การสร้างภาพเสมือนจริงนั้นเริ่มเข้ามามีบทบาทกับการใช้งานในปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ อย่างไรก็ตามแต่แล้วที่ผ่านมานั้นเราจะเห็นได้ว่าอุปกรณ์สำหรับสร้างความเสมือนจริงนั้นส่วนใหญ่จะออกมาในรูปแบบของอุปกรณ์สำหรับสวมศรีษะที่ใช้วิธีการควบคุมผ่านในส่วนของทั้งศรีษะเองและมือของเรา ทว่าในงาน CES 2017 นั้นมีผลิตภัณฑ์จากบริษัท Cerevo ที่ทำให้ความรู้สึกเดิมๆ ของเราในโลกเสมือนนั้นเปลี่ยนไปอย่างน่าสนใจกับการเปิดตัว “Taclim VR” ร้องเท้าสำหรับการใช้งานในโลกเสมือนจริงออกมาครับ
“Taclim VR” นั้นจะใช้วิธีการเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อตั้งค่าความเสมือนจริงได้ทั้งกับเครื่องคอมพิวเตอร์ PC และสมาร์ทโฟนผ่านทางการเชื่อมต่อแบบ Bluetooth หรือ Sub-GHz wireless ซึ่งในที่นี้นั้นคุณ Paul Miller ผู้ทดสอบได้ทำการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานด้วย Gear VR ทั้งนี้ตัว “Taclim VR” มีสเปคคร่าวๆ คือมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหวโดยรวมแล้วสามารถแยกการเคลื่อนไหวได้ 9 ทิศทาง พร้อมด้วย accelerometer, gyroscope และ geomagnetism
ในการทดสอบนั้นคุณ Paul ไม่สามารถที่จะบอกอะไรได้มากมายครับเนื่องจากว่าตัวแอปพลิเคชันที่เอาถูกนำมาใช้สาธิตในงาน CES 2017 นี้นั้นค่อนข้างที่จะเรียบง่ายเอามากๆ เพราะมันแค่แสดงความเสมือนจริงในการเตะเท่านั้นเลยไม่มีอะไรเลยนอกจากที่จะเห็นการเตะเพียงอย่างเดียว จุดที่น่าสนใจของ “Taclim VR” นั้นอยู่ที่ความสามารถในการตอบสนองต่อการใช้งาน(tactile feedback) ที่มันสามารถทำได่ดีมากๆ อย่างเช่นในการเดินนั้นคุณจะรู้สึกได้ถึงแรงตอบรับที่สมจริงรวมไปถึงการสลับเท้านั้นตัวตอบรับก็สามารถที่จะทำได้ถูกต้อง
จากการทดลองเล่นอยู่สักพักใหญ่ๆ นั้นคุณ Paul ได้บอกเอาไว้ว่า “Taclim VR” ถือเป็นแนวคิดในการสร้างความเสมือนจริงที่แปลกให่และน่าสนใจเป็นอย่างมากแต่จุดที่แย่เลยก็คือแอปพลิเคชันที่รองรับนั้นยังแทบจะไม่มีออกมาและด้วยราคาที่ถูกตั้งเอาไว้ว่าจะสูงกว่า $1,000 หรือประมาณ 36,000 บสมนั้นดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเป็นราคาที่น่าเหมาะสมเท่าไรกับการซื้อมาเพื่อใช้งานในตอนนี้ครับ
หมายเหตุ – อย่างไรก็ตามราคาดังกล่าวของ “Taclim VR” นั้นคุณจะได้รับอุปกรณ์อื่นๆ ด้วยอย่างเช่นคอนโทรลเลอร์สำหรับมือ ทว่าก็อย่างที่บอกไปครับว่าตัวหลักของชุด “Taclim VR” นั้นอยู่ที่รองเท้าสร้างความเสมือนจริงที่มันยังไม่ค่อยจะมีการรองรับจากผู้ผลิตรายอื่นมากเท่าไรนัก ดังนั้นแล้วคงต้องให้เวลาสักพักหล่ะครับ
ที่มา : theverge