Connect with us

Hi, what are you looking for?

Other News

[Special Story] 10 อันดับโน๊ตบุ๊คที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้มีการเปลี่ยนแนวการผลิตโน๊ตบุ๊คไปจากเดิมตลอดกาล

ตั้งแต่เราเข้าสู่ยุค 2000 มานี้นั้นคงต้อยอมรับจริงๆ เลยหล่ะครับว่าวงการโน๊ตบุ๊คนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากเลยทีเดียวในส่วนของเรื่องการดีไซน์ หากท่านอยู่ในวงการมาโดยตลอดและได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหล่ะก็จะรู้ได้เลยหล่ะครับ

ตั้งแต่เราเข้าสู่ยุค 2000 มานี้นั้นคงต้อยอมรับจริงๆ เลยหล่ะครับว่าวงการโน๊ตบุ๊คนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากเลยทีเดียวในส่วนของเรื่องการดีไซน์ หากท่านอยู่ในวงการมาโดยตลอดและได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหล่ะก็จะรู้ได้เลยหล่ะครับว่าเราได้ผ่านช่วงเวลาที่มาการเปลี่ยนแปลงของโน๊ตบุ๊คเยอะและเร็วช่วงหนึ่งจากที่ก่อนหน้านี้นั้นโน๊ตบุ๊คจะค่อนข้างมีความเหมือนกันพอสมควรไม่ว่าจะยี่ห้อไหนอย่างเช่นรูปลักษณ์ดีไซน์, ขนาด, รูปแบบการใช้งาน ฯลฯ ครับ

notebook-philco-com-quad-core-e-windows-8-em-promocao-no-walmart

Advertisement

อย่างที่บอกครับว่าในยุค 2000 เป็นต้นมานั้นถือว่าเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ในวันนี้นั้นเราจึงขอนำเสนอ 10 อันดับโน๊ตบุ๊คที่ทาง Notebook Review ได้ทำการคัดเลือกมาแล้วว่ามันแหวกและสร้างเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างดีในยุคของมันจนกระทั่งโน๊ตบุ๊คบางรุ่นนั้นถือได้ว่าเป็นต้นแบบของการดีไซน์ในปัจจุบันด้วยสำหรับทั้ง 10 รุ่นนั้นจะเป็นอย่างไร เคยผ่านตาหรือใครเคยใช้งานมาก่อนด้วยหรือไม่ มาติดตามดูกันได้เลยครับ

1. ต้นฉบับของความบาง : Sony VAIO X505

sony-vaio-x505-600-01

ย้อนกลับไปในสมัยปี 2004 ที่แบรนด์ VAIO นั้นยังคงเป็นของ Sony อยู่ ใครหลายๆ คนน่าจะใฝ่ฝันอยากได้ VAIO X505 กันเป็นอย่างมากถึงแม้ว่าดีไซน์ของมันจะไม่ได้ต่างไปจากโน๊ตบุ๊คโดยเฉพาะแบรนด์ VAIO ของทาง Sony เองเท่าไรนัก แต่ด้วยดีไซน์ของตัวเครื่องที่มีความบางสุดๆ หากเทียบกัลโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 10.4 นิ้วในยุค 2004 ด้วยกันเองกับความหนาแค่ครึ่งนิ้วพร้อมด้วยน้ำหนักที่สุดแสนจะน้อยที่ 816.5 g(ในสมัยนั้น) ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ VAIO X505 จะเป้นต้นแบบของโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมความบางและเบาครับ

อย่างไรก็ตามแต่ใช่ว่า X505 นั้นจะไม่มีข้อเสียเลยครับ ด้วยความที่ต้องการให้ดีไซน์ตัวเครื่องมาพร้อมกับความบางและเบามากๆ ดังนั้นแล้วทาง Sony จึงได้ทำการตัดส่วนของ Touch Pad ออกไปแล้วใช้ trackpoint(จุดขาวๆ ตรงกลางที่เอาไว้ใช้งานบังคับเมาส์คล้ายๆ กับโน๊ตบุ๊คของทาง IBM ในยุดก่อน) ที่แน่นอนหล่ะครับว่ามันใช้งานค่อนข้างยาก แถมราคาของมั้นนั้นก็ค่อนข้างที่จะแพงเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คขนาดจอ 10.4 นิ้วเหมือนกันคืออยู่ที่ $3,000 หรือประมาณ 103,650 บาทครับ

