คาดว่าอีกไม่นานเราก็คงได้เห็นไดรเวอร์ล่าสุด Catalyst จากทาง AMD โดยที่ Sunnyvale ได้มีการประกาศยกเลิกแบรนด์ไดรเวอร์ AMD Catalyst พร้อมการออกไดรเวอร์คอลเลกชั่นใหม่ที่จะรู้จักกันในชื่อ Radeon software
ครั้งนี้ถือเป็นการรีแบรนด์ครั้งแรก หลังการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากการปรับผังในส่วนของการพัฒนากราฟฟิกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยจะเป็นการพัฒนาสิ่งใหม่ขึ้นจาก Radeon Technology Group (RTG) ซึ่ง RTG จะอยู่ในส่วนของการพัฒนาด้านกราฟฟิกทั้งหมดของบริษัท และจะมุ่งเน้นไปที่ซอฟต์แวร์ เพื่อเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการเล่นเกมของเหล่าเกมเมอร์และนักพัฒนาที่ใช้โปรดักส์ของ AMD
ทาง AMD ได้เริ่มต้นกับการออกแบบซอฟต์แวร์ไดรเวอร์ Radeon ด้วยสีแดงเข้ม และชื่อของในแต่ละรุ่นก็จะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และเปลี่ยนไปตามปี จะมีรูปแบบของชื่อเป็น YY.MM โดยทาง AMD ยังพัฒนาอินเทอร์เฟส (UI) ที่เป็นกันเองกับผู้ใช้ที่ทันสมัยมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ AMD ยังได้เน้นที่ความเรียบง่ายในการควบคุมใช้งานซอฟต์แวร์ใหม่นี้ โดยซอฟต์แวร์ดังกล่าวยังเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Radeon : Crimson edition ส่วน Catalyst Control Center จะเป็นช่องทางในการปรับแต่งที่เรียกว่า Radeon หรือ FirePro settings
ในการทำงานของ Radeon Settings จะมีเมนูย่อยสำหรับการตั้งค่า ที่ถูกจัดเรียงอยู่บนขอบด้านบนให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น เกม วีดีโอ การแสดงผลและ Eyefinity มีส่วนของแท็ป อัพเดต, Preference และ Notification จัดเรียงอยู่ด้านล่าง สังเกตได้ว่าในส่วนของ Settings จะถูกจัดวางไว้ในเมนูด้านของ
ฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Game Manager จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดและตั้งค่าในแต่ละเกม การออกแบบเน้นไปที่ UI ใหม่ ค่อนข้างชัดเจนในรูปแบบที่ให้ความรู้สึกของ Windows 10 โดยที่คุณสามารถมองเห็นหน้าไอคอนเกมในแบบของ Tile หลายตัวในหน้าจอเดียว นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าโพรไฟล์ในการโอเวอร์คล็อกได้ด้วยตัวเองสำหรับแต่ละเกม หรือแม้กระทั่งการปิดการโอเวอร์คล็อกอย่างสิ้นเชิง ในกรณีที่การโอเวอร์คล็อกไม่มีเสถียรภาพกับเกม
สุดท้ายก็คือ การเปิดเข้าใช้งานได้อย่างรวดเร็วกว่า Catalyst ในรุ่นก่อน ที่ใช้เวลาเฉลี่ยในการโหลดประมาณ 8 วินาที ซึ่งทาง AMD ได้อ้างถึงการโหลดโปรแกรมใหม่นี้ได้ในเวลาเฉลี่ยเพียง 0.6 วินาที ซึ่งในคอมพิวเตอร์พีซีเกมมิ่งจะยิ่งเร็วกว่าเดิมจากการฮาร์ดแวร์ระดับไฮเอนด์ ซึ่งหากดูตามที่ AMD วางเอาไว้ เราจะได้เห็น Radeon software : Crimson edition ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไป
ที่มา : hardwarezone