ท่านใดที่เป็นแฟนภาพยนตร์สายลับ 007 ภาคเก่าๆ หน่อยคงจะมีสิ่งหนึ่งที่ชื่นชอบอยู่ในซีรีส์นี้อีกเพราะนอกจากอาวุธที่ทันสมัยและสาวๆ ที่เซ็กซี่ยั่วยวนใจแล้ว(ซึ่งส่วนใหญ่จะตกเป็นของพี่เจมส์ บอนด์ทั้งหมด) อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้ชื่นชอบเทคโนโลยีละสายตาไปไม่ได้เมื่อมันออกมาโลดแล่นอยู่บนหน้าจอก็คือรถยนต์คู่ใจพี่บอนด์ที่มักจะมาพร้อมกับสมาร์ทโฟนสุดหรูซึ่งสามารถใช้ควบคุมตัวรถยนต์ได้ครับ
แน่นอนว่าเรื่องในภาพยนตร์นั้นก็คงจะใช้เทคนิคพิเศษเข้าช่วยในการถ่ายทำเพื่อให้ดูเหมือนกับว่าพี่บอนด์ของเรานั้นสามารถที่จะใช้สามารถโฟนควบคุมรถให้ขับเคลื่อนที่ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ในความเป็นจริงแล้วการจะใช้อุปกรณ์เล็กๆ อย่างสมาร์ทโฟนในการรีโมทเพื่อบังคับรถยนต์ในสมัยนั้นยังคงเป็นเพียงความฝันของนักพัฒนาหลายๆ คนเท่านั้นครับ
เทคโนโลยีนี้จะไม่อยู่ในภาพยนตร์อีกต่อไปแล้วครับเมื่อทางนักวิจัยของทาง Land Rover ได้เริ่มต้นทำการพัฒนาระบบนี้ขึ้นมาแล้ว แถม ณ เวลาปัจจุบันนี้ยังมีรถต้นแบบที่พร้อมจะใช้ iPhone ในการบังคับขับเคลื่อนรถยนต์ให้ผ่านอุปสรรค์ต่างๆ ให้เราได้เห็นอีกต่างหาก(เพียงแต่ว่ายังไม่สามารถลงใช้งานบนถนนจริงๆ ได้ก็เท่านั้น)
ภาพทางด้านบนนี้เป็นภาพที่ทาง Land Rover ถ่ายไว้โดยมีนักวิจัยใช้ iPhone ในการบังคับขับเคลื่อนรถยนต์ 4×4 อยู่ข้างๆ ผ่านอุปสรรค์ ซึ่งภายในรถยนต์นั้นไม่มีคนนั่งอยู่ด้วยแต่อย่างใดครับ สถานที่ที่มีการนำระบบนี้ไปทำการทดสอบก็คือพื้นที่ทดสอบว่างๆ ข้าง Jaguar Land Rover ใกล้กับ Warwick ใน England
สิ่งหนึ่งที่แว๊บเข้ามาก็คือเขาทำอย่างไรจึงสามารถที่จะทำการควบคุมที่ปกติเราใช้คลื่นสมองในการบังคับมือเพื่อควบคุมพวงมาลัยของรถและทำไมที่นั่งของรถจึงกลายเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในการใส่ใจในวิธีการนั่งของคุณเพื่อที่จะทำการขับรถยนต์ครับ การกระทำดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เลยทีเดียวครับที่สามารถจะย้ายไปอยู่บนสมาร์ทโฟน(ซึ่งในที่นี้คือ iPhone) ได้
หากเรามองข้ามเรื่องของราคาที่ต้องจ่ายทั้งค่ารถที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีนี้และค่าสมาร์ทโฟนแล้ว มันก็ยังคงมีเหตุผลที่ดีที่สุดอยู่ดีที่เทคโนโลยีนี้ควรจะเกิดขึ้นครับ ตัวอย่างง่ายๆ เลยอย่างเช่นเมื่อคุณจะต้องขับรถแบบ 4×4 ผ่านในภูมิประเทศที่มีความยากลำบาก มันมีความจำเป็นอย่างมากเลยครับที่ผู้ขับจะต้องใช้สมาธิในการวิเคราะห์และใส่ใจกับเส้นทางที่อยู่ข้างหน้าอย่างเต็มที่รวมไปถึงมาตรวัดต่างๆ ของตัวรถที่ต้องมั่นคงเพื่อที่จะทำให้ผ่านสถานการณ์ไปได้
