุ่น HP ENVY 13 รุ่นใหม่ปี 2017 ที่ต่อยอดความสำเร็จตระกูล ENVY รุ่นก่อนหน้า ได้เป็นอย่างดี โดยมาพร้อมความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ภาพลักษณ์ วัสดุ งานประกอบ รวมไปถึงประสิทธิภาพและประสบการณ์ใช้งาน
โดยสนนเริ่มต้นที่ 29,990 บาท สำหรับรุ่น Core i3 ความละเอียดหน้าจอ Full HD ส่วนรุ่น Core i7 สเปกจัดเต็มด้วยแรม 8GB SSD 512 ที่สำคัญได้การ์ดจอแยกรุ่นล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX150 ตามเครื่องที่เราได้รีวิวนั้น ก็สนนราคาที่ 47,990 บาท จัดได้ว่ามีราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนักเมื่อเทียบกับสเปกภายในที่ได้
HP ENVY 13 สมกับเป็น Ultrabook ระดับสูง แถมยังมีการรับประกันถึง 2 ปีอีกด้วย ที่สำคัญคือ On Site Service คือมารับมาส่งถึงบ้านเลย อีกทั้ง เอาเป็นว่าใครกำลังมองหา Ultrabook ที่เน้นประสบการณ์ใช้งานที่เหนือระดับกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปในเรื่องของความบางเบา เน้นพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และมีดีไซน์ที่หรูหราน่าใช้งานแล้วล่ะก็ HP ENVY 13 น่าจะตอบสนองความต้องการได้เป็นอย่างดีทีเดียว
อย่างไรก็ตามอาจจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างในเรื่องของอุณหภูมิตัวเครื่องเมื่อทำงานหนักๆ อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงแม้จะมีการ์ดจอแยกที่แรงก็ถ้าความร้อนสูงกว่า 85 องศาเซลเซียส ก็จะโดนลดประสิทธิภาพลงมาอยู่ดี ฉะนั้นถ้าจะใช้งานเล่นเกม 3 มิติหรือประมวลผลงานจริงจัง แนะนำว่าต้องอยู่ในห้องแอร์เพื่อไม่ไห้อุณภูมิสูงจนเกินไปนัก
จุดเด่น
- เป็น Ultrabook หน้าจอ 13.3 นิ้ว ที่มีความบางและเบาแบบสุดๆ
- หน้าจอมีความละเอียดสูง ขอบจอ Micro Edge display ก็บางเฉียบ
- วัสดุแข็งแรงทนทาน ดูสสวยหรู ด้วยอลูมิเนียมทั้งชิ้น
- ดีไซน์เมื่อเปิดฝาใช้งาน จะมียางรองยกตัวเครื่องให้สูงเอียง
- ประสิทธิภาพดีด้วยชิปประมวลผล Intel รุ่นล่าสุด และ SSD ความเร็วสูง
- มีการ์ดจอแยก NVIDIA MX150 ทำให้ทำงานหรือเล่นเกม 3 มิติได้
- พอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน ในระดับ Ultrabook ที่ควรจะเป็น
- มีลำโพง Bang & Olufsen จำนวน 4 ตัว พร้อม HP Audio Boost
- HP Fast Charge ที่สามารถชาร์ตแบตถึง 90% ในเวลาเพียง 90 นาที
- มาพร้อม Windows 10 ลิขสิทธิ์ ใช้งานได้ทันที
- มีซอฟต์แวร์ที่เครื่องที่ดี ใช้งานได้จริง
- ประกันถึง 2 ปี มาพร้อม On-Site Service มาตรฐาน HP
ข้อสังเกตุ
- อุณหภูมิค่อนข้างสูงเวลาทำงานหนักๆ
- แม้มีการ์ดจอแยก แต่ถ้าความร้อนสูงเกินก็จะลดประสิทธิภาพลงมาอยู่ดี
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 13.3 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง HP Envy 13 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ENVY มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน HP ENVY 13 ปี 2017 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์ครุ่นใหม่ ขอบจอก็บางเฉียบ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว โดยมีสีสันอย่าง สีทอง Silk Gold และ สีเงิน Natural Silver ให้เลือกใช้งาน
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ Ultrabook ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบา ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะระบบไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก พกพาสะดวก รวมน้ำหนักแล้วยังไม่ถึง 1.3 กิโลกรัม เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ
Best Technology
สเปกตัวเครื่อง HP ENVY 13 จะมีความใหม่สดจากการที่เลือกใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 7 Kaby Lake แถมยังเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD PCIe ซึ่งทำให้การทำงานโดยรวมมีความล้ำหน้ากว่า Ultrabook ทั่วๆ ไป อีกทั้งในเรื่องของหน้าจอก็แทบไม่มีขอบความละเอียดจอก็มาในระดับที่สูงยังมาเป็นแบบ 3K ที่เป็นพาเนลจอคุณภาพสูงระดับมืออาชีพอย่าง IPS กับความละเอียด 3200 x 1880 พิกเซล จึงทำให้คว้ารางวัล Best Technology ไป
Best Ultrabook
และด้วยข้อดีข้อเด่นทั้งหมดทั้งมวลนี้ HP Envy 13 ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสุดยอด Ultrabook ของปี 2017 นี้ ทั้งในเรื่องของดีไซน์การออกแบบ ประสิทธิภาพ หน้าจอคุณภาพสูง ที่หา Ultrabook เครื่องอื่นๆ มาเทียบได้ยาก ที่สำคัญราคารุ่นเริ่มต้นมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนัก ทำให้ทุกๆ คนสามารถเป็นเจ้าของง่ายขึ้น ประกอบกับคุณสมบัติในการตอบสนองการทำงานที่ครบถ้วน เพราะฉะนั้นคงไม่แปลกอะไรนักที่ HP ENVY 13 จะได้รับ Award ประเภท Best Ultrabook ไป