หมายเหตุ – จากรูปนั้นจะเห็นว่าทาง Sony ได้ดีไซน์ให้ส่วนทางด้านบนของคีย์บอร์ดว่างเปล่าไปเลยโดยยกส่วนของคีย์บอร์ดมาไว้ทางด้านล่างทั้งหมด ทำให้ความหนาลดลงและส่วนของแบตเตอรี่ก็ถูกออกแบบให้เป็นทรงกระบอกอยู่ตรงก้านพับจอครับ

2. ต้นแบบคุ้มค่าราคาถูกมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Linux : Asus Eee PC 701

asus-eee-pc-701

ถัดมากับที่สุดของโน๊ตบุ๊คที่คุ้มค่ากับราคามีขนาดเล็กและมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Linux ในช่วงปี 2007(ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่ค่อยมีผู้ผลิตรายใดทำแบบให้โน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Linux ในตัวสักเท่าไรเพราะถ้าไม่ลง Windows ที่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์เลยก็จะเป็นการลง Dos มาให้แทนครับ) แถมด้วยขนาดเล็กของมั้น(เล็กเพราะหน้าจออยู่ที่ 7 นิ้ว) นั้นเลยทำให้องค์ประกอบต่างๆ มีราคาถูกตามจนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $199 หรือประมาณ 7,200 บาทครับ

Asus Eee PC 701 นั้นมาพร้อมกับสเปคที่ค่อนข้างจะต่ำสักเล็กน้อยคือหน่วยประมวลผล Intel Celeron M สัญญาณนาฬิกา 900 MHz หน้าจอที่ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสเปคแค่นี้นั้นเพียงพอต่อความต้องการของ Linux แล้วเพราะมันสามารถที่จะบูท Linux ขึ้นมาใช้งานได้ภายใน 10 วินาที

จริงๆ แล้วผู้ใช้สามารถเอามาลง Windows ได้เหมือนกันแต่ว่าก็ต้องใช้แบบอืดๆ จนหลังๆ จะทนกับความช้าไม่ได้ อย่างไรก็ดีในสมัยนั้น Eee PC ของ ASUS ก่อให้เกิดนิยามเครื่องโน๊ตบุ๊ครูปแบบใหม่เป็น Netbook ที่ค่อนข้างจะเป็นที่นิยมพอควมแต่ว่าอยู่ได้ประมาณสัก 5 – 6 ปีก็หายไปจากตลาดเพราะความนิยมเสื่อมถอยครับ

หมายเหตุ – Asus Eee PC นั้นถือได้ว่าเป็นต้นแบบของโน๊ตบุ๊คราคาถูกอย่างเช่น Lenovo Miix 310 และโน๊ตบุ๊คระบบปฎิบัติกากทางเลือกอย่าง Chromebook ครับ

3. ต้นแบบโน๊ตบุ๊คหน้าจอใหญ่มหึมา : HP Pavilion HDX หรือ “The Dragon”

hps-20-1-inch-hdx-or-the-dragon

มีโน๊ตบุ๊คขนาดเล็กๆ คุ้มๆ กันไปแล้วเปลี่ยนมาดูโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอใหญ่มหึมาที่สุดในประวัติศาสตร์โน๊ตบุ๊คอย่าง HP Pavilion HDX หรือ “The Dragon” ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 20.1 นิ้วในช่วงปี 2007 แน่นอนครับว่าด้วยหน้าจอใหญ่ขนาดนี้ทำให้องค์ประกอบอื่นๆ ก็ใหญ่ตามไปด้วยไม่ว่าจะเป็นความหนาที่หนาถึง 2.3 นิ้วและน้ำหนักที่แบกกันหลังหัก(ถ้าคิดจะแบกจริง) ที่ 7 .03 kg บนตัวเครื่องจัดเต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ในสมัยนั้นมากมายไม่ว่าจะเป็นที่สแกนลายนิ้วมือหรือว่าการมาพร้อมกับ TV Tuner ครับ