การได้ออกมาจากรถยนต์แล้วใช้ระบบขับเคลื่อนแบบรีโมทผ่านทางสมาร์ทโฟนนั้นจะทำให้คุณได้รับมุมมองที่กว้างกว่า แถมถ้าเกิดเหตุผิดพลาดอะไรกับตัวรถขึ้นมา ตัวคุณเองก็จะยังปลอดภัยอยู่ข้างนอกแบบไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายอยู่ในรถครับ(ลองคิดถึงการขับรถผ่านทางขึ้นเขาแคบๆ และเป็นเนินสูงดูครับ ถ้าผิดพลาดขึ้นมานิดเดียวคุณอาจจะขับรถตกเหวและเป็นอันตรายต่อชีวิตก็เป็นได้)
Andrew Hoyle จาก Cnet ได้เข้าไปทดลองนั่งบนรถที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนแบบรีโมทผ่าน iPhone ดูครับ ซึ่งเขาได้บอกเอาไว้ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากที่ได้อยู่บนรถที่เคลื่อนที่แต่ทว่ากลับไม่มีคนขับนั่งขับอยู่ข้างๆ และยิ่งแปลกกว่านั้นก็คือการได้เห็นคนที่ควบคุมรถนั้นอยู่ห่างไปหลายเมตรนอกรถ มันทำให้เขาอัศจรรย์ใจมากครับ(ซึ่งจริงๆ ผมว่าความรู้ศึกน่าจะคล้ายๆ กับการนั่งในรถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนอัตโนมัติได้ด้วยตนเองอยู่เหมือนกันเพราะแบบนั้นเราก็ไม่ได้เห็นคนขับครับ เพียงแต่ว่าในกรณีของ Hoyle นั้นเขาเห็นคนบังขับรถที่เขานั่งอยู่ไกลๆ นั่นเองครับ)
สำหรับแอปพลิเคชันที่ใช้ในการบังคับรถบน iPhone นั้นก็ไม่ได้มีหน้าตาแตกต่างอะไรไปจากแอปพลิเคชันสำหรับการบังคับรถรีโมทขนาดเล็กไปมากสักเท่าไรครับ คุณจะได้เห็นพวงมาลัยเล็กๆ ที่เอาไว้ใช้สำหรับบังคับ พร้อมมาตรวัดต่างๆ สิ่งที่แตกต่างกันก็คือการควบคุมรีโมทในครั้งนี้เป็นการรีโมทรถยนต์ที่มีขนาดหลายตันไม่ใช่รถบังคับขนาดจิ๋วเท่านั้นเองครับ
ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัยตัวรพยนต์จะถูกกำหนดให้มีความรถสูงสุดอยู่ที่ 6.5 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้นซึ่งก็แค่เคลื่อนที่แบบช้าๆ ชิวๆ หล่ะครับ ดังนั้นในตอนนี้คงจะยังไม่สามารถหวังที่จะเอารถยนต์ที่พ่วงระบบนี้มาไปแข่งเรื่องความเร็วกับใครเขาได้ครับ เพราะสิ่งหนึ่งที่ต้องระบุกันให้ทราบอีกครั้งก็คือเทคโนโลยีบนตัวรถยนต์คันนี้ยังเป็นเพียงตัวต้นแบบเท่านั้น หากจะนำไปใช้งานได้จริงๆ คงต้องให้เวลานักวิจัยพัฒนากันต่อไปสัก 5 – 10 ปีนู่นแหละครับ
