Steve Jobs ผู้มีชื่อเสียงที่เคยกุมบังเหียนของ Apple เคยพูดเอาไว้ครับว่า “ผู้คนจะไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไรหรอกจนกระทั่งพวกเขาได้เห็นมัน” ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ Jobs ว่าเอาไว้นะครับแต่ทาง Ben Lovejoy เจ้าของบทความต้นฉบับเขาขอเพิ่มประโยคต่อเข้าไปอีกหน่อยว่า “บางครั้งแล้วเราก็ไม่รู้หรอกว่าเราต้องการอะไรจนกว่าเราจะได้ใช้มันไปแล้วสักพัก”(ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเห็นด้วยกับประโยคของ Lovejoy มากๆ เลยครับ)
ทั้งนี้ Lovejoy เจ้าของบทความต้นฉบับนั้นก็มีอายุมากพอสมควร และได้เห็นอะไรหลายๆ อย่างของ Apple ตั้งแต่เครื่อง Mac รุ่นแรกเปิดตัวและออกจำหน่ายหล่ะครับ ในกรณีนี้นั้น Lovejoy บอกเอาไว้เลยครับว่าเขาอยากได้ Mac รุ่นแรกตั้งแต่ตอนที่เขาได้เห็นมันจริงๆ เขาให้เหตุผลประกอบเอาไว้ว่าที่เขาต้องการ Mac นั้นก็เนื่องมาจากว่ามันเป็นสิ่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ควรจะเป็นควรจะทำงานแบบนั้น ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ต้องเสียในการซื้อ Mac รุ่นแรกในตอนนั้นบวกกับ second floppy drive และ ImageWriter printer ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่ค่อนข้างจะน่ากลัวเป็นอย่างมาก ฯ ช่วงเวลานั้นแต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความต้องการของ Love Joy ได้ครับ
เวลาผ่านไป พอมาถึงในยุคของ iPad แล้วนั้น Lovejoy บอกว่าเรื่องมันกลับเป็นอีกแบบหนึ่งครับ Lovejoy ได้ทำการตัดสินใจซื้อ iPad ก็ด้วยความตั้งใจที่ว่ามันคงไม่มีอะไรมากมายไปกว่าเป็นหนังอีกม้วนหนึ่งที่เทียบเท่ากับ Kindle(ที่เขาใช้งานอยู่) ทว่าในระยะเวลาไม่นานนัก iPad ก็ได้กลายเป็นอุปกรณ์เคลื่อนที่หลักที่เขาใช้ในการทำงานไปซะอย่างงั้นครับ
ผ่านมาอีกจนถึงช่วงเวลาของ Apple Watch ก็กลายเป็นอีกแบบหนึ่งอีกแล้วครับ Lovejoy นั้นเริ่มต้นจากการเป็นคนที่ขี้ระแวงสงสัยในเรื่องของสมาร์ทวอทช์และตอนนี้เขาก็ได้หลอมรวมเข้ากับสมาร์ทวอทช์ไปแบบเต็มๆ ตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นแล้วทาง Lovejoy เองก็เลยคิดว่ามันคงจะน่าสนใจไม่น้อยที่เราจะใช้เวลาสั้นๆ ในการมองย้อนกลับไปถึงการเดินทางของ Apple Watch ในอดีต และมองไปถึงอนาคตข้างหน้าของ Apple Watch สักนิดครับว่ามันจะเป็นเช่นไร
หมายเหตุ – บทความนี้เป็นความคิดเห็นของ Ben Lovejoy ซะส่วนใหญ่ โดยจะมีการอิงข้อมูลจริงตามแต่ละส่วนไปครับ
ก่อนหน้าที่ Lovejoy จะได้เป็นเจ้าของ Apple Watch นั้น สมาร์ทวอทช์ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ติดค้างอยู่ในความรู้สึกของ Lovejoy ครับว่ามันคงไม่ได้ทำอะไรได้มากเหนือไปกว่าที่ iPhone สามารถทำได้(ถึงแม้ว่ามันจะมีการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจและแสดงผลออกมาให้ดูแบบอัตโนมัติก็ตาม) และมันก็ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยครับที่จะมาจูงใจให้ Lovejoy อยากจะจ่ายเงินเพิ่มในการซื้ออุปกรณ์อีกตัวหนึ่งที่โดยรวมแล้วการทำงานก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอุปกรณ์อื่นๆ ที่เขามีอยู่เลย