และแน่นอนครับว่าการมาพร้อมเทคโนโลยีแบบจัดเต็มนี้ทำให้ราคาของเจ้า HDX นั้นสูงมากคืออยู่ที่ $5,999 หรือประมาณ 212,170 บาทเลยทีเดียวทำให้มีน้อยคนมากที่จะได้สัมผัสมัน ที่จริงจะว่าไปแล้วนั้นเจ้า HDX นั้นเป็นโน๊ตบุ๊คที่ได้ชื่อว่า “โน๊ตบุ๊ค All-in-one” ตัวแรกของโลกเลยก็ว่าได้ครับ ทว่าด้วยความที่หน้าจอใหญ่ไปหน่อยนั้นทำให้ HDX เป็นโน๊ตบุ๊คไม่กี่รุ่นที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 20 นิ้วนี้เพราะถึงจะมีผู้ผลิตรายอื่นทำตามออกมาแต่ส่วนใหญ่หน้าจอใหญ่สุดก็จะอยู่ที่ 18.4 นิ้วอย่าง  Asus W90VP และ Alienware 18 ครับ

หมายเหตุ – สำหรับผู้ที่ผลิตโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 20 นิ้วตาม HP ออกมาก็ประกอบไปด้วย Dell XPS M2010 และ Sager NP5960 ซึ่งของ Dell นั้นก็หนักและหนายิ่งกว่า HP HDX ส่วน Sager นั้นก็เล่นใส่สเปคมาสุดโหดทำให้ราคานั้นแพงแบบสุดๆ ครับ

4. ต้นแบบโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับหน้าจอที่มาพร้อมกับฐานตั้งในตัว : Dell Adamo XPS

dell-adamo-xps

อะ อะ อะ อย่าพึ่งคิดไปนะครับว่า Surface Pro นั้นจะเป็นต้นแบบของหน้าจอที่มาพร้อมกับขาตั้งภายในตัวสำหรับการใช้งานเพราะย้อนกัลไปในปี 2009 นั้นทาง Dell ได้ทำออกมาก่อนแล้วกับ Dell Adamo XPS ซึ่งลักษณะของการใช้งานนั้นจะอยู่ในรูปแบบการที่มีก้านดีดตัวสำหรับเปิดหน้าจอขึ้นมาแล้วส่วนของด้านริมหน้าจอและแผงคีย์บอร์ดทั้งหมอก็จะกลายเป็นฐานตั้งของหน้าจอไป(จริงๆ แล้วควรจะบอกว่าส่วนของคีย์บอร์ดดีดตัวออกมามากกว่าเนื่องจากความปลอดภัยของส่วนหน้าจอครับ)

ตัวเครื่อง Dell Adamo XPS นั้นมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 13.4 นิ้งซึ่งจะว่าไปแล้วนั้นขนาดหน้าจอของ Dell Adamo XPS ก็เป็นอีกหนึ่งมาตรฐานมาจนถึงปัจจุบันนี้ ตัวเครื่องมีความหนาอยู่ที่ราวๆ 0.41 นิ้วเท่านั้นซึ่งถือว่าบางมากในสมัยนั้น นอกจากนั้นแล้วในส่วนของน้ำหนักก็อยู่ที่ 1.45 kg ซึ่งถือว่าเบามากเหมือนกัน สำหรับราคาของ Dell Adamo XPS นั้นอยู่ที่ $1,799 หรือประมาณ 63,640 บาท ส่วนทายากทของมันนั้นก็คือ Surface Pro ที่มีการดัดแปลงพอควรให้เข้ากับยุคสมัยที่แท็บเล็ตมาแรงครับ

หมายเหตุ – Dell Adamo XPS ถือได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นแรกๆ ในตลาดที่มาพร้อมกับแหล่งเก็บข้อมูลแบบ SSD ทำให้ราคาของสูงนั่นเองครับ

5. ต้นแบบโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับหน้าจอ 2 จอและสไตลัสของ Wacom : Lenovo ThinkPad W700ds

lenovo-thinkpad-w700ds

เมื่อปี 2009 ที่ผ่านมานั้นบนโลกเราได้เจอโน๊ตบุ๊คที่เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คแบบ All-in-one สำหรับหารทำงานจริงๆ อย่าง Lenovo ThinkPad W700ds ด้วยหน้าจอหลักที่ขนาด 17 นิ้วพร้อมกับหน้าจอรองขนาด 10.6 นิ้ว(ในแนวตั้งดังรูป) ทำให้ Lenovo ThinkPad W700ds นั้นถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการทำงานอย่างแท้จริง ไม่เพียงเท่านั้นครับ Lenovo ThinkPad W700ds ยังมาพร้อมกับการสนับสนุนสไตลัสอย่าง Wacom Digitizer อีกด้วยครับ(ทำให้ในส่วนของฐานโน๊ตบุ๊คจะค่อนข้างใหญ่และหนาเพราะต้องมีที่สำหรับใช้งานสไตลัส)