ตัวเทคโนโลยีนั้นยังมาพร้อมกับระบบตรวจจับหลุ่มบ่อที่อยู่บนท้องถนนได้อีกด้วยครับ และไม่เพียงแค่จะช่วยทำให้ตัวรถสามารถที่จะปรับแนวการเคลื่อนที่เพื่อหลบหลุุ่มบ่อนั้นได้เองโดยอัตโนมัติเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับล้อรถได้แล้ว แต่ทว่ามันยังคงสามารถจะยังบันทึกขนาดของหลุมบ่อและตำแหน่งของหลุมบ่อนั้นๆ ไว้ได้อีกด้วยครับ แน่นอนว่าเมื่อมีการบันทึกแล้วตัวระบบก็จะสามารถที่จะทำการแชร์ข้อมูลดังกล่าวไปยังรถคันอื่นๆ ให้ผู้ขับรถคนอื่นๆ ได้รู้ว่ามีหลุมบ่ออยู่ตรงไหนเพื่อเลี่ยงอันตรายได้ด้วยนั่นเองครับ
บนรถที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีนี้ที่คันเร่งสำหรับเหยียบเร่งความเร็วจะมาพร้อมกับนวัตกรรมที่ใช้ระบบ haptic feedback (อย่างเช่นการสั่นแบบอ่อน) ส่งไปยังเท้าที่เหยียบคันเร่งของคุณครับ โดยการสั่นนั้นก็จะมีลักษณะหลายรูปแบบเพื่อเป็นข้อมูลให้คุณรับทราบข้อมูลของตัวรถยนต์ในเวลาที่แตกต่างกันครับ
อ้างอิงจากทาง Land Rover แล้วระบบนี้จะเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพมากในการใช้สำหรับส่งข้อมูลให้คุณได้ทราบครับว่ามีอะไรผ่านเข้ามาใกล้ๆ ในรัศมีของรถยนต์ของคุณ อย่างเช่นมีรถจักรยานเข้ามาในรัศมีของรถยนต์คุณในมุมบอดครับ นอกจากที่จะสั่นที่คันเร่งแล้วก็จะยังสามารถส่งข้อมูลในลักษณะของภาพเหลือเสียงเพื่อเตือนภัยให้คุณได้อีกด้วยเช่นเดียวกันครับ
หมายเหตุ – Land Rover ยังบอกว่าระบบ haptic feedback ยังสามารถที่จะทำการแจ้งเตือนผู้ขับขี่ในสถานการณ์อื่นๆ อย่างเช่นเมื่อมีการเร่งความเร็วมากเกินไปจากที่กำหนดไว้ หรือความเร็วตกลงมากผิดปกติ หรือแม้แต่กระทั่งใช้เป็นการกระตุ้นตัวผู้ขับเมื่อรถรับรู้ได้ว่าผู้ขับนั้นกำลังง่วงนอนอยู่ด้วยครับ
และเช่นเดิมครับ Andrew Hoyle ได้ทดสอบขับรถเพื่อดูว่าระบบ haptic feedback ของ Land Rover นั้นจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งเขาบอกว่าระบบนี้ทำงานได้เป็นอย่างดีในช่วงที่เขาทำการขับทดสอบ การสั่นเตือนนั้นมีมากมายหลายแบบซึ่งแต่ละรูปแบบการสั่นเต้นเตือนนั้นก็แตกต่างกันอย่างชัดเจนทำให้เขาสามารถที่จะแยกออกได้ว่าการสั่นแบบไหนเป็นการเตือนแบบใดครับ(ถึงแม้ว่าเขาจะใส่รองเท้าผ้าใบในการขับรถก็ยังรู้สึกถึงการสั่นนี้ได้) เขาบอกว่าระบบนี้ช่วยให้การขับรถยนต์ของเขาง่ายขึ้นมากกว่าเดิมเลยทีเดียวครับ