อย่างไรก็ตามแต่ใช่ว่า Lovejoy จะไม่ใยดี Apple Watch เลยนะครับ เพราะโดยส่วนของเขาเองแล้วเขารู้สึกว่า Apple สามารถสร้าง Apple Watch โมเดลปัจจุบันออกมาได้เป็นอย่างดีตามแบบฉบับของ Apple และถึงแม้ในขณะที่ตัวเขาเองนั้นก็ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่จะซื้อ Apple Watch มาใช้สักเรือน ทว่าเขากลับไปคิดว่าเขาอาจจะได้เห็นศักยภาพของมันเมื่อเขาทำการซื้อมันมาใช้งานสักพักหนึ่ง(อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่าเขาเป็นคนที่มีความคิดที่ว่าบางทีแล้วเราก็รู้ว่าเราต้องการอะไรเมื่อเราได้ทำการใช้งานมันไปสักพัก) และได้ลองค้นหาว่าเขาจะสามารถใช้งานมันให้มีประโยชน์ได้อย่างไรบ้าง และบวกด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็น gadget ตัวหนึ่ง(ซึ่งเขาทำงานทางด้านนี้) ดังนั้นแล้วทำไมเขาจึงต้องการเหตุผลดีๆ ในการที่จะต้องซื้อ gadget ตัวหนึ่งมาใช้ ในที่สุดเขาก็ซื้อมันมาใช้ครับ
มาดูกันครับความรู้ศึกของ Lovejoy ในช่วงอาทิตย์แรกที่ได้ใช้งาน Apple Watch นั้นเป็นอย่างไร
- การใช้งานวันแรก : เขาเริ่มต้นที่จะมองเห็นประโยชน์ของการแจ้งเตือนที่มาปรากฎอยู่บนข้อมือของเขาครับ แต่ว่าเขาก็ไม่เห็นด้วยเลยกับรูปลักษณ์ของมันครับ(หรือง่ายๆ ก็คือเขารู้สึกว่าเวลาสวมใส่ Apple Watch แล้วมันไม่ค่อยจะเข้ากับเขาเท่าไร) และเขาไม่คิดว่าเขาจะเก็บมันเอาไว้ครับ
- การใช้งานในวันที่สี่ : เขาเริ่มรู้สึกดีกับรูปลักษณ์ของ Apple Watch ตอนที่เขาสวมใส่มันครับ(จะว่าซื่อๆ เลยก็คือเริ่มชินกับการมองเห็น Apple Watch บนข้อมือตัวเองหล่ะครับ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาทำการเปลี่ยนสายรัดข้อมือจากสีขาวมาเป็นสีดำทำให้เขารู้สึกว่ามันเข้ากับตัวเขามากขึ้น(จริงๆ แล้วเขาต้องการจะซื้อ Apple Watch ที่มาพร้อมกับสายรัดสีดำอยู่แล้วแต่ในวันแรกที่ซื้อนั้นเขาดันไปซื้อเรือนที่มาพร้อมกับสายรัดสีขาวครับ) พอมาดูในส่วนของ UI หรือส่วนต่อประสานแล้วนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับมันมากขึ้นครับ สำหรับระบบแจ้งเตือนนั้นทำให้เขาพบกับความสะดวกสบายมากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่เขาต้องใส่เสื้อซ้อนกันหลายๆ ชั้น Apple Watch ก็ยังสามารถที่จะทำงานของมันได้ดีอยู่ Activity rings นั้นดึงดูดเขาเป็นอย่างมาก และแอปพลิเคชันบางแอปก็ได้เริ่มพิสูจน์ให้เขาเห็นว่ามันมีคุณค่าในการใช้งานครับ
- การใช้งานในวันที่เจ็ด : เขายังคงมีมุมมองว่าไม่มีใครต้องการ Apple Watch อยู่ดีครับ แต่ทว่าก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ามันมีประโยชน์จริงๆ Lovejoy สารภาพตรงๆ ครับว่า Apple Watch นั้นถือได้ว่าเป็น gadget ที่เยี่ยมเอามากๆ
