ในเดือนกันยายนนี้ถือว่าเป็นเดือนที่มีเกมออกใหม่กันมากพอสมควรทีเดียวและในบรรดาเกมที่ออกมาใหม่นั้นก็ดันมีเกมประเภทเดียวกันและยังเป็นคู่ปรับตลอดกาลออกมาไล่เลี่ยกันอีกด้วยซึ่งจะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจาก FIFA 16 และ PES 2016 และแน่นอนว่าการออกวางจำหน่ายในเวลาใกล้ ๆ กันแบบนี้ก็คงไม่พ้นการนำไปเปรียบเทียบว่าเกมไหนดีกว่ากันและวันนี้ทางเว็บไซต์ Kotaku ที่ได้สัมผัสกับเกมทั้ง 2 มาเรียบร้อยแล้วก็จะมาบอกว่าทั้งคู่มีข้อดีข้อเสียอะไรกันบ้างไปชมกันเลย
สำหรับการเปรียบเทียบกันระหว่าง FIFA 16 และ PES 2016 ก็จะขอแบ่งเป็นหัวข้อ ๆ ดังต่อไปนี้ครับ
กราฟิก/ระบบฟิสิกส์ในเกม
PES 2016
ใน PES 2016 แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการยกเครื่องใหม่ทั้งหมดเลยทีเดียวในส่วนนี้ด้วยการบริการของ FOX Engine จึงทำให้ภาพภายในเกมมีความสวยงามมากทั้งตัวรายละเอียดนักเตะหรือสนามหญ้าที่พัฒนาขึ้นจาก PES 2015 มากมายรวมทั้งระบบฟิสิกส์ภายในเกมที่สมจริงทั้งการส่งลูก , การโหม่ง , การสกัดบอลที่ต้องขึ้นอยู่กับรูปร่างของนักเตะและสภาพอากาศภายในสนามหรือทิศทางการเคลื่อนไหวของลูกบอลก็พัฒนาการเคลื่อนไหวตามลักษณะของจริงมากยิ่งขึ้น
FIFA 16
สำหรับใน FIFA 16 การมาครั้งนี้ทาง EA ได้ปรับปรุงรายละเอียดกราฟิกหรือระบบฟิสิกส์ภายในเกมน้อยมากถ้าเทียบกับภาคที่แล้วอย่าง FIFA 15 แต่อาจจะมีการเปลี่ยนในเรื่องแอนิเมชั่นการเคลื่อนไหวท่าทางของนักเตะเท่านั้นแต่โดยรวมแล้วมันก็แสดงผลออกมาได้ดีเหมือนกัน
Gameplay ภายในเกม
PES 2016
แน่นอนว่าการที่ Konami ใช้ Fox Engine ในเกมนี้ย่อมส่งผลต่อเกมเพลย์ในสนามเต็ม ๆ และมันก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีซะด้วยจะเห็นได้ว่าการส่งบอล , รับบอล , กระชากบอลหลบกองหลังหรือเทคนิคต่าง ๆ ในสนามทำได้สมูธนุ่มนวลขึ้นตอบสนองทันใจอย่างเห็นได้ชัดรู้สึกได้ถึงความ “สนุก” ในเกมไม่ว่าจะเล่นคนเดียวหรือเล่นกับเพื่อนและยังไม่รวมไปถึงระบบ AI ที่ถูกพัฒนาขึ้นมามากผู้เล่นสามารถทำชิ่งกับ AI ได้ง่ายและเป็นไปตามต้องการ
FIFA 16
เกมเพลย์ใน FIFA 16 อาจจะดูด้อยกว่า PES ไปบ้างตรงที่การผ่านบอลไปแต่ละครั้งดูตะกุกตะกักและตอบสนองไม่ทันใจผู้เล่นมากนักรวมทั้งรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ FIFA 16 ไม่มีอย่างเช่นท่าทางของผู้รักษาประตูที่หยุดนิ่งเฉย ๆ หลังจากโดนยิงประตูซึ่งแตกต่างจาก PES 2016 ที่เก็บรายละเอียดท่าทางได้ละเอียดกว่า
เมนู , เสียงผู้บรรยาย , ลิขสิทธิ์เสื้อทีม และ อื่น ๆ
PES 2016
