ในช่วงที่ผ่านมานี้เราได้เห็นการเปิดตัวทีเด็ดของวงการไอทีจาก 2 ค่ายใหญ่ของวงการอย่าง Microsoft และ Apple ไปแล้วครับ โดยทางฝั่ง Microsoft นั้นได้ทำหารเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ PC แบบ All-in-One ในซีรีส์ Surface กับ Surface Studio ซึ่งมาพร้อมกับสเปคสุดโหดพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด แต่ก็แพงสุดๆ ด้วยเหมือนกันกับราคาเริ่มต้นที่ $2,999 หรือประมาณ 107,970 บาทไปจนถึงรุ่นใหญ่ที่มาพร้อมกับหน่วยความจำ(RAM) ขนาด 32 GB และแหล่งเก็บข้อมูลขนาด 2 TB ที่มีราคาสูงมาก(มากกกกกกก) คืออยู่ที่ $4,999 หรือประมาณ 179,970 บาทาครับ
นอกจาก Surface Studio แล้วนั้นทาง Microsoft ยังได้ทำการเปิดตัว SurfaceBook รุ่นอัพเดท ที่มาพร้อมกับแบตเตอรรี่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 16 ชั่วโมงต่อเนื่องพร้อมกับการปรับสเปคเล็กน้อยในราคาเริ่มต้นที่ $2,399 หรือประมาณ 86,370 ไปจนถึงรุ่นโมเดลท๊อปสุด(ซึ่งมีหน่วยความจุและแหล่งเก็บข้อมูลมากสุดในซีรีส์ SurfaceBook) ที่มีราคาอยู่ที่ $3,299 หรือประมาณ 118,770 บาท ซึ่งราคานี้แรกมาด้วยความหรูหรามีระดับ วัสดุชั้นดีและสเปคแสนโหดที่คุณมั่นใจได้จากทางฝั่ง Microsoft หล่ะครับ
ไม่เพียงแค่ฝั่ง Microsoft นะครับ MacBook Pro จากทาง Apple ที่ใครหลายๆ คนรอคอยการเปิดตัวอย่างใจจดใจจ่อแต่พอเปิดตัวออกมาแล้วก็ต้องอึ้งกับราคามหาโหดไปตามๆ กันก็แพงไม่ใช่เล่นเหมือนกัน สำหรับ MacBook Pro 2016 รุ่นเล็กสุดนั้นก็มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 56,900 บาทแล้ว(ราคาอ้างอิงของไทย) ซึ่งที่ราคานี้นั้นคุณจะได้เครื่องรุ่นที่มาพร้อมกับหน้าจอ 13 นิ้วแต่สเปคในส่วนอื่นๆ นั้นอาจจะไม่ค่อยเข้ากับราคาสักเท่าไรนัก
ไปมองกันต่อกับ MacBook Pro ท๊อปสุดที่้มาพร้อมกับหน้าจอ 15 นิ้ว หน่วยความจำ(RAM) ขนาด 16 GB และกราฟิกชิป Radeon Pro 450 แล้สนั้นจะมีราคาอยู่ที่ 105,900 บาท ซึ่งราคานั้นอาจจต่ำกว่า SurfaceBook แต่สเปคหลายๆ อย่างก็สู้ SurfaceBook ไม่ได้(อย่างเช่นหน่วยความจำ, ขนาดแหล่งเก็บข้อมูลและกราฟิกชิป) แต่ถึงกระนั้นราคาของ MacBook Pro เองก็คงจะไม่มีใครเถียงหล่ะครับว่ามันแพงมากถ้าเทียบกับโน๊ตบุ๊คของยี่ห้ออื่นๆ โดยหากเทียบสเปคใกล้ๆ กันแล้วนั้นโน๊ตบุ๊คพี่ห้องอื่นๆ จะน่าสนใจกว่า Surface และ MacBook Pro เยอะ
อย่างไรก็ตามแต่การที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของทั้งบริษัท Microsoft และ Apple ที่มีราคาสูงมากเกินไปจากในตลาดนั้นทำให้เกิดคำถามในใจของผู้ใช้ในระดับกลางขึ้นมาครับว่าด้วยราคาขนาดนี้นั้นผลิตภัณฑ์ของทั้ง 2 บริษัทนั้นน่าซื้อใช้งานจริงหรือไม่ และมันจะคุ้มค่ากับการลงทุนด้วยเงินเยอะๆ ที่จะแลกมากับเทคโนโลยีที่จริงๆ แล้วบริษัทอื่นๆ นั้นก็มีหรือเปล่า นักวิเคราะห์หลายๆ คนได้พูดได้ซ้ำไปครับว่า Microsoft และ Apple กำลังย้อนสู่อดีตกับการปล่อยฮาร์ดแวร์ราคาแสนแพงซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมากต่อตลาดครับ
