หลังจากที่ AMD ได้ทำการเปิดตัวน้องเล็ก RYZEN 3 ออกมาอย่างเป็นทางการ และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ทำการเปิดตัวพี่ใหญ่ RYZEN THREADRIPPER หน่วยประมวลผลสุดแรงคอร์เยอะเทรดเยอะ เหมาะสำหรับผู้ใช้งานด้าน Work Station หรือผู้ที่ต้องการคอมพิวเตอร์ในระดับ Extreme ซึ่ง RYZEN Threadripper ได้เปิดตัวออกมาเพื่อชนกับ Intel Core i9 X Series โดยเฉพาะ แต่สำหรับประสิทธิภาพของ RYZEN Threadripper จะเป็นอย่างไร คุ้มค่าแค่ไหน ติดตามชมได้ในบทความนี้
สำหรับจุดเด่นแรกที่น่าประทับใจของ RYZEN Threadripper ก็คือการออกแบบ Package ที่แปลกตาไม่เหมือนใคร จากปกติ CPU มักออกแบบมาเป็นกล่องสี่เหลี่ยมธรรมดา แต่ว่า Threadripper ออกแบบ Package ให้เป็นเป็น 3 ชั้น โดยชั้นแรกคือโฟมกันกะแทกแบบหนาห่อหุ่มภายนอกไว้ทั้งหมด เว้นส่วนช่องด้านหน้าและด้านหลังเพื่อโชว์โลโก้และลวดลายกราฟฟิกที่มองทะลุเห็น CPU ที่อยู่ด้านใน ส่วนรอบ ๆ มีแถบกระดาษรัดไว้ ซึ่งต้องฉีกกระดาษให้ขาดออกจากกันก่อนเพื่อให้สามารถเปิด Package ออกมาได้
เมื่อเปิด Package ชั้นแรกออกมาจะพบกับกล่องพลาสติกชั้นที่ 2 และบันเดิ้ลที่แถมมาได้แก่ ซองกระดาษบรรจุสติ๊กเกอร์ และคู่มือ ประแจทอร์คสำหรับติดตั้ง CPU และขายึด Water Cooling ซึ่งกล่องพลาสติกที่ภายในบรรจุ CPU นั้นค่อนข้างแน่นหนา โดยสามารถเปิดได้จากทางด้านท้ายเพียงแค่หมุนฝาล๊อกทวนเข็มนาฬิกาและดึงฝาออกมา ก็จะเจอกับ CPU ที่ถูกบรรจุอยู่ในเคสชั้นที่ 3
เคสชั้นที่ 3 จะมี CPU บรรจุอยู่ภายใน เว้นช่องให้เห็น CPU ที่อยู่ภายในอย่างชัดเจน ซึ่งได้ถูกล๊อกไว้ด้วยขาล๊อกเหล็กอย่างแน่นหนา โดยต้องดึงเหล็กตัวนี้ออกก่อน หลังจากนั้นค่อย ๆ งัดฝาเคสขึ้นจากทางด้านขอบ ก็จะสามารถเปิดออกมาได้ ส่วนตัว CPU ได้ถูกติดตั้งมาในกรอบที่ออกแบบมาให้จับถือได้อย่างสะดวก และเมื่อทำการติดตั้งก็ติดตั้งลงไปทั้งกรอบนี้ได้เลย ถือว่าเป็น CPU ที่ออกแบบการติดตั้งมาให้ สะดวก ง่าย และปลอดภัย ในแบบที่ไม่มีใน CPU รุ่นไหน
ส่วนการติดตั้งลงบนเมนบอร์ดนั้น ต้องใช้ประแจทอร์คที่แถมมาไขน๊อตดาว 6 แฉก เพื่อเปิดตัวล๊อก Socket โดยจะมีหมายเลขระบุน๊อตที่ต้องไขไปตามลำดับ เมื่อเปิดออกมาได้แล้ว ก็สามารถทำการติดตั้ง CPU ได้ทันที เพียงแค่นำ CPU ที่ยังติดอยู่ในกรอบสีส้มใส่แบบสไลด์เข้าไปที่ตัวล๊อก Socket จากน้นก็ปิดและไขน๊อตกลับเหมือนเดิม
หลังจากนั้นก็ทำการประกอบชุด Water Cooling ของ Thermaltake ลงไป โดยใช้ขายึดปั้มที่แถมมากับ CPU แต่ดูเหมือนว่าหน้ากระดองของ CPU จะใหญ่เกินตัวหน้าสัมผัสปั้มน้ำไปมากเลยทีเดียว
สำหรับสเปคที่ใช้ในการทดสอบครั้งนี้ได้แก่
