สำหรับโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น Ultrabook หรือเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค หลายคนจะคุ้นเคยหรือเคยได้ยินว่าโน๊ตบุ๊คของตัวเองมีฟังก์ชัน USB Charger ในตัว ซึ่งบางคนอาจจะสงสัยว่าเอ้ยมันคืออะไรอ่ะ แล้วมันทำงานยังไง ช่วยชาร์จไฟให้มือถือได้ไวจริงรึเปล่า และในบทความนี้เองเราจะมาดูกันดีกว่าครับว่าพอร์ต USB Charger นี้มันต่างกับพอร์ด USB ธรรมดาๆ ทั่วไปยังไงเปิด-ปิด ยังไงไปดูกันได้เลยครับ
USB Charger พอร์ต USB ที่เปลี่ยนโน๊ตบุ๊คให้เป็น Power Bank ได้
ใช่แล้วละครับเจ้า USB Charging นั้นเป็นพอร์ตที่สามารถชาร์จไฟให้กับอุปกรณ์พกพา และ Gadget ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมใดๆ ช่วย (ยกเว้นสายชาร์จ) ซึ่งเรามาดูประวัติของมันกันก่อนสักเล็กน้อย โดยเจ้า USB Charging ถูกกำหนดให้มีระดับแรงดันไฟอยู่ที่ 5V และมีกระแสสูงถึง 5A นั่นเองครับ ซึ่งในขณะนั้นดูเหมือนว่ากระแสไฟ 5A นั้นเยอะเกินความจำเป็นไปมาก
ทางทีมพัฒนา USB จึงกำหนดมาตราฐานกลางให้กับ USB Charger เสียใหม่ในรุ่นปรับปรุง Revision 1.2 ให้มีแรงดัน 5V และมีกระแสสูงสุดที่ 1.5A นั่นเองครับ โดยวิธีสังเกตง่ายๆ ว่า USB พอร์ตไหนเป็น USB Charging ก็สังเกตได้จาก สัญลักษณ์รูปสายฟ้าหรือรูปแบตเตอรรี่หรือรูปเครื่องหมายบวก บริเวณพอร์ต USB นั่นเอง (ดังภาพด้านล่าง)
การใช้งานของพอร์ต USB Charger
สำหรับพอร์ต USB Charger นี้จะทำงานเหมือนพาวเวอร์แบงค์ทั่วไปเลย ไม่ว่าโน๊ตบุ๊คจะปิดเครื่องอยู่ก็สามารถชาร์จมือถือได้ (ในบางรุ่นจะทำงานเฉพาะเมื่อเสียบปลั๊กเท่านั้น) โดยการทำงานนี้เพื่อนๆ สามารถเปิด-ปิดได้หากไม่จำเป็นต้องใช้ในโปรแกรมของแต่ละยี่ห้อที่ให้มา ยกตัวอย่างเช่นของ ASUS จะเป็นโปรแกรม ASUS USB Charger +, ทาง Acer จะเป็น Acer Quick Access เป็นต้น
ความแตกต่างระหว่างชาร์จ USB ปกติกับ USB Charger ต่างกันอย่างไร
สำหรับหลายๆ ท่านที่กลัวว่า USB Charging จะจ่ายกระแสไฟ (ค่า A หรือ mAh) เกินกว่าที่สมาร์ทโฟนของเราต้องการแล้วมันจะมีปัญหาไหม (เช่นเครื่องสมาร์ทโฟนโดยทั่วไปจะใช้ 5V 1A) ขอตอบเลยว่าไม่มีปัญหา เพราะตัวโทรศัพท์มือส่วนใหญ่จะมีระบบป้องกันการรับกำลังไฟเกินในตัวอยู่แล้วจึงไม่ทำให้ตัวเครื่อง และแบตเตอรี่มีปัญหานั่นเองครับ
แต่ถ้าท่านใดนำไปชาร์จกับแท็บเล็ตอย่าง iPad ที่ต้องการกำลังไฟ 5V 2A นั้นก็อาจชาร์จได้ช้าสักเล็กน้อยนะครับ แต่ก็ยังดีกว่านำไปเสียบชาร์จกับ พอร์ต USB ปกติที่มีกำลังไฟสูงสุดอยู่ที่ 900mA ใน USB 3.0 ธรรมดา และ 500mA ใน USB 2.0 ธรรมดานั่นเอง แถมยังช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องพกที่ชาร์จอันโตไปให้เมื่อยตุ้มอีกด้วยละครับ (ด้านล่างจะเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง การที่ได้เสียบชาร์จเลย > การเสียบชาร์จผ่าน USB ธรรมดา > การเสียบชาร์จผ่าน USB Charging ครับ)
เป็นอย่างไรกันบ้างละครับ เพื่อนๆ คงพอจะเข้าใจแล้วละครับว่า USB Charging คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร ซึ่งสำหรับใครก่อนหน้านี้ที่เสียบอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านพอร์ต USB ที่เป็น Charger ตลอดเวลาคงจะหายสงสัยกันแล้วใช่ไหมว่า ทำไมเมาส์หรือคีย์บอร์ดยังไฟติดอยู่ ทั้งๆ ที่ปิดเครื่องไปแล้ว ไฟค้างรึเปล่าหรือคิดว่าเครื่องเสีย ซึ่งทางทีมงานขอแนะนำว่าหากไม่ได้ใช้ฟังก์ชั่นนี้แนะนำว่าอย่าลืมไปปิดด้วยแล้วกัน จะได้ไม่เปลืองแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คนั่นเองครับ