Rogue One: A Star Wars Story ก็เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปี 2016 ที่เล่าเรื่องราวแยกมาจากจักรวาล Star Wars หลักโดยจะเป็นเรื่องราวของกลุ่มกบฏกลุ่มหนึ่งได้ชิงแบบแปลนดาวมรณะ Death Star ซึ่งความน่าสนใจก็คือมันเป็นภาคกึ่งกลางของ Episode 3 และ Episode 4 ด้วยแต่ทว่าความน่าสนใจของหนังเรื่องนี้มันยังมีมากกว่านั้นครับ
เมื่อพูดถึงเกริ่นกันถึงขนาดนี้จึงได้มีการรวบรวม 10 อย่างสุดเด็ดที่อยู่ใน Rogue One: A Star Wars Story ที่น่าสนใจทำให้หนังดูมีอะไรมากขึ้นมาให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกันและในบทความนี้ต้องขอบอกเลยว่ามีสปอยล์เปิดเผยเนื้อหาในหนังค่อนข้างเยอะซึ่งใครที่ยังไม่ได้ดูและไม่อยากโดนสปอยล์ขอแนะนำให้ไปดูก่อนหรือใครที่ดูมาแล้วก็สามารถอ่านเพิ่มความฟินได้เช่นกัน
1.โทนหนังที่แตกต่าง
Rogue One: A Star Wars Story จะเป็นเรื่องของฝ่ายกบฏลอบเข้าไปขโมยแบบแปลน Death Star ของฝ่ายจักรวรรดิ์ซึ่งก็แน่นอนว่ามันต้องเต็มไปด้วยการต่อสู้ด้วยทหาร ปืน ระเบิดดังนั้นโทนหนังจึงหนักไปทางสงคราม เป็นช่วงเวลาที่มืดหม่นที่สุดเมื่อทัพจักรวรรดิ์ได้ยึดครองดวงดาวต่าง ๆ ซึ่งไม่เหมือนกับภาคหลักที่เน้นเรื่องราวอัศวินเจไดที่ค่อนข้างเป็นหนังโทนสว่าง
จึงอาจจะเรียกว่า Rogue One: A Star Wars Story เป็นหนังที่ดาร์คมืดหม่นที่สุดในบรรดาหนัง Star Wars ครับ
2.หุ่นดรอยด์ K-2SO
ถ้าหากใน Star Wars ภาคหลักมีดรอยด์จอมกวนที่คอยสร้างสีสันอย่าง R2D2 หรือ C3PO ใน Rogue One ก็จะมีหุ่นที่ชื่อ K-2SO ที่คอยสร้างสีสันเสียงหัวเราะเช่นเดียวกันครับโดยเจ้าหุ่นตัวนี้จะมีจุดเด่นที่ความซื่อ ๆ ชอบพูดจาขวานผ่าซากชนิดที่ว่ามันกวนบาทาซะเหลือเกิน
แต่ทั้งนี้บทบาทคอย K-2SO ก็ไม่ได้มีไว้ฮาอย่างเดียวครับโดยมันเป็นหุ่นฝ่ายจักรวรรดิ์ที่ถูกรีเซ็ตโปรแกรมใหม่เป็นผู้ช่วยสำคัญในภารกิจครั้งนี้
3.Chirrut Îmwe
“ชีรุต” ก็เป็นอีกตัวละครที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่า K-2SO เลยครับซึ่งตัวละครนี้ได้รับบทโดย ดอนนี่ เยน กับบทบาทผู้พิทักษ์ตาบอดผู้มีความสามารถสัมผัสถึง “พลัง” ได้แม้ว่าจะนำมาใช้ไม่ได้แต่เขาก็มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า “พลัง” สามารถกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเขาก็มีความเชื่ออีกอย่างว่า “พลัง” จะคุ้มครองและนำทางเขาทุกที่
และการได้นักแสดงเอเชียยอดฝีมืออย่าง “ดอนนี่ เยน” ที่เคยวาดลวดลายในบทบาทปรมาจารย์ “ยิปมัน” ก็เป็นอะไรที่น่าติดตามอย่างยิ่งครับ
4.มุมมองแนวคิดในสายตาของฝ่ายจักรวรรดิ์
