เปิดตัวกันไปอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone SE (โดยย่อมาจาก Special Edition) ซึ่งเป็น iPhone รุ่นล่าสุดจากทาง Apple โดยไม่ใช่ iPhone รุ่นใหม่ที่ต่อยอดมาจาก iPhone 6s แต่อย่างใด แต่เป็น iPhone ที่ได้รับการปรับปรุงจาก iPhone 5s ในเรื่องของสเปกและฟีเจอร์การทำงาน ให้มีความสามารถเท่าเทียมกับ iPhone 6s แต่หน้าตาดีไซน์นั้นโดยรวมแล้วยังคงเป็น iPhone 5s อยู่ โดยมีการเพิ่มสีให้มีสีโรสโกลด์ เพิ่มเข้ามา ทำให้รวมกับของเดิมอย่าง เงิน, ทอง, เทาสเปซเกรย์ ก็เป็น 4 สี สนนราคาก็ไม่แพงมากโดยอยู่ที่ 399 เหรียญสหรัฐ หรือตกเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาทเท่านั้น
สเปก iPhone SE
- หน้าจอขนาด 4 นิ้ว ความละเอียด 1136 x 640 พิกเซล 326 ppi
- ชิปประมวลผล Apple A9 พร้อมเทคโนโลยี 64 bit
- มาพร้อมชิปตัวช่วย M9 สามารถวัดความดัน, ความสูงได้
- หน่วยความจำภายใน 16/64 GB
- มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 9.3
- กล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.2 พร้อม True-Tone Flash
- รองรับการถ่ายวีดีโอ 4K และ Live Photos
- กล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล f/2.4 พร้อม Retina Flash
- รองรับการใช้งาน 4G LTE
- รองรับซิมการ์ดแบบ Nano Sim
- รองรับ VoLTE สามารถสนทนาโทรศัพท์ผ่านคลื่น LTE ได้เลย
- มีด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีเทา, สีเงิน, สีทอง และสี Rose Gold
- สนทนาได้ต่องเนื่อง 14 ชั่วโมง บนการเชื่อมต่อ 3G
- ราคาประมาณ 15,000 บาท (16 GB) และ 17,500 บาท (64 GB)
จุดเด่นของ iPhone SE อยู่ที่สเปคแบบจัดเต็ม (แทบจะ) ไม่มีกั๊ก เรียกว่าถอดสเปคจาก iPhone 6s ที่เป็นรุ่นท็อปสุดของ Apple ในปี 2015 ออกมาเลยทีเดียว โดยเฉพาะการเลือกใช้ชิป Apple A9 ที่มีการประมวลผลที่เร็วกว่าตอน iPhone 5s ถึง 2 เท่า ส่วนการประมวลผลกราฟฟิค iPhone SE ทำได้ดีกว่า iPhone 5s ถึง 3 เท่า
กล้องถ่ายรูปของ iPhone SE ก็มาเต็มที่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รองรับกรถ่ายวีดีโอ 4K กับ Live Photos เช่นเดียวกับ iPhone 6s แถมยังใช้ระบบโฟกัสแบบเดียวกันอีกต่างหาก ส่วนกล้องหน้าอันนี้ลดสเปคลงมาเท่าตอน iPhone 6 เป็นกล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล แต่ก็ยังมี Retina Flash ติดมาให้นะ
การรองรับ 4G อันนี้ก็โดนตัดสเปคลงมาจากตัว iPhone 6s พอสมควร เพราะ iPhone SE รองรับ 4G LTE Cat 4 ที่ความเร็วสูงสุด 150 Mbps ส่วน iPhone 6s นั้นรองรับ 4G LTE Cat 6 (450 Mbps) นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์อื่นๆ ของ iPhone SE ก็คือฟีเจอร์ใน iOS 9.3 ครับ เช่น Night Shift หรือการรองรับคำสั่ง “หวัดดี Siri”
สำหรับการวางจำหน่าย iPhone SE พร้อมวางจำหน่ายในปลายเดือนมีนาคมนี้สำหรับ 12 ประเทศแรก (ไม่มีไทย) ส่วน Phase 2 (ที่คาดว่าจะมีไทยด้วย) iPhone SE จะวางขายประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ช่องทางการวางจำหน่าย iPhone SE ก็น่าจะเหมือนเดิม คือการซื้อผ่านโอเปอเรเตอร์ AIS, Truemove-H และ dtac หรือไม่ก็ต้องสั่งผ่าน Apple Online Store เอาก็ได้ ตามแต่สะดวก
ราคา iPhone SE หากอิงจากทางอเมริกาก็จะมีราคาอยู่ที่ 399เหรียญสหรัฐ สำหรับ iPhone SE ความจุ 16 GB ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 15,000 บาท และราคา 499เหรียญสหรัฐ สำหรับ iPhone SE ความจุ 64 GB ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 17,500 บาท โดย iPhone SE จะวางจำหน่ายในประเทศไทยช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2016
อย่างไรก็ตามสำหรับ iPhone SE ที่มีราคาไม่แพงนัก (เมื่อเทียบกับ iPhone ด้วยกันนะ) มาจากการที่ดีไซน์ยังคงเหมือนเดิมเหมือน iPhone 5s แล้วก็หน้าจอเล็ก รวมไปถึงไม่มี 3D Touch ด้วยไง ฉะนั้นก็ไม่ต้องไปแปลกใจมากครับ
สุดท้ายหรือคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ? Apple ถึงทำ iPhone SE มาขาย ก็เพราะเงินยังไงล่ะ !!!
โดยที่ผ่านมา iPhone รุ่นจอเล็กยังคงขายได้ดีอย่าง เพราะในปีที่แล้ว Apple ทำยอดขายเฉพาะรุ่นจอ 4 นิ้วไปได้กว่า 30 ล้านเครื่อง ด้วยเหตุผลหลักคือยังมีคนต้องการ iPhone จอเล็กอยู่ (6s หรือ 6s Plus ใหญ่เกินไป) อีกทั้งยังมีคนจากระบบปฏิบัติการอื่นย้ายเข้ามาลอง iOS จึงทำให้การที่ Apple ยังคงขาย iPhone 5s ด้วยสเปคที่อายุเข้าสองปีแล้วคงจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ทั้งคนใช้งานเอง รวมไปถึงฮาร์ดแวร์ภายในก็เก่าจนเกินไป ทำให้ต้องมีการออก iPhone SE ออกมาเพื่อทำให้สเปกเครื่องเป็นปัจจุบัน ทำให้มีความสดใหม่กว่าเดิม และยังเป็นเรื่องที่ดีสำหรับทั้งสองฝ่ายอีกด้วย จากการที่ Apple ได้เงินและคนซื้อก็ได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี
สรุปก็คือ ใครยังต้องการ iPhone จอเล็ก แต่สเปกภายในแรงเทียบเท่ากับ iPhone 6s ล่ะก็ iPhone SE ตอบโจทย์ตรงนี้แน่นอน ราคาก็ไม่แพงจนเกินไปด้วย อยู่ที่ประมาณ 15,000 บาทเท่านั้นเอง เชื่อว่าภายในเดือนพฤษภาคมนี้ คงได้เสียเงินกันแน่นอน