เชื่อว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนที่ใช้อุปกรณ์ระบบปฎิบัติการ iOS ของทาง Apple หนึ่งคงเคยเจอปัญหาการแชร์รูปหมู่ที่ใช้กล้องของตัวเองถ่าย(กล้อง iPhone) ไปให้กับเพื่อนๆ ที่อยู่ในภาพเหล่านั้นที่ไม่ได้ใช้อุปกรณ์ iOS ด้วยข้อจำกัดหลายๆ อย่างของตัวระบบและวิธีการดำเนินงานของมันเองใช่ไหมครับ ทว่าในอนาคตนั้นดูเหมือนกับว่าเรื่องนี้จะถูกทำให้ง่ายขึ้นกว่าเดิมแล้วครับ เมื่อมีรูปสิทธิบัตรเผยออกมาว่าทางบริษัทกำลังพัฒนาสิทธิบัตรระบบการแชร์รูปแบบใหม่ที่จะใช้การจดจำใบหน้าเพื่อระบุว่าบนรูปนั้นๆ มีใครอยู่บ้างแล้วแชร์รูปอัตโนมัติไปให้เขาเหล่านั้นครับ
สิทธิบัตรดังกล่าวนั้นพึ่งได้รับการเปิดเผยมาเมื่อไม่นานมานี้และค้นพบโดย AppleInsider (เช่นเดิม) โดยชื่อของสิทธิบัตรก็คือ “Systems and methods for sending digital images.” ครับ ในสิทธิบัตรได้อธิบายเอาไว้ว่าผู้ใช้สามารถที่จะเชื่อมโยงเพื่อนๆ ของพวกเขาที่อยู่ในรูปผ่านใบหน้าเข้ากับรายชื่อที่อยู่ภายในโทรศัพท์ได้ เมื่อรูปกลุ่มได้ถูกถ่ายขึ้นมาตัวมือถือก็จะสามารถที่จะทำการนำเอารายชื่อผู้ติดต่อที่มีใบหน้าอยู่ในรูปนั้นๆ ขึ้นมาให้ผู้ใช้โดยอัตโนมัติ(ทุกๆ คนที่พบว่าอยู่ในรูปนั้นๆ) และก็อนุญาตให้คุณสามารถที่จะแชร์รูปดังเกล่าไปยังบุคคลนั้นๆ ได้อย่างง่ายดายผ่านช่องทาง email, sms หรือแม้กระทั่งช่องทางอื่นๆ บางช่องทางครับ(ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าช่องทางอื่นๆ นั้นหมายถึงวิธีการส่งแบบใดบ้าง)
และเมื่อมีการนำเอารูปนั้นเข้าสู่ระบบ cloud photo storage ตัวระบบก็จะสามารถทำการส่งการแจ้งเตือนการแชร์รูปภาพไปยังบุคคลที่อยู่ในรูปนั้นๆ ได้ด้วยอีกเช่นเดียกัน โดยตัวระบบจะอนุญาตให้ผู้ที่มีใบหน้าอยู่ในรูปนั้นสามารถที่จะทำการดาวน์โหลดรูปภาพนั้นๆ ผ่านทาง Apple เซิฟเวอร์ได้ทันที(ซึ่งถึงจุดนี้หมอความว่าผู้ใช้รายนั้นๆ ที่จะโหลดได้ต้องใช้บริการ cloud photo storage ของ Apple ด้วย ซึ่งจะต้องไปดูในส่วนของความเป็นส่วนตัวและตัวเลือกการแชร์ที่ผู้ถ่ายภาพได้ตั้งค่าไว้อีกทีครับว่าเป็นอย่างไร)
จริงๆ แล้ว Apple นั้นได้สร้างระบบระบุและจดจำใบหน้า(face detection and recognition) เข้าไปบนแอปพลิเคชัน Photos สำหรับ Mac สำหรับการใช้งานของผู้ที่ในระดับสูงที่อยู่ในรูปแบบขององค์กรที่ต้องการการจัดการภาพแบบละเอียดไปก่อนหน้านี้แล้ว และสิทธิบัตรนี้เองนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นการย่อสิทธิบัตรของระบบที่อยู่บนแอปพลิเคชัน Photo บน Mac ให้มาอยู่บนมือของผู้ใช้งาน iPhone หล่ะครับ ส่วนจะมีให้เราได้ใช้งานจริงจังเมื่อไรนั้นก็คงต้องคอยดูกันต่อไปครับ
ที่มา : petapixel