ชื่อของ Blizzard ก็อาจจะคุ้นเคยกันดีกับเจ้าของเกมยอดฮิตแนว RTS หรือ RPG อย่าง Starcraft , Warcraft หรือ Diablo รวมไปถึงเกม MOBA ออนไลน์อย่าง Heroes of the Storm ด้วยแต่การพัฒนาเกมของค่ายนี้ไม่เคยหยุดนิ่งแค่นั้นเพราะล่าสุดในปี 2016 ค่ายพายุน้ำแข็งก็ได้ปล่อย Overwatch เกม MOBA ใหม่ออกมาอีกเกมแต่คราวนี้มีจุดเด่นตรงที่เป็นการรวมแนวเกม FPS ซึ่งเป็นแนวเกมที่นิยมมากแต่การผสมผสานของมันจะลงเอยอย่างไรมาดูกันเลยดีกว่า
Overwatch จะเป็นเกมออนไลน์ลูกผสมระหว่าง MOBA และ FPS กล่าวคือผู้เล่นจะได้ควบคุมฮีโร่ 1 ใน 21 ตัวร่วมกับเพื่อนอีก 5 คนต่อสู้กับศัตรูในมุมมองบุคคลที่หนึ่งหรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าเลือกฮีโร่แบ่งทีมเป็น 2 ฝั่งแบบ 6 vs 6 แล้วเข้าห้ำหั่นกันนั่นเอง ซึ่งการรวมแนวเกมทั้ง 2 แนวแบบนี้ก็เหมือนกับการนำ Heroes of the Storm มารวมกับ Team Fortress 2 เพราะเราก็จะได้พบกับเทคนิคการวางแผนการเลือกฮีโร่หรือใช้สกิลแก้ทางกันไปมาบวกกับความหลากหลายของตัวละครและความเป็นแอ็คชั่นในมุมมอง First Person ไปด้วย
แต่ Overwatch จะเหนือกว่าตรงที่มีตัวละครฮีโร่ให้เลือกมากถึง 21 ตัวพร้อมกับรูปแบบเกมที่ไม่ต้องเก็บเงินตีครีปแบบเกม MOBA ทั่วไปแต่เราจะสู้กับฮีโร่ฝั่งตรงข้ามทันทีและนั่นก็ทำให้เราผู้เล่นใส่ใจในเรื่องการวางแผนกลยุทธ์มากขึ้นครับ
ฮีโร่ในเกมนี้นอกจากจำนวนที่มีให้เลือกกว่า 21 ตัวแล้วมันก็ยังแบ่งสายแบ่งรูปแบบการเล่นได้หลัก ๆ 4 สายคือ Offense , Defense , Tank และ Support โดยทั้ง 4 สายก็จะมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกันไปแต่ถึงอย่างนั้นแม้จะเป็นฮีโร่ในสายเดียวกันก็สามารถแบ่งหน้าที่ได้อีกเช่น Mercy กับ Lucio แม้ทั้งคู่จะเป็นสาย Support มีพลังฟื้นฟูชีวิตแต่รูปแบบการใช้งานต่างกันโดยสิ้นเชิง Mercy จะใช้คฑาปล่อยพลังฮีลแก่เพื่อนได้เลยแต่ Lucio ต้องปรับเปลี่ยนโหมดเพื่อยิงคลื่นพลังฟื้นฟูชีวิตให้เพื่อน
หรือจะเป็น Widowmaker กับ Hanzo เองที่ทั้งคู่เป็นเหมือนเป็นหน่วยสไนเปอร์แต่ถ้าลงรายละเอียดปลีกย่อยจะพบว่าสองคนนี้มีสกิลมีสไตล์การเล่นที่ไม่เหมือนกันเลย บวกกับการเคลื่อนไหวของฮีโร่แต่ละตัวนั้นบอกเลยว่าเป็นเอกลักษณ์มาก ๆ เช่น Tracer สามารถ Blink ได้ , Reaper จะวาร์ปไปที่ที่ต้องการได้ , Lucio เดินไต่กำแพง , Widowmaker จะมี Grappling Hook ใช้จึงรู้สึกได้เลยว่ามันเป็นรายละเอียดที่ผู้พัฒนาใส่ใจจริง ๆ และจากตรงนี้เองก็แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของฮีโร่โดยแท้และยังหมายความว่าในแต่ละแมทช์เราจะพบกับการต่อสู้ในรูปแบบใหม่ทุกครั้งไม่ทำให้น่าเบื่อแถมยังทำให้ผู้เล่นเรียนรู้การปรับตัวหาวิธีแก้ทางฮีโร่ในขณะที่เล่นไปด้วย