ในส่วนนี้สำหรับ PES 2016 ในเรื่องของลิขสิทธิ์เสื้อทีมก็ได้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่าง UEFA Champions League ก็จะยืนยาวขึ้นอีก 3 ปีหรือสิ่งที่หลาย ๆ คนรอคอยอย่าง Image Importing ที่ผู้เล่น PS 4 กับ PS 3 สามารถอิมพอร์ตรูปไปมาหาสู่กันได้แล้วใน Edit Mode ซึ่งระบบที่ถูกปรับปรุงขึ้นมานี้ก็จะช่วยให้ผู้เล่นนำไฟล์มาลงทับกันได้นั่นก็หมายความว่าหมดกังวลเรื่องสัญลักษณ์หรือสีเสื้อทีมแปลก ๆ อีกต่อไป
นอกจากนี้ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของผู้บรรยายข้างสนามที่เปลี่ยนใหม่เป็น Peter Drury และ Marco Hagemann แต่ว่าการเปลี่ยนผู้บรรยายครั้งนี้กลับไม่ได้ช่วยอะไรดีขึ้นมากนักบทสนทนาของ Drury ราบเรียบมากและการพูดของเขาก็ยังติดต่อกันไม่เป็นบรรทัดเหมือนหุ่นยนต์อีกด้วย
ทางด้านเมนูหรือโหมดต่าง ๆ ใน PES 2016 ก็มีการปรับปรุงเช่นกันอย่าง My Club ที่มีการอัพเดทตลอดทุกสัปดาห์หรือหน้าตาอินเตอร์เฟสที่ใช้ง่ายแต่ว่าในส่วนของ Career mode ยังต่ำกว่าที่คาดหวังเอาไว้พอสมควรและรู้สึกว่า FIFA ยังทำได้ดีกว่าในโหมดเดียวกัน
FIFA 16
ด้านลิขสิทธิ์ทีมต่าง ๆ FIFA 16 ก็ยังคงจัดเต็มและเป็นหัวใจหลักเช่นเคย ผู้บรรยายข้างสนามทั้งบทสนทนาหรือน้ำเสียงการพากย์ทำได้ดีกว่า PES แถมยังให้ความรู้สนุกร่วมลงไปอีกด้วยและที่สำคัญโหมดใหม่ ๆ ที่เข้ามาก็สร้างสีสันให้กับ FIFA ได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น “Draft Mode” ที่ให้ผู้เล่นเลือกนักเตะในทีมตนเองได้ตามใจชอบหรือจะเป็น “ฟุตบอลทีมชาติหญิง” ที่เป็นเกมแรกเกมเดียวที่นำโหมดนี้มาในเกมซึ่งก็เพิ่มทางเลือกแก่ผู้เล่นไม่ให้รู้สึกซ้ำซากจำเจ
จากข้อมูลทั้งหมดที่ว่าก็อาจจะสามารถสรุปข้อดีของแต่ละเกมเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้:
PES 2016
- การส่งบอล , รับบอลที่สมูธขึ้น
- การเคลื่อนไหวแอนิเมชั่นต่าง ๆ ของนักเตะทำได้ดีกว่า
- แนวรับแผงหลังที่แน่นบวกกับ AI ที่เก่งกาจ
- ลูกยิงต่าง ๆ สามารถพลิกแพลงได้หลายท่าหลายเทคนิค
FIFA 16
- เมนูหรือโหมดการเล่นหลากหลายกว่า
- มีลิขสิทธิ์ทีมตราสโมสร , สนามแข่ง อย่างเป็นทางการ
- เสียงพากย์ของผู้บรรยายทำได้สนุกมีความรู้สึกร่วม
- ระบบเล่น Online ที่มีประสิทธิภาพ
ฉะนั้นแล้วหากจะวัดกันที่เกมเพลย์ PES 2016 จะเหนือกว่าแต่ถ้าเป็นในเรื่องของลิขสิทธิ์ทีมที่ถูกต้อง โหมดการเล่นหลากหลายหรือหน้าตาเมนูที่สดใหม่ก็ต้องยกให้ FIFA 16 แต่เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว PES 2016 อาจจะดูดีมีภาษีกว่าตรงความสนุกของเกมเพลย์ที่ควรจะเป็นหัวใจหลักของเกมประเภทนี้ซึ่งทาง PES 2016 จะตอบโจทย์ได้ดีกว่า FIFA 16 นั่นเองครับ
อย่างไรก็ตามการที่บอกว่า PES 2016 ดีกว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่า FIFA 16 จะดูแย่หรือย่างไรครับ และถ้าหากใครที่ยังไม่มีเกมทั้งสองก็สามารถเข้าไปซื้อเกมได้ที่ Steam (สำหรับ PES 2016) และ Origin (สำหรับ FIFA 16) ได้เลยครับ
ที่มา : Kotaku