นอกจากจะมีการเปิดตัว Dell XPS 15 รุ่นรีเฟรชปลายปี 2015 ไปแล้วทาง Dell ยังได้มีการเปิดตัว XPS 13 รุ่นรีเฟรชปลายปี 2015 อย่างเป็นทางการออกมาอีกด้วยครับ ซึ่งหากจะว่าไปแล้ว XPS 13 รุ่นรีเฟรชปลายปี 2015 นั้นไม่ได้มีสเปคแตกต่างไปจากรุ่นใหญ่อย่าง XPS 15 รุ่นรีเฟรชปลายปี 2015 มากเท่าไรนัก สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนก็คือในเรื่องของขนาดหน้าจอ ขนาดตัวเครื่องที่เน้นการเจาะกลุ่มเป้าหมายคนละตลาดกันเท่านั้นครับ
โดยรวมแล้ว XPS 13 รุ่นรีเฟรชปลายปี 2015 จะมีออกมาให้เลือกซื้อกันหลากหลายโมเดล ซึ่งจะมีสเปคตัวเลือกดังต่อไปนี้ครับ
- มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 13 นิ้วรองรับการสัมผัส มีโมเดลที่รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ QHD+ หรือ 3,200 x 1,800 pixels มาให้เลือก
- หน่วยประมวลผลเป็น Intel Gen-6 Skylake มีตัวเลือกทั้ง Core i3, i5 และ i7
- หน่วยความจำ(RAM) ในโมเดลต่ำสุดจะมาพร้อมกับขนาด 4 GB แต่สามารถที่จะอัพเกรดได้สูงทุดที่ขนาด 16 GB
- แหล่งเก็บข้อมูลภายในเป็นแบบ HDD และ SSD โดยจะมีตัวเลือกให้เลือกที่ขนาดความจุสูงสุด 1 TB (SSD)
- จะมีโมเดลที่มาพร้อมกับชิปกราฟิกแยกของ Nvidia พร้อมด้วยหน่วยความจำสำหรับกราฟิกแบบ GDDR5(รุ่นของชิปกราฟิกและขนาดของหน่วยความจำขึ้นอยู่กับแต่ละโมเดล)
- หน้าจอจะรองรับช่วงสี sRGB ถึง 100%
- มาพร้อมกับพอร์ทเชื่อมต่อแบบ Thunderbolt 3(ซึ่งจะเป็นแบบที่ใช้หัวเชื่อมต่อแบบเดียวกันกับ USB 3.1 Type-C ทำให้รองรับอุปกรณ์ที่ใช้หัวเชื่อมต่อแบบ USB 3.1 Type-C ได้ด้วย โดยจะมีอัตราความเร็วในการการโอนถ่ายข้อมูลอยู่ที่ 10 Gbps หรือตามมาตรฐาน USB 3.1 gen 2)
- แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 18 ชั่วโมงต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง(ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการใช้งาน)
- ตัวเครื่องใช้วัสดุเป็น carbon fiber และ aluminum
- หน้าจอมาพร้อมกับเทคโนโลยี InfinityEdge displays ที่ลดขอบหน้าจอลงไปอย่างมาก
- กล้อง Webcam อยู่ทางด้านล่างของหน้าจอ
จุดเด่นที่ Dell ยังคงทำได้ดีอยู่กับ XPS 13 รุ่นรีเฟรชปลายปี 2015 ก็คือมันมาพร้อมกับความหรูหรา เบาบาง น่าใช้งาน(โดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจ) เป็นอย่างยิ่งเหมือนกับรุ่น XPS 13 รุ่นเดิมครับ จะมีข้อติก็ตรงที่กล้อง Webcam ที่ดันไปอยู่ด้านล่างหน้าจอทำให้เวลาเปิดกล้องนั้นจะเป็นมุมเสยขึ้นไปเห็นหลังคา(แต่บางท่านอาจจะชอบก็ได้) ทั้งนี้ XPS 13 รุ่นรีเฟรชปลายปี 2015 นั้นเริ่มเปิดให้จองแล้ว(ในสหรัฐอเมริกา) โดยจะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $799 หรือประมาณ 28,770 บาทครับ
ที่มา : arstechnica