Land Rover ไม่เพียงแค่ จะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อนำเข้าไปใส่ไว้ในตัวรถเท่านั้นนะครับ พวกเขายังมีการค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับกระบวนการผลิตรถยนต์อีกด้วยเช่นเดียวกัน โดยจากภาพที่ท่านเห็นทางด้านบนนี้เป็นเป็นการนำเอา virtual reality suit มาทำการสร้างภาพเสมือนจริงเพื่อที่จะทำให้ทีมงานที่ทำการประเมินสถานที่ผลิตสามารถที่จะเห็นได้ว่ารถยนต์โมเดลใหม่ๆ ควรจะทำการควรจะทำการผลิตออกมาในรูปแบบใดเพื่อที่จะทำให้ได้รถยนต์ที่มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
เมื่อสวมใส่ virtual reality suit ไว้ ทางนักวิศวกรก็จะสามารถทำการจำลองการเคลื่อนที่ของพนักงานในโรงงานผลิตจริงขึ้นมาครับ หลังจากนั้นพวกเขาก็จะทำการตรวจสอบว่าระยะทางไกลที่สุดอยู่ที่แค่ไหนที่ที่เขาสามารถทำการยืดร่างกายเข้าไปภายในช่องเครื่องยนต์ของรถยนต์หรือแม้กระทั่งภายในของส่วนโค้งของล้อรถยนต์ ซึ่งถ้าหากพบว่าการเคลื่อนไหวรูปแบบใดทำให้เกิดความไม่สบายตัวหรืออึดอัดต่อร่างกายขึ้นพวกเขาก็สามารถที่จะนำไปพัฒนากรรมวิธีการผลิตแบบใหม่ขึ้นเพื่อทำให้เกิดความไม่สบายตัวหรืออึดอัดต่อร่างกายของพนักงานให้น้อยที่สุดครับ
นอกจากจะใส่ใจกับพนักงานที่ทำการผลิตแล้ว ผู้ขับรถยนต์ที่เป็นลูกค้าของบริษัทก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่ Land Rover ให้ความใส่ใจครับ จากภาพข้างบนนี้เป็นการใช้ระบบ virtual reality ในการจำลองการขับรถยนต์ เพื่อที่จะทำการทดสอบดูครับว่าในรถยนต์รุ่นใหม่แต่ละรุ่นนั้น ตำแหน่งของพวงมาลัย คันเร่ง เกียร์ การนั่ง ฯลฯ ของผู้ขับ ควรจะอยู่ในตำแหน่งใดถึงจะเหมาะสมสะดวกสบายมากที่สุด เรียกว่าใส่ใจผู้ที่ทำการขับขี่เป็นอย่างมากเลยครับ
หมายเหตุ – การจำลองภาพเสมือนจริงด้วยวิธีนี้จะจำลองรูปแบบของสถานการณ์ในการขับต่างๆ มากมายไม่ว่าเป็นเป็นกลางแดด หรือฝนตกเป็นต้น เพื่อดูตำแหน่งของอุปกรณ์ทุกอย่างให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมที่สุดครับ
ภาพด้านบนนี้ได้แสดงให้ถึงระบบจำลองพวงมาลัยที่ภายในมีเซ็นเซอร์สำหรับแยกแยะการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองฝังอยู่ครับ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นทาง Land Rover ได้บอกไว้ว่าตัวเซนเซอร์จะคอยตรวจจับคลื่นสมองว่าคนขับนั้นให้ความสนใจกับการขับและมองไปที่ถนนข้างหน้าจริงหรือไม่ โดยถ้าหากตรวจพบว่าคนขับเกิดเปลี่ยนความสนใจจากถนนข้างหน้าตัวรถก็จะมีระบบแจ้งกลับไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงเตือนหรือสั่นเตือนเพื่อให้คนขับกลับมาให้ความสนใจที่ถนนข้างหน้าเหมือนเดิมครับ
