เคยสังเกตกันไหมครับว่าสมาร์ทโฟนที่เน้นเรื่องความหรูหราเป็นจุดเด่น(เช่นการใช้วัสดุเป็นทองแท้เป็นต้น) ส่วนใหญ่แล้วสเปคในส่วนอื่นๆ นอกเหนือไปจากด้านการดีไซน์ตัวเครื่องนั้นจะมาแบบขาดๆ เกินๆ หรือบางทีประสิทธิภาพก็ไม่ได้ดูเด่นไปกว่าเครื่องรุ่นธรรมดาเท่าไรนัก(แต่ราคาต่างกันราวกับฟ้าและเหว) อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั่นไม่ใช่เรื่องที่เกิดกับสมาร์ทโฟนหรูอย่าง “Gionee M2017” ที่พึ่งจะเปิดตัวออกมาได้ไม่นานมานี้ ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหล่ะครับว่าความหรูหราและสเปคที่ไม่ได้ขอไปทีของ M2017 นั้นแลกมาด้วยเงินไม่ถึง $1,000 หรือประมาณ 35,800 บาทเท่านั้นครับ
ในเรื่องของดีไซน์นั้นเรียกได้ว่า M2017 นั้นเป็นน้อง Vertu ได้อย่างสบายๆ เลยหล่ะครับ ทว่าในส่วนของสเปคนี่สิครับที่ไม่ทำให้สาวกสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ต้องน้อยใจเลยเนื่องจากว่า M2017 นั้นมาพร้อมกับชิปเซ็ท Qualcomm Snapdragon 653 พร้อมด้วยหน่วยความจำ(RAM) สูงถึง 6 GB หน้าจอที่ใช้นั้นก็เป็นหน้าจอแบบโค้ง 2 ด้านเหมือนกับ Samsung Galaxy S7 Edge แต่มีขนาดใหญ่กว่าคืออยู่ที่ 5.7 นิ้ว ที่เด็ดสุดและน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ คนก็คือแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงถึง 7,000 mAh ครับ(เป็นการใช้แบตเตอรี่ความจุ 3,500 mAh จำนวน 2 ก้อน)
ตัวเครื่องนั้นมีขนาดอยู่ที่ 155.2 mm x 77.6 mm x 10.78 mm ซึ่งหากดูแล้วนั้น M2017 จะมีความหนาพอสมควรซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมันมาพร้อมกับแบตเตอรี่จำนวน 2 ก้อนทำให้อีกจุดที่น่าจะเป็นข้อเสียของ M2017 นี้ก็คือน้ำหนักที่มากถึง 238 g อย่างไรก็ตามแต่ M2017 ยังมีข้อดีตรงที่มันสามารถที่จะเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลแบบ microSD card ได้อีก 128 GB ซึ่งความสามารถในการเพิ่มแหล่งเก็บข้อมูลนี้นั้นมักจะหาไม่ค่อยได้เท่าไรกับสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับความหรูหราครับ
อีกจุดหนึ่งที่น่าเสียดายนั่นก็คือการใช้พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB Type-C ซึ่งรองรับมาตรฐาน USB 2.0 เท่านั้นดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกเพราะในสมาร์ทโฟนระดับเรือธงหรือระดับกลางบางรุ่นทั่วไปก็มาพร้อมกับ USB Type-C ที่เป็นมาตรฐาน USB 3.0 หรือ 3.1 ที่มีความเร็วมากกว่าแล้ว ทางด้านซอฟต์แวร์นั้น M2017 จะมาพร้อมกับ Android 6.0 ที่ครอบทับด้วย “Amigo UI version 3.5″ ซึ่งเป็น UI ที่ทาง Gionee พัฒนาขึ้นมาเอง ทั้งนี้ M2017 นั้นเริ่มวางจำหน่ายแล้วแต่ชาวไทยอย่างเราๆ ท่านๆ นั้นคงต้องใช้แรงในการตามหาหน่อยนะครับถ้าอยากจะได้จริงๆ(แถมราคานั้นน่าจะมากกว่าที่วางจำหน่ายในจีนด้วยหล่ะครับ)
ที่มา : theverge