ตัวเครื่องของ Lenovo ThinkPad W700ds จะมีความหนาอยู่ที่ 2.1 นิ้วและน้ำหนักอยู่ที่ 4.536 kg ครับ ในส่วนของสเปคอื่นๆ นั้นก็เรียกได้ว่าจัดเต็มจริงๆ(สำหรับสมัยนั้น) ครับเครื่องขนาดนี้นั้นราคาย่อมไม่ธรรมดาด้วยราคาเริ่มต้นที่ $3,663 หรือประมาณ 129,600 บาทเลยทำให้ส่วนมากแล้วผู้ที่ซื้อ Lenovo ThinkPad W700ds มาใช้นั้นมักจะเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากกว่า สำหรับผู้สืบทอดนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนครับแต่เป็น Lenovo เองกับรุ่น ThinkPad W710ds ทว่าหลังจากนั้นโน๊ตบุ๊คที่ครบเครื่องแบบ All-in-one ขนาดนี้ก็หายไปจากตลาดครับ

6. ต้นแบบโน๊ตบุ๊คสุดบางและเบา พร้อมหน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว : MacBook Air

macbook-air-2008

ถึงแม้ว่า Sony VAIO X505 ในข้อที่ 1 นั้นจะมาพร้อมกับความบางและเบาก็จริงแต่ทว่าด้วยขนาดหน้าจอ 10.1 นิ้วของมันนั้นทำให้มันไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไรในสมัยนั้นเนื่องจากว่ามันเล็กเกินไปในการทำงานครับ หลังจากนั้นไม่นานนักมีบริษัทหนึ่งที่เห็นความสำคัญเรื่องของความบางและเบาของโน๊ตบุ๊คซึ่งบริษัทนั้นก็คือ Apple ที่ได้พัฒนา MacBook Air ออกมา โดย MacBook Air นั้นถือได้ว่าเป็นความลงตัวของขนาดไม่ว่าจะหน้าจอที่กำลังดี ความบางและเบาที่ทำให้พกพาสะดวกจนในที่สุดมันก็กลายเป็นต้นแบบของ Ultrabook ครับ

MacBook Air เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 ด้วยตัวเครื่องที่มาพร้อมกับจอ 13.3 นิ้วและความหนาของตัวเครื่องที่ 0.76 นิ้วพร้อมน้ำหนักสุดเบาที่ 1.36 kg พร้อมด้วยเทคโนโลยีใหม่อย่าง multi-touch touchpad ที่กลายเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานไปแล้วในยุคปัจจุบัน แต่ทว่ามันไม่หมดแค่เพียงเท่านั้นครับ MacBook Air ยังเป็นต้นแบบของสิ่งที่ผู้ใช้ต้องเซ็งหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นการที่มีพอร์ตเชื่อมต่อน้อยสุดๆ, แบตเตอรี่ที่ผู้ใช้ไม่สามารถถอดได้เอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วโน๊ตบุ๊คที่รับการสืบทอดเรื่องดังกล่าวก็หนีไม่พ้น MacBook ของ Apple เองครับ

7. ต้นแบบโน๊ตบุ๊คที่กลายเป็นแท็บเล็ต : Toshiba Libretto W100

toshiba-libretto-w100

ถ้ามองย้อนกลับไปในปี 2010 นั้นเราจะพบว่า Toshiba ได้ส่งนวัตกรรมให้เข้าสู่วงการโน๊ตบุ๊คอย่าง Toshiba Libretto W100 เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 25 ปีของบริษัท โดยความแปลกไม่เหมือนใครของมันก็คือการมาพร้อมหน้าจอ 2 ด้านทั้งบนด้านละ 7 นิ้วและล่างครับ Toshiba ได้สร้างให้ Libretto W100 ใช้งานคีย์บอร์ดผ่านรูปแบบคีย์บอร์ดเสมือนทางหน้าจอทางด้านล่างที่สามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตามใจผู้ใช้และหน้าจอทั้ง 2 ด้านเป็นหน้าจอแบบสัมผัสแบบมีการตอบโต้ แถมด้วยน้ำหนักสุดเบาที่ 816.46 g เท่านั้นครับ