นอกไปจากนั้นยังมีรถยนต์ตัวอย่างที่มาพร้อมกับที่นั่งที่เต็มไปด้วยเซ็นเซอร์ต่างๆ อย่างเช่นเซ็นเซอร์การตรวจจับการเต้นของหัวใจและการหายใจครับ เซ็นเซอร์ต่างๆ เหล่านี้จะมีไว้เพื่อสำการประเมินคนขับว่าเหนื่อยหรือเครียดแค่ไหนจากการขับรถเพื่อที่จะทำการปรับรถให้เหมาะสมกับสภาพของคุณ ณ เวลานั้นๆ ครับ
ตัวอย่างก็คือถ้าคุณมีอัตราการเต้นของหัวใจมากโดยอาจจะมาจากอารมณ์ที่หงุดหงิดเพราะรถติดหรือรถคันข้างๆ ขับไม่ได้ดั่งใจคุณ ตัวรถยนต์ก็จะปรับไฟอารมณ์ภายในให้พอเหมาะและอาจจะมีการเปิดเพลงสบายๆ ให้คุณได้ฟังเป็นการคลายเครียดเป็นต้นครับ เช่นเดียวกันครับถ้าเซ็นเซอร์จับได้ว่าคุณกำลังง่วงนอนอยู่หล่ะก็ ตัวรถยนต์ก็อาจจะปรับลดความเย็นของเครื่องปรับอากาศลงหรือทำการแนะนำให้คุณจอดรถนอนก่อนเป็นต้นครับ
นอกไปจากนั้นแล้ว Land Rover ยังพัฒนาระบบเซ็นเซอร์ 3D ขึ้นมาใช้งานในการสั่งงานหน้าจอสั่งงานอีก คงจะมีหลายๆ ท่านที่มีประสบการณ์ในการละสายตาจากถนนไปใช้นิ้วจิ้มที่หน้าจอสั่งการ(ผมเองก็เป็นบ่อยๆ ครับ) นะครับ แต่ระบบนี้จะสามารถทำให้คุณสั่งการได้ถึงแม้ว่านิ้วคุณจะอยู่ห่างจากหน้าจอหลายนิ้ว โดยตัวระบบจะมีความถูกต้องครับว่าคุณต้องการที่จะสั่งการอะไรเช่นเลื่อนเพลงหรือปรับลดเสียง ฯลฯ ด้วยเทคโนโลยีนี้จะทำให้คุณละสายตาจากถนนน้อยลงได้ถึง 22% เลยทีเดียวครับ
ท้ายสุดแล้วกับเซ็นเซอร์ภายนอกรถที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ทางทีมวิจัยให้ความสนใจมากที่สุดก็ว่าได้ครับ ทางทีมวิจัยได้นำเอาเซ็นเซอร์ที่เรียกว่า Lidar (หรือเรดาร์ที่ใช้แสงที่มองไม่เห็น) ใส่ไว้รอบๆ ตัวรถยนต์ซึ่งจะทำให้ตัวรถยนต์นั้นสามารถที่จะทำการตรวจจับได้ครับว่ามีวัถุใดๆ ที่มาอยู่ในรัศมีของรถยนต์บ้าง แถมเจ้า Lidar นี้นยังเป็นเซ็นเซอร์ที่มีความแม่นยำสูงมากที่สุดเท่าที่มีในปัจจุบันเลยครับ
แน่นอนครับว่าเซ็นเซอร์ Lidar นั้นก็จะมีหน้าที่ในการตรวจสอบวัตถุรอบรถยนต์และทำการแจ้งให้คุณทราบเพื่อทำให้การขับรถของคุณนั้นมีความปลอดภัยมากขึ้นเพราะปฎิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ครับว่าในการขับรถยนต์นั้นมุมที่มองไม่เห็นมีมากมายเหลือเกิน(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมือใหม่หัดขับ) ข้อเสียที่ใหญ่มากของระบบนี้สำหรับเวลานี้ก็คือเจ้า Lidar นั้นมีราคาสูงถึง £100,000 หรือประมาณ 5,261,710 บาท สำหรับหนึ่งชุดเลยครับ
ที่มา : cnet