จากก่อนหน้านี้ที่มีข่าวว่า Oculus นั้นจะส่งเสริมการสร้างแอปพลิเคชัน Rift ให้สามารถร่วมใช้งานได้กับ Windows ของทาง Microsoft เท่านั้นจากที่ตอนแรกไม่มีการปิดกั้นแพลตฟอร์มใดๆ ก็เลยอาจจะทำให้หลายๆ คนมีข้อสงสัยเกิดขึ้นมาครับว่าเพราะอะไรถึงได้เป็นเช่นนั้น สาเหตุก่อนอื่นเลยนั้นก็คือในตอนแรกที่ทาง Oculus ได้ทำการเชื่อมต่อ Rift เข้ากับ Windows นั้นระบบจะมองเห็นว่า Rift เป็น computer monitor อีกเครื่องหนึ่งครับ ทำให้ผลการทำงานนั้นแปลกประหลดโดยไอคอนจะเคลื่อนที่ไปมาและเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีปฎิกิริยาแบบประหลาดๆ ครับ
แน่นอนว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นย่อมไม่เป็นสิ่งดีต่อ Oculus มากนักสักเท่าไรนัก รวมไปถึงบรรดานักพัฒนาต่างก็ต้องมาปวดหัวกันกับปัญญาหานี้ครับ ดังนั้นแล้วทาง Oculus เองจึงต้องใช้เคล็ดลับนิดหน่อยที่จะทำให้ Windows นั้นสามารถใช้งานร่วมกับ Rift ได้ โดยเคล็ดลับต่างๆ เหล่านั้นก็คือชุดของโค้ดพิเศษและปรับแต่งค่าของคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็นให้เหมาะสมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้(วันที่ Microsoft ปล่อย Windows 10 ออกมาอย่างเป็นทางการ) ซึ่งระบบปฎิบัติการ Windows 10 นั้นได้ถูกปรับแต่มาให้สามารถใช้งานร่วมกับ VR goggles อย่างเช่น Rift ได้เป็นอย่างดี ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากการร่วมกันพัฒนาของทั้ง 2 บริษัทครับ
ตามกำหนดการแล้ว Rift นั้นจะวางจำหน่ายสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปในช่วงปี 2016 ครับ เรารู้กันดีว่า Oculus ผู้สร้าง Rift นั้นได้ถูกเข้าซื้อโดย Facebook ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนอกเหนือจากเรื่องของตัวเกมที่จะใช้เป็นเครื่องกระตุ้นหลักของ Rift แล้วทาง Facebook ยังหวังที่จะใช้ Rift ทางด้านการทำปฎิสัมพันธ์และการสื่อสารด้วยอีกต่างหาก ดังนั้นแล้วจึงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลยครับที่ทาง Oculus หรือ Facebook จะทำจุดมุ่งหมายนี้ให้ประสบความสำเร็จได้ด้วยตนเอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวการเข้าร่วมเป็นคู่ค้ากับบริษัทใหญ่อย่าง Microsoft จึงได้บังเกิดขึ้นครับ นอกจากจะตอบโจทย์ในเรื่องของการโปรแกรมแล้ว Rift ยังได้รับผลประโยชน์จากจอยคอนโทรเลอร์อย่าง Xbox One ของ Microsoft เพื่อที่จะใช้ในการเล่นเกมร่วมด้วยอีกต่างหาก แถมยิ่งไปกว่านั้น Rift ยังจะสามารถรองรับการสตรีมเกมมาเล่นจาก Xbox One ได้อีกด้วยครับ ลองคิดดูสิครับว่าเกมที่คุณเคยเล่นผ่านจอทีวีเมื่อมาปรากฎอยู่บนอุปกรณ์สวมศรีษะสำหรับสร้างภาพเสมือนจริงแล้วจะน่าเล่นยิ่งขึ้นมากแค่ไหน
การเข้าร่วมเป็นคู่ค้าในครั้งนี้ของทั้ง 2 บริษัทเรียกได้ว่าต่างคนต่างก็ได้รับประโยชน์ครับ ทาง Oculus เองก็จะมีฐานของเกมมากมายที่ไม่จำเป็นต้องออกแรงมากนักให้นักพัฒนามาทำการพัฒนาให้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกเกมนั้นจะไม่รองรับการสร้างภาพเสมือนจริงโดยตรงแต่เชื่อได้ว่าไม่นานนักนักพัฒนาที่ส่งเกมขึ้น Xbox จะต้องทำการพัฒนาให้อย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน Microsoft อาจจะไม่ได้รับประโยชน์ในส่วนนี้มากเท่าไรเพราะทาง Microsoft เองก็มีการพัฒนาอุปกรณ์สร้างภาพเสมือนจริงของตัวเองที่ใช้ชื่อว่า HoloLens อยู่แล้ว แต่ทว่า HoloLens ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสามารถปล่อยออกมาเป็นผลิตภัณฑ์จริงได้
ในช่วงเวลานั้น Microsoft ก็จะมี Rift จาก Oculus นี่แหละครับที่เป็นเครื่องชูประเด็นได้ว่าระบบปฎิบัติการ Windows 10 สามารถรองรับการทำงานกับอุปกรณ์สร้างภาพเสมือนจริงได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งก็จะทำให้ผู้ใช้ยังคงยึดติดการใช้งานอยู่กับระบบปฎิบัติการ Windows 10 ไม่ออกไปไหนจน HoloLens พร้อมออกมาหล่ะครับ
หมายเหตุ – นอกจากจะเป็นคู่ค้ากับ Oculus แล้ว Microsoft ยังเป็นคู่ค้ากับ Valve ที่มี HTC Vive อยู่ในมือด้วยครับ
ที่สำคัญและสร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้อย่างเราๆ ท่านๆ มากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของการอุปกรณ์สร้างภาพเสมือนจริงนั้นใช้คอนโทรเลอร์ Xbox One ในการบังคับงานครับ ซึ่งแน่นอนว่าความคุ้นเคยต่างๆ นั้นย่อมต้องดีกว่าคอนโทรเลอร์แบบใหม่อื่นๆ อยู่แล้ว(โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเคยเป็นคนที่เล่นเครื่องเกม Xbox 360 หรือ Xbox One มาก่อน) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องคอยดูกันต่อไปครับว่าแผนการครั้งนี้ของ Microsoft และ Oculus นั้นจะสำเร็จและชิงตลาดอุปกรณ์สวมศรีษะสำหรับการสร้างภาพเสมือนจริงได้มากน้อยแค่ไหน
ที่มา : cnet