ออกกันมาให้ได้เป็นเจ้าของได้สักพักแล้วครับกับ AMD R9 Fury X ที่ตัวการ์ดนั้นแรงและเร็วสมความร่ำลือ โดยทาง AMD ชูประเด็นในเรื่องของการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K เพื่อเปิดประตูสู่ประสบการ์ณใหม่บนการ์ดเดียว ซึ่งตัวการ์ดนั้นจะว่าไปก็ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับกับราคาที่อยู่ราวๆ $650 หรือประมาณ 22,100 บาท(ในไทยราคาประมาณ 26,xxx บาท) แถมยังมาพร้อมกับระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ(และมีตัวเลือกระบบระบายความร้อนด้วยอากาศตามปกติ) และเทคโนโลยีหน่วยความจำใหม่อย่าง HMB ของทาง AMD เอง รองรับเทคโนโลยีใหม่สุดของ AMD ทั้งหมด
เชื่อว่าหลายๆ ท่านที่ได้ตามข่าวของเจ้า AMD R9 Fury X คงพอจะทราบในเรื่องสเปคต่างๆ กันดีแล้วนะครับ ดังนั้นในส่วนตรงนี้เราจะขอไม่พูดซ้ำกันอีกทีแล้วกันแต่เราจะเน้นเรื่องของการใช้งานในการเล่นเกมจริงๆ ว่าเจ้าการ์ดราคา $650 หรือประมาณ 26,xxx บาท(ในไทย) เนี่ย เหมาะสมแล้วคุ้มหรือยังที่จะจ่ายเงินในระดับนี้เพื่อนำเอามาเป็นเจ้าของกันครับ
ถ้าคุณเป็นแฟนการ์ดจากฝั่งแดงอยู่แล้วและมีเงินมากพอก็ซื้อได้เลยครับ ไม่มีเหตุผลประการณ์ใดที่คุณจะไม่ชื่นชอบ AMD R9 Fury X อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าในหลายๆ การทดสอบที่มีให้เราตามดูในเว็บไซต์ต่างๆ นั้นเจ้า AMD R9 Fury X เมื่อนำเอาไปเทียบกับการ์ดฝั่งเขียวแล้วจะอยู่ระหว่าง Nvidia TITAN X และ Nvidia GTX 980 Ti ก็ตาม(แต่บางการทดสอบก็พบว่า GTX 980 Ti แรงกว่า R9 Fury X ซะงั้น ทั้งๆ ที่ตามจริงแล้ว R9 Fury X ได้ถูกวางไว้เป็นคู่แข่งกับ GTX 980 Ti ที่มาราคาอยู่ในช่วงใกล้กันโดยตรง)
หมายเหตุ – ในเมืองไทยนั้นมีข้อมูลว่า GTX 980 Ti จะมีราคาถูกกว่า R9 Fury X อยู่ประมาณ 2,xxx – 3,xxx แล้วแต่ร้านครับ)
ในการเล่นเกมนั้นคงปฎิเสธไม่ได้เลยครับว่าถ้าหากคุณนำเอา R9 Fury X ไปเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 1080p หรือ 1920 x 1080 pixels แล้วปรับความละเอียดไว้ที่ High หรือกระทั่ง Ultra High คุณจะได้รับประสบการณ์ของภาพที่ดูสวยงามตระการตา ในขณะที่ FPS ของตัวเกมนั้น ไหลลื่นไม่กระตุกอย่างแน่นอน
หรือถึงแม้ว่าคุณจะมีเงินมากพอที่จะซื้อมอนิเตอร์ที่รองรับความระเอียดระดับ 2K หรือ 2,560 x 1,440 pixels(ที่มีราคาเกินหมื่นขึ้นไปถึง 1x,xxx บาท ในบางรุ่น) คุณก็ยังคงสามารถใช้ R9 Fury X เล่นเกมที่ความละเอียด 2K แล้วปรับความละเอียดระดับ High หรือ Ultra High แล้วมี FPS ออกมาไหลลื่นอยู่ดีครับ เรียกได้ว่าที่ความละเอียดในทั้ง 2 ระดับนี้ R9 Fury X สามารถที่จะทำให้คุณพบกับประสบการณ์การเล่นเกมแบบใหม่ในความละเอียดสูงที่ไร้ซึ่งการกระตุกได้อย่างแน่นอนไร้กังวลครับ
การใช้ AMD R9 Fury X เล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K ที่ยังไม่คุ้มในปัจจุบัน
ภาพเกม The Witcher 3 ที่ความละเอียดระดับ 4K
แต่ครับแต่ ในการใช้งาน R9 Fury X เล่นเกมที่ความระเอียดระดับ 4K ในตอนนี้นั้น บอกได้คำเดียวว่ายังไม่คุ้มครับ คำว่ายังไม่คุ้มนั้นไม่ได้หมายความว่าเจ้า R9 Fury X นั้นเอาไม่อยู่กับการเล่นเกมที่ระดับ 4K นะครับ เหตุผลในส่วนนี้เกิดขึ้นจากองค์ประกอบอื่นๆ ในปัจจุบันที่ยังไม่พร้อมต่างหากครับ
ทาง Engadget ได้ทดสอบการเล่นเกม The Witcher 3: Wild Hunt และ Batman: Arkham Knight ที่ความละเอียดระดับ 4K โดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้นั้นมีสเปคดังต่อไปนี้ครับ
- 4GHz Core i7-4790K CPU
- 16GB of 2400Mz DDR3 RAM
- แหล่งเก็บข้อมูล 512GB Crucial MX100 SSD
- เมนบอร์ด ASUS Z97-A
- มอนิเตอร์ Samsung UE590
- และแน่นอนว่ากราฟิกการ์ดเป็น AMD R9 Fury X ครับ