แน่นอนครับ Toshiba Libretto W100 ถ้าพูดถึงการเป็นต้นแบบอะไรไหมของโน๊ตบุ๊คตอบได้เลยครับว่าไม่เพราะไม่มีโน๊ตบุ๊คแบบ 2 หน้าจอที่ไม่มีคีย์บอร์ดออกมาให้เราได้เห็นกันแล้ว ทว่า Toshiba Libretto W100 นั้นถือได้ว่าเป็นต้นแบบของแท็บเล็ตโดยเฉพาะกับแท็บเล็ตขนาดเล็กที่หากทุกท่านจำได้นั้นแท็บเล็ตขนาดเล็กในช่วงเวลาแรกๆ ก็มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7 นิ้วเหมือนกับ Toshiba Libretto W100 นี่แหละครับ

8. ต้นแบบโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ไร้สายอย่างแท้จริง : Dell Latitude Z

dell-latitude-zdell-latitude-z-doc

จริงๆ แล้ว Dell Latitude Z ที่เปิดตัวในปี 2010 นั้นก็เป็นโน๊ตบุ๊คสำหรับการทำงานทางด้านธุรกิจทั่วไปเหมือนๆ กับยี่ห้ออื่นหล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นการมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 16 นิ้ว สเปคที่จัดเต็ม ความหนาของตัวเครื่องที่ 0.8 นิ้วน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 2.268 kg ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $3,591 หรือประมาณ 127,050 บาท เรียกได้ว่าทุกอย่างของ Dell Latitude Z นั้นไม่ได้ต่างกับโน๊ตบุ๊คสำหรับงานทางด้านธุรกิจในสมัยนั้นมากนัก แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ Dell Latitude Z แตกต่างออกไปก็คือการที่มันมาพร้อมกับ Wireless docking ที่ใช้เทคโนโลยี WiGig ของทาง Intel นี่แหละครับ

อย่าลืมนะครับว่าเมื่อ 6 ปีที่แล้วนั้นเทคโนโลยีไร้สาย WiGig ของทาง Intel นั้นถือว่าเป็นเรื่องอะไรที่ใหม่เอามากๆ และหายากสุดๆ ในตลาด ซึ่งถึงแม้ว่าตอนหลังมานั้นเทคโนโลยีดังกล่าวนี้จะยังไม่มีการใช้งานอย่างกว้างขวางพอสมควรแต่ทว่า Dell Latitude Z ก็ถือได้ว่าเป็นผู้เริ่มต้นหล่ะครับ(ที่เจ๋งคือคุณสามารถชาร์จ Dell Latitude Z ผ่าน Dock แบบไร้สายได้ด้วยครับ) อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ Dell Latitude Z เป็นผู้นำสมัยนั้นก็คือการมี touch-sensitive strip อยู่ที่ขอบของหน้าจอและผู้ใช้สามารถตั้งการใช้งานได้เองด้วย ทำให้มีความสะดวกในการใช้งานเป็นอย่างมาก

หมายเหตุ – ไม่แน่ว่า Touch Bar ของทาง Razer และ Apple นั้นอาจจะได้แรงบันดาลใจมาจาก Dell Latitude Z ก็เป็นได้ครับ

9. ต้นแบบโน๊ตบุ๊คที่เล็กที่สุดในโลก : OQO Model 1

oqo-model-1

สำหรับในข้อที่ 9 นี้นั้นขึ้นอยู่กับคุณๆ จะมองหล่ะครับว่ามันเป็นโน๊ตบุ๊คหรือว่าเป็นสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ดในตัวกันแน่(แต่ว่ามันก็ไม่รองรับการใช้งานผ่านเครือข่ายนะครับ) เจ้า OQO Model 1 นั้นเปิดตัวออกมาในปี 2004 ซึ่งตอนนั้นถือได้ว่ามันเป็นอะไรที่ใหม่เอามากๆ แถมยังทำให้โลกของเรานั้นได้รู้จักกับโน๊ตบุ๊คที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก ด้วยขนาด 4.9 x 3.4 x 0.9 inches ที่สามารถถือได้ด้วยมือเพียงมือเดียวกับน้ำหนัก 397 g พร้อมด้วยหน้าจอ 5 นิ้วทำให้มันน่าใช้งานแบบพกพาเป็นอย่างมากครับ