ทาง Vlad Savov บรรณาธิการทางทาง The Verge ได้บอกเอาไว้ครับว่า Microsoft และ Apple น่าจะมุ่งเป้าหมายจำหน่าย Surface และ Microsoft ให้กับทางผู้ใช้หน้าใหม่มากกว่า(ทั้งที่ไม่เคยใช้ Desktop และ Mac มาก่อนเลย) และอีกเหตุผลหนึ่งนั้นก็คือผู้คนรุ่นเก่าจำนวนมากในปัจจุบันนั้นต่างก็ใช้ PC และ Mac มาก่อนแล้วทั้งนั้น โดยส่วนใหญ่คนกลุ่มหลังนี้จะมีค่ายในดวงใจและตัวเครื่องที่พวกเขามีความพึงพอใจอยู่แล้ว ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลยครับที่ Microsoft และ Apple ตั้งราคาเครื่องของตัวเองไว้สูงนั้นก็เพื่อที่จะทำให้ยอดกำไรมากนั่นเอง(ตรงนี้ดูเหมือน Microsoft และ Apple จะรู้จุดยืนของตัวเองดีครับว่าคงสู้ด้วยจำนวนยอดขายกับค่ายอื่นไม่ได้)
ในทางกลับกันนั้นบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายอื่นๆ ที่มีฐานในตลาดมากอยู่แล้วเช่น Intel, Acer และ Asus ต่างก็มีกลยุทธ์ที่แตกต่างออกไปครับเพราะพวกเขาต่างๆ เหล่านั้นจะใช้กลยุทธ์ที่ว่าเน้นยอดจำหน่ายหรือปริมาณการจำหน่ายให้ได้เยอะๆ มากกว่าทำให้เราได้เห็นฮาร์ดแวร์ที่มาพร้อมกับสเปคระดับสูงในราคาค่อนข้างจะต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับทางฝั่ง Microsoft และ Apple ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกอย่างหนึ่งเพราะทาง Microsoft และ Apple นั้นต่างก็เป็นบริษัทที่มีซอฟต์แวร์เป็นของตัวเอง
หมายเหตุ – ที่น่าแปลกใจสุดๆ คือ Microsoft เพราะว่าระบบปฎิบัติการ Windows และ Microsoft Office นั้นสามารถทำรายได้ได้เป็นอย่างมาก ซึ่งทาง Microsoft เองพอออกฮาร์ดแวร์เป็นของตัวเองแล้วนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ส่วนนี้ทว่าราคาของผลิตภัณฑ์จาก Microsoft นั้นกลับมีราคาที่สูงมากสวนทางกับความน่าจะเป็นอย่างสิ้นเชิงครับ
สำหรับทางฝั่ง Apple เองนั้นก็แปลกใช่ย่อยครับ ด้วยความที่ทาง Apple เป็นผู้ผลิตแต่เพียงรายเดียวเท่านั้นที่สามารถผลิตคอมพิวเตอร์ที่มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ macOS ได้ทำให้หากมองในแง่คู่แข่งที่จะมีความเหมือนกันทางด้านซอฟต์แวร์แล้วนั้นดูจะเป็นไปไม่ได้เลย แถมที่สำคัญเทคโนโลยีใหม่บน MacBook Pro อย่าง Touch Bar นั้นก็ได้ถูกหลอมลวมเป็นหนึ่งเดียวกับระบบปฎิบัติการ macOS ไปแล้ว ทำให้ MacBook Pro นั้นมีความแตกต่างเป็นอย่างมากกับคอมพิวเตอร์ยี่ห้ออื่นๆ
หมายเหตุ – พูดถึงเรื่องความแตกต่างแล้ว Surface ของ Microsoft เองก็มีความแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นมากเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ต่างออกไปเลย 100% เหมือน Mac ของทาง Apple แต่ในปัจจุบันนี้ทาง Microsoft ก็เก็บฟีเจอร์บางอย่างเอาไว้ใช้กับ Surface ของตัวเองไม่ต่องอะไรจากทาง Apple ครับ
กราฟโดย Benedict Evans
เอาเป็นว่าแทนที่เราจะมานั่งคิดถึงเรื่องความผิดปกติของแนวคิดทางการตลาดของ Microsoft และ Apple อันจะส่งผลต่อไปยังโลกของการซื้อขายของ PC หลังจากนี้นี่ เรามาลองดูดีกว่าครับว่าในอนาคตโลกของการซื้อขาย PC จะเป็นเช่นไร โดยในที่นี้นั้นเราขอยกตัวอย่างของเทคโนโลยีที่เราๆ ท่านๆ(โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเกิด 25 ไปขึ้นไป) น่าจะรู้จักกันดีอย่างเทคโนโลยีของการถ่ายภาพที่ตั้งแต่ในอดีตนั้นเรามีเทคโนโลยีการใช้ฟิมล์ซึ่งจะเห็นได้จากกราฟว่าค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับครับ
เมื่อถึงระยะเวลาที่เทคโนโลยีกล้องดิจิทัลเข้ามาแล้วทุกท่านจะเห็นได้จากกราฟว่าฟิมล์นั้นยอดขายก็ร่วงลงเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไม่สามารถขายได้เลย ยังไม่หมดเท่านั้นนะครับหากท่านดูในส่วนของเทคโนโลยีกล้องติจัทัลนั้นพอในปี 2010 และ 2013 (ในทั้ง 2 เทคโนโลยีดิจิทัลตามกราฟ) จะเห็นได้ครับว่าจากที่เคยมียอดจำหน่ายมาก็ลดลงมาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน สาเหตุนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่นครับมันเป็นเพราะราคาของกล้องดิจิทัลนั้นสูงมากขึ้นเรื่องๆ ในขณะที่มันกำลังสามารถจะขยายตลาดได้นั่นเองครับ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนนี้ก็อย่างเช่นกล้อง DSLR ของทาง Nikon ในรุ่น D500 ซึ่งมีราคาสูงถึง $1,999 หรือประมาณ 71,970 บาทซึ่งราคาระดับนี้นั้นเชื่อว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้เล่นกล้องนั้นคงไม่มีใครซื้อมาใช้งานกันอย่างแน่นอน ถามว่าทำไมถึงยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมาเหตุผลนั้นก็เนื่องมากจากตลาดของ PC ขณะนี้กับตลาดของกล้องที่ผ่านมานั้นไม่ได้ต่างกันครับ เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องทางเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่าพูดถึงมาแล้วนั้นคนที่มีความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์จะพอเข้าใจความหมายหล่ะครับ
ณ ปัจจุบันนี้เราได้เห็นตลาด PC กำลังดำเนินไปในเส้นทางเดียวกันกับกล้องซึ่งนั่นก็คือแทนที่บริษัทหลายๆ บริษัทจะมุ่งเน้นผลกำไรจากยอดจำหน่ายของตัวเครื่องทว่าหลายๆ บริษัทเลือกที่จะผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับพรีเมียมและวางจำหน่ายในราคาสูงแทนเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตลาดคอมพิวเตอร์เริ่มมีตัวแทนเข้ามาแย่งตลาดอย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตหล่ะครับ นอกจากทั้ง 2 บริษัทที่กล่าวมาในข้างต้นแล้วนั้นบริษัทเกิดใหม่อย่างเช่น Razer หรือ Vaio เองก็ใช้กลยุทธ์เดียวกันกับ Microsoft และ Apple ครับ
หมายเหตุ – ถึงแม้ความจริงแล้ว Razer เองจะมีเครื่องราคาถูกแต่ดูเหมือนว่าทางบริษัทก็จะเน้นเครื่องระดับพรีเมียมมากกว่าอย่าง Razer Blade Pro ที่มีราคาวางจำหน่ายถึง $3,699 หรือประมาณ 133,170 บาท ส่วน Vaio เองนั้นหลังจากหลุดมือจาก Sony ไปแล้วก็ผลิตแต่ตัวเครื่องระดับพรีเมียมที่มีราคาเกิน 6x,xxx ขึ้นไปเช่นกันครับ
งานนี้บอกเลยครับว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคที่คาดเดาอนาคตของตลาดคอมพิวเตอร์ PC ได้ยากเพราะแต่ละบริษัทใหญ่ๆ ต่างก็มีกลยุทธ์ไปในคนละทิศละทางกัน อย่าง Apple, Microsoft และ Razer ก็มีกลยุทธ์ไปในทางหนึ่ง ส่วนอีกกลุ่มบริษัทหนึ่งเช่น Lenovo, Acer และ ASUS ก็มีกลบุทธ์ไปในอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งหากกลุ่มหลังนั้นเปลี่ยนมาเลียนแบบทางกลุ่มแรก(โดยเฉพาะเลียนแบบ Microsoft และ Apple) มีหวังว่าในอนาคตนั้นเราๆ ท่านๆ คงได้ซื้อคอมพิวเตอร์ในราคาที่แพงมากกว่าเดิมแน่ๆ ครับ
หมายเหตุ – และไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นการเปิดทางให้กับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเข้ามาแย่งตลาดคอมพิวเตอร์ PC ได้มากขึ้นจนในที่สุดแล้วตลาดคอมพิวเตอร์ PC อาจจะล่มสลายเหมือนตลาดกล้องแบบใช้ฟิมล์ก็เป็นได้ครับ
ที่มา : theverge