แม้จะเต็มไปด้วยความหลากหลายแต่มันก็อยู่ในเพดานของความสมดุลอยู่ดีที่เรียกว่าผู้เล่นไม่สามารถเก่งคนเดียวได้แต่ต้องมีการร่วมมือร่วมใจกับเพื่อนร่วมทีมการผสมผสานความสามารถฮีโร่หลาย ๆ ตัวจะเป็นหนทางสู่ชัยชนะมากกว่าและฮีโร่บางตัวก็ไม่สามารถเก่งได้เมื่ออยู่คนเดียวเช่น Mercy ที่มีแต่พลังฟื้นฟูชีวิตเป็นหลักเดินช้าและตัวเปราะแต่ถ้าหากอยู่ร่วมกันกับเพื่อนความสามารถของเธอก็จะโดดเด่นขึ้นทันตาเห็นหรือ Widowmaker ที่มีแต่ความสามารถโจมตีแต่ไม่มีสกิลช่วยเหลือใด ๆ เลยจึงเรียกได้ว่าตัวละครใน Overwatch ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน
ถึงอย่างนั้นความสมดุลที่ว่านี้ก็อาจจะยังไม่ชัดเจนนักครับเพราะตัวเกมสามารถเปิดให้เลือกเล่นฮีโร่ตัวอื่นระหว่างการเล่นได้ซึ่งเราอาจจะได้เจอกับกองทัพฮีโร่เหมือนกันหมดทุกตัวหรือฮีโร่หน้าซ้ำมากกว่าสองตัวซึ่งอาจจะส่งผลให้ตัวเกมมีความเหลื่อมล้ำไปนิดบวกกับฮีโร่บางตัวที่ไม่ควรหยิบมาเล่นเช่น Bastion ที่มีสกิลตั้งป้อมปืนที่จัดว่าโกงมากและไม่น่าสนใจเท่าไหร่ทำให้เกมหมดสนุกง่าย ๆ
ด้วยความแตกต่างหลากหลายของฮีโร่นี้เราก็จะได้เห็นการคอมโบแปลก ๆ ใหม่ตลอดเวลาและในเกมนี้รู้สึกได้ว่าฮีโร่จะโหดขึ้นเมื่ออยู่กัน 2 คนขึ้นไปเช่น Reinhardt เปิดโล่ Energy Field พร้อมกับมี Bastion ตั้งป้อมปืนยิงสนับสนุนและถ้าหากเล่นด้วยกันกับเพื่อนที่รู้ใจก็ช่วยเพิ่มความโหดมากขึ้นด้วย
โหมดการเล่นหลัก ๆ ก็จะเป็นการยึดพื้นที่หรือคุ้มกันรถให้ไปถึงเป้าหมายโดยสวัสดิภาพ มีแผนที่รองรับมากมายโดยแต่ละแผนที่ก็จะมีเส้นทางการบุกกับป้องกันที่หลากหลายพร้อมทั้งมีสภาพพื้นที่แตกต่างกันไปอีกทำให้ผู้เล่นในทีมอาศัยความได้เปรียบจากแผนที่ได้และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ Overwatch เป็นเกมที่ไม่เน้นการฆ่าแต่จะเน้นทำภารกิจให้จบดังนั้นต่อให้ Kill เยอะแค่ไหนแต่ทีมแพ้ในแมทช์นั้นก็ถือว่าไม่มีประโยชน์ใด ๆ ครับ
นอกจากนี้บรรยยากาศในโลกของ Overwatch ที่เป็นแนวกึ่งแฟนตาซีนิด ๆ ทำให้มีตัวละครหลากหลายพื้นเพมากเพราะมีตั้งแต่หุ่นยนต์ , นักธนูจากญี่ปุ่น , นินจา , คาวบอย , นักฆ่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถูกผสมผสานรวมกันในโลกของ Overwatch ได้อย่างลงตัวไม่รู้สึกว่าฮีโร่ตัวใดตัวหนึ่งเป็นพวกประหลาดเลย