ถึงแม้ว่าการใช้งาน Apple Watch เดือนหนึ่งผ่านไปนั้นเขาจะไม่ได้รู้สึกว่า Apple Watch เป็น gadget ใหม่ที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันเจ๋งอีกต่อไป(เอาง่ายๆ ก็คือมันเก่าแล้วนั่นแหละครับ) แต่ทว่า Apple Watch ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยครับ Apple Watch นั้นถือได้ครับว่าเป็นอุปกรณ์เล็กๆ ตัวหนึ่งที่เข้ามาเติมเต็มความสะดวกสบายให้กับชีวิตประจำวันของ Lovejoy ไปเป็นที่เรียบร้อยครับ
การมาถึงของบริการ Apple Pay ในสหราชอาณาจักรนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่เข้ามาเติมเต็มความสะดวกสบายในการใช้งาน Apple Watch ให้ Lovejoy ได้เป็นอย่างสมบูรณ์แบบครับ(Apple Pay เปิดตัวให้ใช้งานได้ในสหราชอาณาจักร 3 เดือนหลังจากที่ Lovejoy ใช้งาน Apple Watch มา) อย่างไรก็ตามแต่ Apple Pay นั้นก็ไม่ได้ถือว่าเป็นแอปพลิเคชันตัวเจ๋งที่เพิ่มขึ้นมาบน Apple Watch นะครับ แต่มันทำให้เขารู้สึกว่า Apple Watch นั้นสร้างความสะดวกสบายให้กับเขาเป็นอย่างมากและทำให้เขาคิดได้ว่า Apple Watch จะกลายเป็นอุปกรณ์ที่เปลี่ยนตัวเองอย่างช้าๆ ให้กลายเป็น “อุปกรณที่สำคัญครั้งแรกในโลก” ครับ
และนี่ก็คืออดีตที่ผ่านมาของ Apple Watch กับประสบการณ์การใช้งานของ Lovejoy และความรู้สึกที่เขามีต่อ Apple Watch ครับ ทาง Lovejoy เองก็ได้คิดต่อไปว่าในอนาคตนั้น Apple Watch ควรที่จะมีอะไรเพิ่มเติมอีกและได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงานของเขา และนี่คือสิ่งที่เขารวมเอาไว้ว่า Apple Watch น่าจะมีและควรจะเป็นในอนาคตครับ(ตามความคิดของตัวเขาเองและเพื่อนร่วมงานนะครับ)
อย่างแรกสุดเลยก็คือซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุดก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานครับ ผู้ใช้งาน Apple Watch นั้นอาจจะสังเกตเห็นครับว่ามีบางครั้งที่การเปิดแอปพลิเคชันบน Apple Watch นั้นเร็ว หรือบางครั้งก็ช้า ซึ่งไอ้ตอนที่มันเปิดช้านี่แหละครับที่คุณจะต้องมานั่งทนดูวงล้อหนุมๆ ที่ระบุว่า Apple Watch กำลังพยายามที่จะรันแอปพลิเคชันนั้นๆ อยู่
อาการดีเลย์ดังกล่าวนี้จะเห็นได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นเมื่อคุณพยายามที่จะทำการเปิดแอปพลิเคชันใหม่ที่คุณไม่เคยเปิดมาก่อน โดยคุณอาจจะต้องทนรอให้ Apple Watch ใช้เวลาอย่างน้อย 4 – 5 วินาทีกว่าที่จะเปิดแอปพลิเคชันนั้นๆ ขึ้นมาได้เลยครับ ตรงจุดนี้นั้นถือว่าไม่ควรจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหนครับเพราะอุปกรณ์ที่ควรต้องมองเห็นอยู่ในสายตาตลอดเวลา(หมายถึงอุปกรณ์ที่ควรจะใช้ในการบอกเวลาเป็นหลัก) ควรที่จะมีความเร็วในการรันหน้าจอหรือแอปพลิเคชันต่างๆ ได้ดีกว่านี้ครับ
ในส่วนนี้นั้นไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงผ่านทางฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์(หรือทั้งคู้แล้ว) Apple ก็ควรที่จะทำให้ประสิทธิภาพขอว Apple Watch นั้นเร็วมากพอที่จะทำให้การรันทุกๆ อย่างนั้นรู้สึกว่าเป็นการรันปุ๊บแล้วติดปั๊บครับ
อีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ Apple ควรที่จะรวมเอาอายุการใช้งานแบตเตอรี่และความสามารถในการชาร์จเร็วมาเพิ่มให้กับ Apple Watch ครับ สำหรับประสบการณ์การใช้งานส่วนตัวของ Lovejoy แล้วนั้นเขาพบว่า Apple Watch สามารถที่จะใช้งานได้อย่างสะดวกสบายและเพียงพอต่อการใช้งานผ่านช่วงวันปกติได้เป็นอย่างดี มีช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่เขาต้องประสบกับปัญหาเรื่องของเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ก็คือเมื่อเขาทำการท่องเที่ยวไปที่อื่นๆ ที่ไกลๆ อย่างข้ามทวีปเป็นต้นครับ(ในที่นี้ก็คือเป็นโซนของเวลาหรือ time-zones) เป็นระยะเวลานานๆ ข้ามวันครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้นจากการคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นของ Lovejoy นั้นพบว่าผู้อื่นนั้นไม่ได้โชคดีแบบเขาครับ ส่วนหนึ่งนั้นก็เนื่องมาจากการที่การเริ่มต้นของวันของเพื่อนร่วมงานเขานั้นเร็วกว่า Lovejoy(เอาง่ายๆ ก็คือเพื่อนร่วมงานของ Lovejoy เริ่มต้นวันเร็วกว่า Lovejoy ครับ) และบางคนนั้นก็มีลักษณธการใช้งาน Apple Watch ที่แตกต่างไปจาก Lovejoy พอสมควรทำให้แบตเตอรี่นั้นไม่สามารถที่จะอยู่ได้ทั้งวันครับ
ทั้งนี้ถึงแม้ว่าโดยรวมส่วนใหญ่แล้ว Apple Watch จะมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ตลอด 1 วัน(ตามปกติในเวลาทำงาน) ก็ตาม แต่ทว่ามันก็ยังมีเหตุผลดีๆ ในการที่จะเพิ่มความจุของแบตเตอรี่บน Apple Watch ให้มากขึ้นครับไม่ว่าจะเป็นการใช้ Apple Watch ในเวลานอนเพื่อที่จะติดตามลักษณะการนอนหลับของผู้ใช้เป็นต้น โดยหากเป็นผู้ใช้ Apple Watch คนหนึ่งคุณจะสังเกตเห็นว่ามีแอปพลิเคชันมากมายที่รองรับการตรวจจับการนอนของคุณทว่าในความเป็นจริงแล้วแบตเตอรี่ของ Apple Watch นั้นไม่มากพอที่จะให้คุณสวมใส่เวลาที่คุณทำการนอนหลับได้และสุดท้ายมันก็จบลงที่เวลาคุณนอนคุณก็นำเอา Apple Watch ไปชาร์จไว้เพื่อที่จะได้ใช้ใหม่ในวันถัดไปแทนที่จะได้ใช้ความสามารถในการติดตามการนอนหลับนี้ครับ
วิธีการที่ Apple จะใช้ในการแก้ไขปัญหาเรื่องอายุการใช้งานแบตเตอรี่นั้น Apple น่าจะจดไว้สัก 2 วิธีด้วยกันครับ วิธีการแรกก็คือการเพิ่มอายุการใช้งานของแบตเตอรี่แบบมีนัยสำคัญครับ แต่วิธีการนี้นั้นน่าจะเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรครับ เพราะ Apple Watch นั้นไม่ใช่อุปกรณ์ที่ใช้หน้าจอแบบ E-Ink ที่มีความสามารถจะสวมบนข้อมือคุณได้ยาวนานเป็นอาทิตย์โดยที่ไม่ต้องนำออกมาชาร์จใหม่ ดังนั้นแล้วมันคงจะเป็นการยากครับที่จะทำให้ Apple Watch สามารถที่จะสวมใส่ไว้ทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่เอาออกมาชาร์จเลยได้
ดังนั้นแล้วแนวคิดที่ดีกว่านั้นก็การเพิ่มความสามารถในการชาร์จเร็วเข้าไปครับ Seth(เพื่อนร่วมงานของ Lovejoy) ได้ให้ข้อสังเกตเอาไว้ว่า Moto 360 ของ Seth นั้นสามารถที่จะทำการชาร์จจาก 35% ให้ไปเป็น 95% ได้ภายใน 40 นาทีเท่านั้น ซึ่งความสามารถในการชาร์จเร็วนี้นั้นก็ช่วยให้ Seth สามารถที่จะทำการใช้งาน Moto 360 ได้ตลอดทั้งวันครับ(เนื่องจากว่าถอดออกมาชาร์จทิ้งไว้ในช่วงเวลาเล็กน้อยในวันเท่านั้น) ด้วยความสามารถดังกล่าวนี้ทำให้ Moto 360 นั้นดูจะเป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถดีกว่าในการติดตามการนอนหลับของผู้ใช้งานครับ(เมื่อเทียบว่าเป็นสมาร์ทวอท์ชที่ไม่ได้ใช้หน้าจอ E-Ink แบบเดียวกัน)