ตัวเครื่องของ OQO Model 1 จะมีแป้นคีย์บอร์ดขนาดเล็กตามเครื่องซ่อนเอาไว้อยู่โดยผู้ใช้สามารถที่จะใช้งานด้วยวิธีการสไลด์มาทางด้านล่าง สเปคของตัวเครื่องนั้นก็จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถพอใช้ได้(ในขณะนั้น) และไม่ลืมที่จะมาพร้อมกับการเชื่อมต่อไร้สายแบบ 802.11b wireless และ Bluetooth มีตัวเลือก digital pen เพิ่มให้คุณด้วยที่สำคัญนั้นมันมาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows XP ที่คุณผู้ใช้สามารถเลือกระหว่างรุ่น Home หรือ Pro ได้ครับ

OQO Model 1 นั้นจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $1,899 หรือประมาณ 67,180 บาทซึ่งถือว่าค่อนข้างจะอยู่ในระดับที่แพงในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามแต่ OQO Model 1 ก็สามารถที่จะยืนอยู่ในตลาดได้จนกระทั่งในปี 2009 ก็จางหากไป โดยทิ้งไว้ด้วยการเป็นชื่อของโน๊ตบุ๊คที่เล็กที่สุดในโลกและสร้างมาตรฐานโน๊ตบุ๊ครูปแบบ UMPC (Ultra-Mobile Personal Computer) ขึ้นมาโดยมีผู้ตามที่ดังกว่าในปี 2006 อย่าง Sony VAIO UX และผิดฉากในตอนหลังสุดด้วย Sony P-Series ครับ

10. ต้นแบบโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core : Clevo D900K

clevo-d900k

เชื่อเหลือเกินครับว่าคนยุคใหม่(เผลอๆ ยุคก่อนปี 2000) หลายๆ คนนั้นน่าจะไม่เคยได้ยินยี่ห้อ Clevo มาก่อนเพราะว่าไม่ค่อยจะมีเข้ามาในเมืองไทยเท่าไรนักแถมยังมีการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่เมื่อมีการขายในบางพื้นที่อีกต่างหาก (ตัวอย่างเช่นรุ่นที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ได้มีการรีแบรนด์เป็น Alienware Aurora m7700 กับ Sager NP9750 เป็นต้นครับ) โดยในยุคต้นปี 2006 นั้นโน๊ตบุ๊คส่วนใหญ่จะใช้หน่วยประมวลผลแกนเดียวและนิยมใช้ของทาง Intel อย่าง Pentium M และ Pentium 4 ถ้าเป็นฝั่ง AMD ฏ้จะเป็น Athlon และ Sempron

Clevo D900K นั้นถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่เปิดศักราชใหม่ที่เปลี่ยนมาใช้หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core เป็นครั้งแรกโดยเลือกใช้ Athlon FX-60 และ Athlon X2(แล้วแต่ผู้ใช้เลือก) ซึ่งถือว่าใหม่และเจ๋งมากๆ ในเวลานั้นครับ(ณ เวลานั้น AMD เบียดกับ Intel แบบเผลอกันไม่ได้เลยหล่ะครับ) สเปคในส่วนอื่นๆ นั้นก็เรียกได้ว่าเป็นสเป็กสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นกราฟิกการ์ดแยกจาก Nvidia รุ่น Go7800GTX หน่วยความจำ(RAM) ให้เลือกที่สูงสุด 2GB แต่ว่าราคาก็โหดมากๆ คืออยู่ที่ราวๆ $4,317 หรือประมาณ 67,180 บาทครับ

ปัจจุบันนี้ถามว่า Clevo ยังอยู่ไหมตอบได้เลยว่าอยู่ครับ และทาง Clevo เองนั้นก็ยังคงผลิตโน๊ตบุ๊คที่สามารถใช้งานแทน PC Desktop ได้ออกมาเรื่อยๆ(และมีการผลิตโน๊ตบุ๊คในหลายๆ รุ่นที่ถือว่าเป็นเครื่องแรงของโลก) อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นหลังจากที่ Clevo D900K เปิดตัวได้ไม่นานนัก ผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็พากันเปิดตัวโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมหน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core เป็นแถวหล่ะครับ