ระบบเสียงใน Overwatch ก็จัดว่าดีมากทีมงานพัฒนาได้ใส่ใจแม้กระทั่งบทพูดของตัวละครที่ส่งผลต่อการเล่นหรือบางทีมันอาจจะช่วยเหลือผู้เล่นด้วยครับอย่างเช่นถ้าหากเดิน ๆ ไปแล้วมีศัตรูแอบอยู่ด้านหลังหรือมีป้อมปืนอยู่ใกล้ ๆ ตัวละครของเราก็จะพูดเตือนให้ระวังหรือฮีโร่บางตัวบางตัวจะมีสกิลที่ส่งเสียงได้ยินทั้งแผนที่ซึ่งถ้าหากผู้เล่นได้ยินก็สามารถรับมือได้ว่าควรจะทำอย่างไรอาจจะหลบเข้าที่กำบังหรือวิ่งหนีเพื่อไม่ให้โดนลูกหลงเพราะสกิลที่ได้ยินเสียงทั้งแผนที่จะมีความรุนแรงมากและมีอาณาเขตกว้างมากเช่นกัน
ฉะนั้นจึงเรียกได้ว่า Overwatch เป็นเกมที่รวม FPS และ MOBA ได้ลงตัวแถมยังเพิ่มความมันส์อีกระดับมีฮีโร่ มีแผนที่อันหลากหลายเปิดกว้างให้ผู้เล่นสามารถใช้ทักษะพลิกแพลงได้เต็มที่ ฮีโร่ทุกตัวมีจุดเด่นคนละแบบ ตัวเกมเน้นพึ่งพาอาศัยใช้ความสามัคคี Teamwork เป็นหลักมุ่งเน้นทำภารกิจหลักให้สำเร็จมากกว่าการไล่ฆ่าอย่างเดียว มีระบบอื่น ๆ ที่ใส่ใจอย่างเช่นเสียงของตัวละครที่มีส่วนช่วยในการเล่นให้ง่ายขึ้นและกราฟิกการดีไซน์ของตัวละครในเกมถือว่าสวยงามเป็มมิตรเน้นแฟนตาซีกึ่งไซไฟนิด ๆ สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัยแต่มีข้อเสียตรงที่ความสมดุลในเกมที่ยังคลุมเครือบวกกับถ้าหากเล่นคนเดียวไม่มีเพื่อนอาจจะลำบากในการร่วมมือกับคนอื่นเล็กน้อยเพราะเหมือนว่า Overwatch ถูกสร้างมาให้เล่นกับเพื่อนพร้อมกันมากกว่าลุยเดี่ยวคนเดียว
Overwatch (PS4 , Xbox One , PC)
ผู้พัฒนา: Blizzard
ผู้จัดจำหน่าย: Blizzard
วันวางจำหน่าย: 24 พฤษภาคม 2016
Minimum Requirements
- OS: Windows Vista/7/ 8/10 64-bit (latest Service Pack)
- Processor: Intel Core i3 or AMD Phenom X3 865
- Video: Nvidia GeForce GTX 460, ATI Radeon HD 4850, or Intel HD Graphics 4400
- Memory: 768 MB VRAM, 4 GB System RAM
- Storage: 7200 RPM with 5 GB available HD space
Recommend Requirements
- OS: Windows Vista/7/ 8/10 64-bit (latest Service Pack)
- Processor: Intel Core i5 or AMD Phenom II X3, 2.8 GHz
- Video: Nvidia GeForce GTX 660 or ATI Radeon HD 7950
- Memory: 2 GB VRAM, 6 GB System RAM
- Storage: 7200 RPM with 5 GB available HD space
PCGAMER Score: 88/100
ที่มา: PCGAMER