เหตุผลหลักเลยที่ทำให้ Lovejoy ระแวงที่จะซื้อ Apple Watch มาใช้งานในตอนแรกนั้นก็คือการที่ดูๆ ไปแล้วนั้นมันเหมือนกับว่าจะเป็นอุปกรณ์เสริมที่จะต้องนำมาใช้งานร่วมกับ iPhone โดยที่ไม่สามารถจะทำการแยกออกจาก iPhone ไปได้ไกลๆ นักได้ครับ ดังนั้นแล้วการเพิ่มชิปเซ็นเซอร์เข้าไปบน Apple Watch นั้นดูน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่านี้ครับเพราะหากยอมรับกันตรงๆ แล้วหล่ะก็เมื่อ Apple Watch อยู่ห่างจาก iPhone ไปมากๆ แล้ว Apple Watch นั้นก็ไม่สามารถใช้งานฟีเจอร์หลายๆ อย่างได้ครับ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลย(และควรจะมีเข้ามาด้วย) ก็คือชิปเซ็นเซอร์ GPS ครับ เนื่องด้วยความสามารถในการติดตามการออกกำลังกาย(ในที่นี้คือการวิ่ง) ของผู้ใช้ได้ แต่ว่าข้อเสียอย่างใหญ่หลวงที่ผู้ใช้เจอก็คือเวลาที่พวกเขาออกไปวิ่งโดยไม่พก iPhone ไปด้วยแล้วหล่ะก็ Apple Watch จะจับระยะทางได้เพี้ยนไปจากเดิมครับ ทั้งนี้แล้วหากเป็นไปได้จริงๆ นอกเหนือไปจากการเพิ่ม GPS เข้าไปบน Apple Watch แล้ว การเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อเครือข่าย 3G หรือ 4G LTE เข้าไปนั้นก็น่าจะเป็นอีกเรื่องที่ถ้ามีได้ก็น่าจะดีครับ เพราะถ้ามีได้แล้วจริงๆ และ Apple Watch สามารถที่จะใช้ในการโทรออกได้เองแล้ว เวลาที่คนไปออกวิ่งเข้าป่าแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาพวกเขาก็จะได้สามารถทำการโทรแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายได้ครับ
ในส่วนของการปรับปรุงทางด้านฮาร์ดแวร์แล้วมีอยู่ 2 – 3 อย่างที่ทาง Lovejoy และเพื่อนร่วมงานอยากจะเห็นบน Apple Watch ดังต่อไปนี้ครับ
- ความสามารถในการกันน้ำได้ : ถึงแม้ว่า Apple Watch ในรุ่นปัจจุบันจะสามารถกันน้ำได้ในระดับที่น่าพอใจอยู่แล้วทว่าหลายๆ คนน่าจะรู้สึกสบายใจมากกว่าถ้ามันมาพร้อมกับความสามารถในการกันน้ำได้อย่างสมบูรณ์แบบ แบบที่ได้รับมาตรฐานเหมือนกับสมาร์ทวอทช์ของผู้ผลิตรายอื่นๆ ครับ การที่มีผู้ใช้หลายๆ รายถ่ายภาพการใช้งาน Apple Watch ใต้นำให้เราๆ ท่านๆ ได้เห็นกันนั้นก็ไม่ได้การันตีในเรื่องนี้ด้วยครับว่าหวยจะไม่ไปออกกับท่าน ดังนั้นแล้วการมาพร้อมกับมาตรฐานการกันน้ำอย่างเป็นทางการน่าจะสร้างความอุ่นใจให้ผู้ใช้งานได้ดีกว่าครับ
- ความสามารถในการมองเห็นได้เมื่ออยู่ภายใต้สภาวะแสงแดง : คงไม่มีใครปฎิเสธครับว่ากระจกจอของ Apple Watch ที่ทาง Apple เลือกใช้ sapphire นั้นแข็งแรงและค่อนข้างจะทนกับรอยขีดข่วนได้ดีทีเดียว ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้น Apple Watch รุ่นที่มาพร้อมกับกระจกหน้า sapphire นั้น(โมเดล steel และ Edition) กลับมีปัญหาเรื่องการแสดงผลได้ไม่ค่อยดีเมื่อใช้นอกสถานที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานกลางแดดครับ เพราะมันจะอ่านสิ่งที่แสดงผลค่อนข้างยากมาก ในทางกลับกันแล้วรุ่นที่ราคาถูกกว่า(Sport) ที่ไม่ได้มาพร้อมกับกระจกหน้า sapphire นั้นสามารถที่จะสู้แสงได้ดีกว่าครับ