ฝ่ายจักรวรรดิ์ หรือ The Empire จะดูน่ากลัวโดยเฉพาะใน Episode 5: Empire Strike Back แต่ใน Rogue One เราจะได้เห็นมุมมองวิสัยทัศน์อีกแง่มุมหนึ่งที่โหดร้ายไม่แพ้กันโดยมี ผอ.ออร์สัน เครนนิค เป็นตัวละครหลักของฝ่ายจักรวรรดิ์ผู้ดูแลโครงการ Death Star โดยเราจะได้เห็นความทะเยอทะยานรวมถึงความยุติธรรมของฝ่ายจักรวรรดิ์อีกมุมที่เราไม่เคยรับรู้
5.เจดาห์ดวงดาวที่มีส่วนเกี่ยวข้องของ Star Wars ทั้งหมด
เจดาห์เป็นดวงจันทร์ที่มีพื้นผิวเป็นทะเลทรายมีมหาวิหารที่กักเก็บแร่ชั้นสูงเอาไว้ซึ่งตามท้องเรื่องเมืองแห่งนี้ได้ถูกฝ่ายจักรวรรดิ์ยึดครองและนำแร่ดังกล่าวเก็บเกี่ยวเพื่อเป็นทรัพยากรในการสร้างยาน Death Star แต่นอกจากแร่แล้วซึ่งที่ดาวดวงนี้มีความเป็น Star Wars รวมกันทุกภาคคือสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายเผ่าพันธุ์พร้อมกับยาน Destroyer ลอยเหนือน่านฟ้า
ซึ่งบรรยากาศความรู้สึกแบบนี้ก็คงทำให้แฟน Star Wars ตัวจริงต้องฟินกับดาวดวงนี้ไม่น้อยทีเดียว
6.ตัวละครรับเชิญที่มีบทบาทในภาคดั้งเดิม
ใน Rogue จะเป็นจุดกึ่งกลางของ Episode 3 กับ 4 ดังนั้นในหนังเรื่องนี้เราจะได้เห็นตัวละครบางตัวที่มีบทบาทมากใน Episode 4 มาโผล่ให้เห็นบางฉากใน Rogue One ด้วยซึ่งการทำแบบนี้นอกจากจะทำให้แฟน ๆ ได้ฮือฮาแล้วมันก็ยังช่วยตอบคำถามด้วยว่าสิ่งที่พวกเขาทำใน Episode 4 มันมีสาเหตุมาจากอะไร
ตัวละครดังกล่าวที่ว่านี้ก็จะมีเช่น Mon Mothma อดีตนักการเมืองและนักปฏิวัติ , Grand Moff Tarkin หรือผู้การ ทาร์กิ้น นายพลแห่งจักรวรรดิ์ (นักแสดงตัวจริงได้เสียชีวิตแล้วแต่ทางผู้สร้างได้นำโครงหน้าและรูปร่างทำเป็น CGI ทั้งหมด) , C-3PO , R2D2 ก็โผล่มาแจมเล็ก ๆ ด้วยและอีกหลายคนที่ไม่ได้กล่าวถึงซึ่งตรงนี้ต้องไปดูในโรงภาพยนตร์กันต่อไป
7.ความวุ่นวายในฝ่ายกบฎ
ในไตรภาคดั้งเดิมของ Star Wars เราจะได้เห็นการต่อสู้ของฝ่ายกบฏที่กล้าหาญชาญชัยราวกับเป็นพระเอกขี่ม้าขาวผู้ผดุงความยุติธรรมแต่ใน Rogue One จะไม่มีความรู้สึกถึงสิ่งที่ว่าเหล่านั้นแต่จะนำเสนอเจาะลึกอีกด้านมุมหนึ่งที่มืดดำชั่วช้าไม่ต่างจากอีกฝ่ายเลยหรือในกลุ่มก็มีการแตกแยกย่อยกันไปอีกอย่าง “ซอว์ เกอร์เรร่า” ผู้นำกลุ่มกบฏหัวรุนแรงที่แยกตัวออกไป
การแยกตัวของเขาก็ยังทำให้ภาพลักษณ์ของฝ่ายกบฏดูแย่ลงกับการกระทำที่โหดร้ายทารุณมีรูปแบบการโจมตีที่แสดงให้เห็นว่ากลุ่มกบฏก็มีด้านมืดกับเขาเหมือนกัน
8.การต่อสู้ที่ดาว “สคาริฟ”
“สคาริฟ” เป็นดวงดาวที่สำคัญมาก ๆ ใน Rogue One เพราะเป็นที่ตั้งของสถานีที่รวบรวมข้อมูลสิ่งก่อสร้างทั้งหมดของฝ่ายจักรวรรดิ์ซึ่งรวมถึงแบบแปลนยาน Death Star ด้วย อีกทั้งมันยังเป็นสถานที่ของฉากไคลแม็กซ์สงครามระหว่างฝ่ายกบฏและจักรวรรดิ์ที่จะได้เห็นการโจมตีทางทหารเต็มรูปแบบโดยที่ไม่มีอัศวินเจไดหรือไลท์เซเบอร์เลยแต่ทำออกมาได้มันส์มาก!