- CPU RYZEN Threadripper 1950X
- M/B ASUS ROG ZENITH EXTREME X399
- RAM G.Skill Trident Z RGB Bus 3200 DDR 4 (quad channel)
- GPU MSI GTX 1080 Gaming X
- SSD M.2 Hyper X Predator 480GB
- PSU Thermaltake RGB Plus 1250W
สำหรับ Threadripper ได้ถูกเปิดตัวออกมา 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ 1900X, 1920X และ 1950X ซึ่งราคาเปิดตัวในรุ่นท๊อปอยู่ที่ $999 เท่ากับราคาเปิดตัวของ Intel i9 7900X แน่นอนว่า RYZEN รุ่นนี้ถูกตั้งเป้าไว้เทียบกับ i9 โดยเฉพาะ ถือว่าเป็นมวยพิกัดราคาเดียวกันที่ดูแล้วค่อนข้างจะสู้กันได้อย่างสูสี
ส่วนผลการ Benchmark ประสิทธิภาพ RYZEN 1950X -VS- i9 7900X ที่ทาง AMD ได้ทำการเปิดเผยออกมาในรูปแบบกราฟแท่งนั้น RYZEN ค่อนข้างที่จะมีแต้มต่ออยู่เยอะเลยทีเดียวจากการทดสอบหลาย ๆ Benchmark
สเปคจากโปรแกรม CPU-Z กับ CPU RYZEN Threadripper 1950X จะมีความเร็ว Base Clock 3.4 GHz และ Boost Clock 4.0 GHz และมีคอร์ 16 Core/ 32 Thread ส่วนของ Chache L3 มีขนาดที่มากถึง 32MB ใช้พลังงาน TPD สูงสุดอยู่ที่ 180 W ส่วนแรมที่ใช้เป็นแบบ Quad Channel ช่วงทำให้ CPU สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
สำหรับการ Benchmark กับโปรแกรม CPUZ เทียบกับ CPU i7 7700K โดยมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า i7 7700K ถึง 230% ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพที่สูงมาก ๆ สำหรับ RYZEN Threadripper ในส่วนประสิทธิภาพต่อ Thread มีคะแนนต่างกันเพียง 2%
ถัดมากับการทดสอบประสิทธิภาพของ RYZEN Threadripper กับโปรแกรม SuperPI กับเวลาที่ทำได้ถือว่าเร็วมากๆ
การทดสอบประสิทธิภาพ RYZEN Threadripper กับโปรแกรม Cinebench R15 ซึ่งประสิทธิภาพที่ทำได้ถือว่ายอดเยี่ยม โดยสามารถทำคะแนนในการเรนเดอร์ภาพได้เหนือกว่า Intel Core i9 7900X อยู่ประมาณ 900 คะแนน ซึ่งเป็นผลการทดสอบที่แตกต่างอย่างชัดเจน
ถัดมากับการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark FireStrike ครั้งนี้ประสิทธิภาพของ RYZEN Threadripper สามารถทำได้เหนือกว่า Intel Core i9 7900X แต่ดูแล้วคะแนนค่อนข้างไกล้เคียงเป็นอย่างมากเมื่อทำการทดสอบการเรนเดอร์ภาพกราฟฟิก
ส่วนการทดสอบกับ DirectX 12 ในการทดสอบ 3D Mark Time SPY นั้น RYZEN Threadripper อาจจะตอบโจทย์ได้ไม่ดีนัก ซึ่งคะแนนออกมาค่อนข้างต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด และดูเหมือนว่าจะเป็นเหมือนกับ CPU AMD อีกหลาย ๆ รุ่น ที่มีคพแนนน้อยกว่า Intel ในการทดสอบ Direct X 12 ทำให้คะแนนออกมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งต่อรอการอัพเดตต่อไปในอนาคต