ภาพที่ปรากฎนั้นถือว่ามีความละเอียดมากกว่าการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 1080p หรือ 2K มากครับ(คุณสามารถเข้าไปดูภาพที่ความละเอียด 4K ของเกม The Witcher 3: Wild Hunt ได้จากที่นี่) โดย FPS เฉลี่ยตลอดการเล่นนั้นก็อยู่ที่ระดับ 35 FPS บนการตั้งค่าคุณภาพความละเอียดของภาพไว้ที่ High ทั้ง 2 เกม หากจะว่าไปแล้วก็น่าประทับใจมากเลยหล่ะครับ
ดูแล้วมันก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ แต่ครับแต่อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่ามันยังไม่คุ้มกับการเล่นที่ความละเอียดระดับ 4K ส่วนเหตุผลก็มีหลากหลายประการด้วยกันดังต่อไปนี้ครับ
- ราคาของมอนิเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ 4K แพงมากครับ แถมยังมี 2 มาตรฐาน คือบางรุ่นที่ราคาถูกหน่อยนั้น จะรองรับความละเอียดระดับ 4K ที่ refresh rate 30 Hz เท่านั้น หมายความว่าต่อให้การ์ดจอของคุณแรงให้ตายยังไง คุณก็ไม่มีทางที่จะเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K ได้ FPS เกิน 30 เลยครับ(จากการสำรวจตลาดในไทยนั้น มอนิเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ 4K มีราคา 3x,xxx ขึ้นไปครับถึงจะรองรับ refresh rate ที่ 60 Hz ซึ่งจะว่าไปแล้วมันแพงกว่าตัวการ์ด R9 Fury X ซะอีกครับ)
- ต่อจากข้อแรกครับถึงแม้ว่าคุณจะไม่สนใจมอนิเตอร์ที่ระดับ 4K โดยคิดว่ามอนิเตอร์ที่มีความละเอียดระดับ 2K น่าจะเพียงพอต่อความต้องการของคุณแล้ว(เพราะว่าสามารถเล่นเกมได้ที่ 60 FPS) แต่ราคาของมอนิเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ 2K ในตอนนี้ ก็ยังคงอยู่ในระดับที่มหาโหดเช่นเดียวกัน(จากการสำรวจตลาดในเมืองไทยนั้น มอนิเตอร์ที่รองรับความละเอียดระดับ 2K จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 11,xxx ขึ้นไปครับ)
- ข้อต่อมานั้นถ้าคุณยังคงใช้ระบบปฎิบัติการ Windows 7 หรือ 8 อยู่แล้วหล่ะก็เลิกคิดเรื่องการใช้งานหน้าจอที่ความละเอียดที่ระดับ 4K ไปได้เลยครับ(หมายถึงใช้งานปกตินะครับไม่ใช่ตอนเล่นเกม) เนื่องจากระบบปฎิบัติการทั้ง 2 นั้นไม่ได้ถูกปรับแต่งมาให้รองรับกับความละเอียดที่ระดับ 4K ถึงแม้ว่ามันจะใช้งานที่ความละเอียดที่ระดับ 4K ได้จริง แต่เมื่อใช้ไปนานๆ คุณก็จะเกิดอาการรำคาญตาขึ้นครับ(ซึ่ง Windows 10 ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ครับ)
จากเหตุผลทั้ง 3 ข้อดังกล่าว เอาให้ง่ายสุดเลยก็คือในเรื่องของราคาที่คุณต้องแลกมาเพื่อที่จะเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K ในตอนนี้นั้นบอกได้เลยว่ามันยังไม่คุ้มครับ(นอกจากคุณจะมีเงินเหลือมากพอที่จะจัดเครื่องสเปคแรงๆ เกิน 1xx,xxx ขึ้นไป) ถ้าจะดูที่ความคุ้มและคุณเองก็ไม่ใช่คนที่สนใจการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K เท่าไรและยังคงต้องการประหยัดเงินในกระเป๋าไปใช้ทำอย่างอื่นแล้วหล่ะก็
คุณยังมีตัวเลือกการ์ดจอในปัจจุบันที่มีราคาอยู่ในระดับ 7,500 – 15,000 บาท(แล้วแต่ว่าคุณจะชอบค่ายไหน) ก็สามารถนำมาอัพเกรดเพื่อเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 1080p คุณภาพ High ที่ FPS สูงๆ ได้อย่างสบายๆ แล้วเผลอๆ คุณยังจะเหลือเงินไว้ซื้อมอนิเตอร์รุ่นใหม่ที่รองรับกับเทคโนโลยี AMD FreeSync หรือ Nvidia G-Sync ที่น่าใช้มากกว่าในราคารวมกันแล้วเท่ากับการ์ดจออย่าง AMD R9 Fury X ครับ
หมายเหตุ – ซึ่งในที่นี้ก็สามารถนำไปใช้กับการ์ดจอระดับสูงของค่ายเขียวอย่าง Nvidia TITAN X ได้ด้วยเช่นกันครับ
หมายเหตุ 2 – ราคาของมอนิเตอร์ในไทยที่บอกไว้ในบทความนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงตามรุ่นและยี่ห้อยังไงก็ควรจะสำรวจตลาดก่อนที่จะตัดสินใจซื้อครับ
ที่มา : engadget