- เพิ่มเซ็นเซอร์ทางด้านสุขภาพต่างๆ เข้าไปในตัว : เมื่อครั้งที่ Apple Watch ยังถูกลือว่าจะมาในชื่อ iWatch นั้น มีข่าวลือออกมาค่อนข้างหนาหูมากเลยทีเดียวครับว่าเจ้า iWatch หรือ Apple Watch นี้จะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ทางด้านการตรวจจับข้อมูลสุขภาพภายในตัวด้วย ทว่าเมื่อ Apple Watch ออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการนั้นเราๆ ท่านๆ ก็ได้เห็นแล้วครับว่ามันไม่มีเซ็นเซอร์ดังกล่าวมาด้วยแต่อย่างใดเลย เหตุผลในเรื่องนี้ก็คือการที่ Apple Watch จะมาพร้อมกับเซ็นเซอร์ทางด้านสุขภาพต่างๆ นั้นจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบรับรองจากทาง FDA(องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้วุ่นวายและใช้เวลาค่อนข้างที่จะมากเลยทีเดียวครับทำให้ทาง Apple ตัดสินใจที่จะไม่ใส่เซ็นเซอร์ทางด้านสุขภาพใดๆ บน Apple Watch เลยซึ่งทำให้ลักษณะการใช้งานนั้นดูด้อยลงไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งในด้านนี้
- เรื่องสุดท้ายเลย UI หรือส่วนต่อประสานของหน้าจอแอปพลิเคชัน : หากจะพูดถึงเรื่อง UI หรือส่วนต่อประสานของ Watch OS แล้วนั้นต้องบอกเลยครับว่า Apple ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีเพราะมันดูดีอย่างมากๆ จะเว้นก็แต่เพียงในส่วนของหน้าจอแสดงแอปพลิเคชันรวม(Apps Screen) ที่ไอคอนแทนแอปพลิเคชันบนหน้าจอนี้นั้นเล็กเกินไปครับ ยิ่งเวลาที่คุณมีแอปพลิเคชันบน Apple Watch มากๆ แล้วหล่ะก็จะเห็นได้ชัดเจนหล่ะหล่ะครับว่ามันแกะกะ รก ไม่มีไอคอนไหนโดดเด่นขึ้นมาและเลือกใช้งานค่อนข้างยากด้วยบนหน้าจอของ Apple Watch ที่มีขนาดเล็ก ที่หนักไปกว่านั้นก็คือแอปพลิเคในหน้าจอดังกล่าวนี้เมื่อเปิดขึ้นมาจะเรียงแบบสุ่มทุกๆ ครั้งอีกต่างหากคุณไม่สามารถที่จะจัดและล๊อคตำแหน่งของไอคอนแอปพลิเคชันได้เลยครับ โดยส่วนตัวแล้ว ณ เวลานี้ Lovejoy ใช้วิธีการแก้ปัญหาในการเปิดแอปพลิเคชันด้วยการสั่งงานผ่านทาง Siri เอาครับ(แต่คนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ ที่สำเนียงไม่ค่อยดีนึกอาจจะไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ได้)
อย่างไรก็ตามแต่แล้วประสบการณ์การใช้งานและความชอบของแต่ละท่านอาจจะไม่เหมือนกับครับ บางท่านอาจจะเห็นต่างไปจาก Lovejoy ทั้งนี้เชื่อครับว่าเราคงมีโอกาสได้เห็น Apple Watch 2 ออกมาจำหน่ายอย่างแน่นอน คุณๆ ที่ใช้งาน Apple Watch อยู่อยากจะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางด้านฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์บน Apple Watch ในรุ่นถัดไปอย่างไรบ้างครับลองๆ แชร์กันหน่อยครับ
ที่มา : 9to5mac