นอกเหนือจากนี้ก็มีอีกอย่างที่น่าสนใจอีกครับเพราะทางผู้กำกับ ได้เผยว่าเขานำยุทธวิธีรบแบบกองโจรในสมัยสงครามเวียดนามมาประยุกต์ในฉากสงครามบนดาวแห่งนี้ด้วยครับ
9.การปรากฏตัวของ “ดาร์ธ เวเดอร์”
ก่อนหน้าที่หนังจะฉายก็มีการปล่อยข้อมูลว่าท่านลอร์ดผู้มีลมหายใจฟืด..ฟาด ดาร์ธ เวเดอร์ ก็จะมีร่วมแสดงในหนังเรื่องนี้ด้วยซึ่งการปรากฏกายของเขานั้นจัดว่าเป็นสิ่งที่ดีงามที่สุดในเรื่องก็ว่าได้ครับเพราะรู้สึกได้ถึงความกดดัน ความน่ากลัว ความน่าเกรงขามสมกับเป็นผู้นำของฝ่ายจักรวรรดิ์อย่างแท้จริง
ในช่วงสุดท้ายของหนังเราก็ได้เห็นความน่ากลัวของ ดาร์ธ เวเดอร์ ชนิดที่ว่าแฟน ๆ ได้เฮกรี๊ดลั่นโรงเลยทีเดียวกับการปลดปล่อยดาบไลท์เซเบอร์สีแดงที่กวัดแกว่งสังหารลูกเรือฝ่ายกบฏจนสิ้นซากและการเผยฉากสุดท้ายที่ว่านี้ก็ยังเติมเต็มอธิบายที่มาที่ไปฉากเปิดใน Episode 4: A New Hope ได้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติจนต้องลุกขึ้นปรบมือให้เลย
10.โชคชะตาของกลุ่ม Rogue One
เป็นอะไรที่สะเทือนใจและหดหู่ทีเดียวกับโชคชะตาของเหล่าสมาชิก Rogue One ทั้ง 6 คนกับภารกิจที่เรียกว่า “ภารกิจสุดท้าย” ก็ว่าได้เพราะทั้ง 6 จะไม่มีชีวิตรอดกลับไปแม้แต่คนเดียวโดยในหนังเรื่องนี้ก็จะเผยฉากสุดท้ายของแต่ละคนตั้งแต่ K-2SO , ชีรุต จนถึง จิน กับ เอนดอร์ สองตัวละครสุดท้ายที่ต้องพบกับลำแสงพิฆาตของ Death Star
โดยการตายของสมาชิกทั้งหมดจัดว่าหดหู่โหดร้ายชวนให้เศร้าใจมากทีเดียวครับแต่มันก็แสดงให้เราเห็นว่าสงครามมันไม่ได้เลิศหรูแต่มันโหดร้ายต้องมีคนเสียสละและกว่าจะได้แบบแปลนมาต้องเปื้อนเลือดมากมายขนาดไหน
ทั้งหมดนี้ก็คือ 10 อย่างในหนัง Rogue One: A Star Wars Story ที่จัดว่ายอดเยี่ยมที่สุดเพื่อน ๆ คนไหนที่ได้ดูมาแล้วก็สามารถแสดงความเห็นหรือเพิ่มเติมกันได้นะครับว่าชอบฉากไหนกันบ้างและสุดท้ายนี้ก็คงต้องทิ้งท้ายด้วยประโยคสุดอมตะคำว่า “ขอพลังจงสถิตแก่ท่าน” ครับ
ที่มา: Gamespot