การทดสอบประสิทธิภาพในการเล่นเกมนั้นได้ทำการทดสอบกับ CPU RYZEN Threadripper และการ์ดจอ MSI GTX 1080 Gaming X ในเกม PUBG บนกราฟฟิกระดับสูงที่สุด ซึ่งสามารถทำเฟรมเรทได้ประมาณ 65-75 FPS กับการทำงานของ CPU ที่ 0%-30%. ในแต่ละคอร์ และเมื่อทดสอบในระดับ 4K เฟรมเรทลดมาเหลือเพียง 20-30 FPS และ การทำงานของ CPU ลดเหลือเพียงที่ 0%-20% เฉลี่ยอยู่ที่ 8% เท่านั้น
เกม Rise Of Tomb Rider บนกราฟฟิกระดับสูงที่สุด ซึ่งสามารถทำเฟรมเรทได้ประมาณ 90-120 FPS กับการทำงานของ CPU ที่ 5%-30% และทำงานทุกเทรด แต่เมื่อปรับความละเอียดในระดับ 4K เฟรมเรทลดมาเหลือเพียง 40-50 FPS และ การทำงานของ CPU ลดเหลือเพียงที่ 3%-10%
และการทดสอบกับเกม The Witcher III นั้นให้ผลที่คล้ายกับ 2 เกมที่ได้ทำการทดสอบมาโดยทำเฟรมเรทในระดับ 4K คุณภาพกราฟฟิกสูดสุดได้เฟรทเรท 30-40 FPS และความละเอียดระดับ Full HD ทำเฟรมเรทได้ 60-70 FPS โดยรวมแล้วกับการทดสอบเล่นเกมถือว่าสามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
ส่วนการทดสอบอุณหภูมิสูงสุดของ CPU RYZEN Threadripper กับโปรแกรม Furmark และวัดอุณหภูมิจากโปรแกรม HWMonitor ซึ่งอุณหภูมิสูงสุดถึง 88-90 องศาเซลเซียส ซึ่งถือค่อนข้างร้อน ถึงแม้ว่าจะใช้ร่วมกับ Water cooling ก็ตาม ส่วหนึ่งเองมาจากหน้าสัมผัสของ CPU มีขนาดที่ใหญ่กว่าซิงก์ระบายความร้อน ทำให้การระบายความร้อนจากกระดอง CPU ทำได้ไม่ทั่วถึงมากนัก และอาจจะต้องปรับความเร็วพัดลมแบบแมนนวลเพื่อการระบายความร้อนที่ดีขึ้น
โดยรวมแล้วประสิทธิภาพของ RYZEN Threadripper ตัวนี้ มีประสิทธิภาพการประมวลผลที่สูงมาก ๆ โดยเน้น Thread ที่มาถึง 32 Thread ทำให้การประมวลผลเป็นไปอย่างรวดเร็ว เหมาะกับการทำงานด้าน WorkStation ที่เน้นประสิทธิภาพการประมวลผลของ CPU อีกทั้งราคาค่าตัวของมันเพียง 40,900 บาท เมื่อลองพิจารณาถึงประสิทธิภาพต่อราคา แล้วลองนำมาเทียบกับ Intel i9 7900X ที่มีราคาเท่ากันแล้ว ถือว่า RYZEN Threadripper 1950X เป็น CPU ที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก ใครที่คิดจะซื้อไปทำงาน ไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอน
ข้อดี
- ราคาต่อประสิทธิภาพ RYZEN Threadripper ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ เมื่อเทียบกับ intel core i9
- ประสิทธิภาพสูงมากในการประมวลผล เหมาะสำหรับการทำงานด้าน Workstation
ข้อสังเกต
- Driver โปรแกรมต่าง ๆ และ Bios ยังไม่สนับสนุนมากพอ ยังคงต้องรออีกสักระยะ