หมายเหตุ – ขอบคุณข้อมูลที่ถูกต้องจากผู้อ่านด้วยครับ

ที่มา : notebookreview

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Special Story

ถ้านับในช่วงหลัง ๆ มา ชิปกราฟิกแบบ iGPU ที่อยู่ใน CPU โน้ตบุ๊กของ AMD ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนทำให้มีประสิทธิภาพสูงถึงระดับที่สามารถใช้งานได้จริง โดยเฉพาะกับการใช้เล่นเกมที่ข้ามกำแพงจากในอดีตกราฟิกแบบ iGPU มักจะทำได้อย่างมากก็เป็นเกมออนไลน์ เกมเก่าที่มีอายุนานพอสมควรแล้ว กลายมาเป็นสามารถเล่นเกมระดับ AAA และเกมใหม่ล่าสุดได้ ซึ่งปัจจุบันก็เดินทางมาถึง AMD Radeon 800M series ที่มาพร้อมกับชิป AMD...

Accessories review

ถ้าคุณเป็นครีเอเตอร์ Lexar Portable SSD SL400 คือไอเท็มสำคัญควรมีติดกระเป๋า! ในวงการหน่วยความจำแล้ว Lexar ก็เป็นผู้ผลิตหน่วยความจำระดับโลกซึ่งมีสินค้าหลากหลายแบบให้เลือกใช้ เช่น Lexar Portable SSD SL400 สำหรับครีเอเตอร์ยุคใหม่เจ้าของ iPhone 15 Pro และ 16 Pro Series ได้ถ่ายคลิปเก็บไอเดียสร้างสรรค์ไว้ทำงานต่อได้หรือพกคู่มือถือ Android...

Mac Corner

ขึ้นชื่อว่าเป็นไอโฟนเป็นใครอยากได้ ว่าด้วยราคาเครื่องจะจ่ายเงินสดรอบเดียวก็ยังได้แต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องใช้เงินก้อนเมื่อไหร่ หลายคนจึงเลือกวิธีผ่อนไอโฟนทีละงวดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 10 ถึง 30 เดือนก็มี ตามที่ร้านค้ากับธนาคารเจ้าของบัตรจะทำข้อตกลงกันไว้ ทำให้ลูกค้าได้เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ได้ง่ายขึ้น และยังไม่รวมแคมเปญอื่นๆ จาก Apple กับตัวแทนจำหน่ายแต่ละเจ้าเอามาเป็นจุดจูงใจเพิ่มเติมอีกด้วย ข้อดีของการจ่ายเงินผ่อน นอกจากไม่ต้องลงเงินก้อนครั้งเดียวแต่เฉลี่ยจ่ายไปเรื่อยๆ จนครบได้แล้ว ยังมีเครื่องมือทางการเงินอีกหลายอย่างเข้ามาช่วยแบ่งเบาผู้ใช้ได้อีกมาก ไม่ว่าจะใช้แต้มในบัตรเครดิตหักลดราคาเครื่องก่อนผ่อนชำระได้, กดส่งโค้ดเอาแต้มกับเงินคืนไว้ใช้ในโอกาสอื่นได้ไม่พอ ในยุคนี้บางร้านค้ายังให้ผ่อนด้วยบัตรประชาชนใบเดียวได้อีก เป็นทางเลือกเพื่อคนไม่มีบัตรเครดิตแต่มีเงินในกระเป๋าแบ่งจ่ายค่าเครื่องได้สะดวกไม่แพ้กันAdvertisement ผ่อนไอโฟนวิธีไหนได้บ้าง? ปัจจุบันสามารถผ่อนมือถือได้หลายวิธี...

Mac Corner

พอ Apple เปิดตัว iPhone 16 Series เปิดตัว iPhone 15 ราคาก็ถูกลงตามกลไกการตลาด หลีกทางให้สินค้ารุ่นใหม่และเคลียร์สต็อกสินค้าเก่าไปด้วย ถึงจะตกรุ่นแล้วแต่ถ้าเป็นผู้ใช้ทั่วไปเน้น Social network, ถ่ายวิดีโอเก็บภาพความทรงจำและเล่นเกมบ้าง ไม่เน้น Apple Intelligence (AI) ตามสมัยนิยมเอาความแรงตัวชิปเซ็ตเข้าว่า ก็พูดได้ว่าราคาไอโฟน 15 ตอนนี้ก็คุ้มดีแล้วใช้เป็นมือถือเครื่องหลักไปได้อีกหลายปีก่อนจะหมดรอบการอัปเดต iOS...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก