อุปกรณ์ที่เป็นเกมมิ่งเกียร์ในบ้านเราเวลานี้มีให้เลือกอยู่มากมาย โดยเฉพาะเมาส์ คีย์บอร์ดที่มีสารพัดยี่ห้อให้ได้ใช้งานกัน แต่สิ่งหนึ่งที่บรรดาเกมเมอร์ให้ความสำคัญไม่แพ้กันกับเมาส์หรือคีย์บอร์ดก็คือ หูฟังหรือ Headphone นั่นเอง เพราะเสียงเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มอรรถรสได้ดียิ่งขึ้นและยังให้ความเป็นส่วนตัว ที่สำคัญยังช่วยให้เราจับทิศทางในการโจมตีได้อีกทางหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายๆ คนยอมทุ่มเงินเพื่อหูฟังดีๆ ที่นำมาใช้ในการเล่นเกม
Kingston HyperX Cloud II เป็นหูฟังในแบบ Full size ที่ครอบทั้งใบหู ซึ่งได้รับการเพาเวอร์อัพขึ้นจาก HyperX Cloud รุ่นแรก ที่ออกแบบมาเพื่อเกมเมอร์โดยเฉพาะ ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์บางส่วนเข้ามา โดยเฉพาะระบบเสียงที่จัดจ้าน พร้อมด้วยการให้รายละเอียดสำหรับเสียงที่เพิ่มขึ้น ด้วยลูกเล่นจากซาวด์การ์ดที่มาพร้อม DSP เพิ่มมาให้ สำหรับใช้งานในระบบ 7.1-channel ที่เรียกได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของการใช้งานบน HyperX Cloud II รุ่นนี้อีกด้วย ภายใต้ดีไซน์ในภาพรวมที่ไม่ฉีกไปจาก HyperX Cloud รุ่นแรกเท่าใดนัก รวมถึงน้ำหนักที่เบาเพียง 300 กรัมนิดๆ ก็น่าจะใช้งานได้นานขึ้นโดยไม่เมื่อยเพราะไม่ต้องแบกรับน้ำหนักให้มากเกินไป ซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งของเกมเมอร์ที่ใช้เป็นเวลานานๆ ซึ่งงานนี้ HyperX Cloud II ยังมาพร้อมลูกเล่นในการเปลี่ยนครอบหูได้อีกด้วย ส่วนเรื่องระบบเสียงบอกคร่าวๆ ก่อนว่า คุณภาพไม่ต่าง แต่ลูกเล่นที่ใส่มา อาจทำให้หลายคนคิดอยากเป็นเจ้าของกันเลยทีเดียว
Specifications
แกะกล่องลองดูของจริง Kingston HyperX Cloud II
เชื่อว่าใครที่ที่ได้จับจองเป็นเจ้าของน่าจะปลื้มกับแพ็คเกจตั้งแต่แรกเห็นสำหรับหูฟังจาก Kingston นี้ เพราะนอกจากดีไซน์ที่แตกต่างแล้ว ยังใส่รายละเอียดของฟีเจอร์และลูกเล่นต่างๆ มาแบบละเอียดยิบรอบกล่อง อย่างน้อยเราก็พอจะได้รู้ว่ามีสิ่งใดบ้างให้เราได้ลองใช้งานกัน ก่อนจะเปิดกล่องสวยๆ นี้
ด้านหลังบอกคุณสมบัติต่างๆ ที่น่าสนใจ เป็นรายละเอียดที่บ่งบอกถึงคุณลักษณะที่ดีของหูฟังรุ่นนี้ แต่ว่าจะมีใครสนใจรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่เชื่อว่าหลายคนใช้เวลาพินิจดูในจุดนี้ไม่น้อยทีเดียว
ด้านข้างก็ยังบอกถึงฟีเจอร์ของอุปกรณ์เสริมและฟังก์ชั่นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นซาวด์การ์ดหรือไมโครโฟนก็ตาม
อย่ารอช้าเรามาแง้มฝาเปิดดูกันว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในกล่องบ้าง จากที่เห็นคือกล่องชั้นที่สอง เมื่อดึงออกมาแล้วเปิดฝากล่องดูรายละเอียดกัน
เมื่อเปิดกล่องออกมาดูจะเป็นดังในภาพนี้ ซึ่งประกอบไปด้วยตัวหูฟัง HyperX Cloud II ไมโครโฟน ซาวด์การ์ดและแจ๊คสำหรับต่อเข้าอุปกรณ์ที่เป็น Output นั่นเอง
เอามากองรวมกันบนโต๊ะ อย่างที่เห็นในภาพ พอหยิบออกมา ก็จะมีประมาณนี้ เพียงแต่ตัวที่เป็นครอบหูฟังแบบหนังนั้นจะถูกเพิ่มเติมเข้ามาในกล่องด้วย สำหรับนำมาเปลี่ยนแทนฟองน้ำ แล้วแต่ว่าใครชอบแบบไหน
มาดูกันที่ตัวหูฟังกันก่อนโดยรูปแบบทั่วไป อาจไม่ได้ต่างไปจาก HyperX Cloud รุ่นเดิม แต่จะต่างกันเล็กน้อยในส่วน เช่นดีไซน์ ด้ายเย็บและชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ
มาดูกันในส่วนที่ครอบศีรษะกับการออกแบบด้านบนโดยใช้การปักโลโก้ HyperX ตัวนูนสีดำกับเดินด้ายขาว ซึ่งอาจจะไม่ได้สะดุดตา แต่ก็น่าจะเหมาะกับคนที่ไม่ชอบความหวือหวาโดดเด่นมากนัก
ส่วนที่เป็นครอบหูฟังกับดีไซน์ HX ก็ดูเท่ไม่เบา กับก้านที่ใช้ในการรับน้ำหนักเป็นลายอลูมิเนียมที่ดูเข้ากันได้ดี
ฟองน้ำด้านในบุอย่างดีและหุ้มด้วยหนัง ให้ความนิ่มนวลพอเหมาะ อาจจะนุ่มไปถึงนุ่มมาก เพื่อให้ครอบลงบนศีรษะได้สบายๆ น่าจะเป็นจุดแข็งอีกอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าเท่าที่ดูมีการกระจายน้ำหนักไปยังหูฟังด้วย จึงทำให้ไม่เกิดการรำคาญ ใช้งานได้นาน เท่าที่ลองใช้เป็นเวลานานๆ กับการเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง ก็ชิลๆ ดีไม่รู้สึกรำคาญ
ก้านด้านข้างสำหรับปรับระดับ มีการไล่สเตปได้อย่างนุ่มนวล ซึ่งในการปรับระดับ ไม่ว่าจะหยิบออกมาปรับหรือปรับขณะที่อยู่บนศีรษะนั้นไม่ต่างกัน ทำได้สะดวกทั้งสองแบบ ต้องยกนิ้วให้กับการออกแบบนี้ ใช้งานง่ายและน้ำหนักเบา
ลักษณะการกางหูฟังเพื่อครอบ มีความแข็งเล็กน้อย พอให้ดึงออกมาได้ตึงๆ มือ โดยไม่ต้องกลัวหัก แต่ที่สำคัญคือ ง้างออกมาได้ง่ายและบิดตัวได้เล็กน้อย
ช่องสำหรับใส่ไมโครโฟนด้านข้างของหูฟัง เป็นตำแหน่งเดียวกับรุ่นที่แล้ว สามารถใช้ไมโครโฟน เสียบผ่านช่องที่จัดไว้และพร้อมใช้งานได้ทันที
และที่เป็นไฮไลต์เด่นของหูฟังจาก HyperX Clud II นี้ อยู่ที่การเปลี่ยนครอบฟองน้ำในส่วนของ Earcup ได้ เช่นเดียวกับในรุ่นแรก ซึ่งใช้งานง่าย ถอดใส่สะดวก แค่ดึงที่ครอบเดิมออกมา จากนั้นก็ใส่อันใหม่เข้าไปตามช่อง ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
ภาพของหูฟังทั้ง 2 แบบ มีทั้งที่เป็นฟองน้ำและแบบหนัง เลือกใช้กันตามใจชอบ ซึ่งเท่าที่ใช้ถนัดกับแบบที่เป็นฟองน้ำมากกว่าแบบหนัง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความรู้สึกในเรื่องของการระบายอากาศถ่ายเทดีกว่าเล็กน้อย
อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญก็คือ Soundcard ที่มาในรูปแบบของ USB ซึ่งจะต่อเข้ากับพอร์ตบนคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊ค สำหรับการใช้ฟังก์ชั่นในการเพิ่มระบบเสียง เป็นแบบ 7.1-channel และปรับเพิ่มลดเสียงของหูฟังและไมโครโฟนได้จากจุดนี้
Conclusion
ในภาพรวมของหูฟัง Kingston HyperX Cloud II ต้องเรียกว่าเป็นพัฒนาการที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกนิด แม้อาจจะดูว่าไม่ได้ฉีกไปจากเดิมมากนัก แต่เชื่อว่าในฟีเจอร์บางส่วนน่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่กำลังมองหาหูฟังที่สามารถแยกส่วนของ Sound Card เพิ่มเติมได้หรือให้ความยืดหยุ่นที่ดีพอ ยิ่งการเพิ่มระบบเสียงให้ผู้ใช้เลือกปรับได้เองแล้ว น่าจะเข้าถึงผู้ใช้ในกลุ่มต่างๆ ได้มากขึ้น
ถึงรูปลักษณ์จะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เลยไม่ได้ทำให้แปลกตาไปกว่าเดิม แต่เชื่อว่ามนต์ขลังของ HyperX ยังจะการันตีในเรื่องของคุณภาพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในฝั่งของเกมเมอร์ ที่ยังได้การตอบรับอย่างน่าสนใจ ความสะดวกสบายและความยืดหยุ่นในการใช้งานยังเป็นเอกลักษณ์ที่น่าใช้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา การถ่ายน้ำหนักด้วยการกระจายส่วนไปยังศรีษะส่วนต่างๆ ลดความน่ารำคาญในการใช้งานนานๆ รวมถึงครอบหูที่นุ่มนวล ด้วยวัสดุที่เป็นฟองน้ำนิ่มๆ และมีทางเลือกที่เป็นหนังให้เลือกใช้ ก็จัดว่าเป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์แก่ผู้ใช้ทั้งสิ้น ที่น่าชื่นชมก็คือ การปรับระดับให้เหมาะกับศีรษะแบบง่ายๆ ด้วยการเลื่อนขณะที่กำลังใช้งานอยู่ได้ทันที และมีความแข็แกร่งมากพอที่จะไม่เลื่อนหลุดง่ายๆ ต้องชมการออกแบบของ Kingston เลยในข้อนี้
ส่วนในเรื่องของเสียง คงจะต้องว่ากันไปตามส่วนเริ่มตั้งแต่ในเรื่องของเสียงเพลง บอกได้เลยว่าอิ่มกับเสียงดนตรี ที่เคล้ากันไปได้ดี ให้เสียงที่ใสและมีทุ้มของเบสเข้ามาเยอะพอสมควร แต่เสียงร้องอาจจะถูกกดลงไปเล็กน้อย ตามสไตล์ของหูฟังเกมมิ่ง ใครที่ชอบแนวทุ้ม นุ่ม ไม่แหลมมาก น่าจะชอบทีเดียว จะต่างกันเล็กน้อยกับการใช้ดูหนัง ที่จัดเต็มแบบเก็บรายละเอียดได้เกือบครบถ้วน เอาใจคนที่ชอบความลึก เอฟเฟกต์กระจาย ใส่แบบเต็มๆ ทั้งเสียงการเคลื่อนไหว เสียงพูดและบรรยากาศ ยิ่งได้การปรับใช้ร่วมกับ Sound Card ในแบบ 7.1-channel ที่มาด้วยแล้ว ก็ดูจะเติมเต็มได้ดีพอ ใส่โวลุ่มแบบจัดหนักได้ ปลายไม่แตกพล่าให้รำคาญ ต้องยกนิ้วให้กับโหมดการดูหนังนี้
ส่วนสุดท้ายหนีไม่พ้นเรื่องการเล่นเกม กับความสนุกแบบเต็มอิ่ม ชนิดที่ไม่อยากวางมือกันเลยทีเดียว เพราะเอฟเฟกต์เหลือใช้ ไม่ว่าจะเล่นแนวแอ็คชั่นเดินหน้ายิง ที่เก็บเอารายละเอียดรอบข้างได้ดีหรือจะยิงผีดิบ ก็ได้ยินเสียงไล่หลังมาจนสะดุ้ง กระจกแตกหรือระเบิดก็ยังสะดุ้งหันตามไปด้วย เช่นเดียวกับเกมแข่งรถหลายๆ เกม ที่จังหวะของรถที่แข่งอยู่ใกล้ๆ หรือบริเวณข้าง ก็เล่นเอาเหวอกันไปเลยทีเดียว ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องสนุกๆ ที่คอเกมหลายคนชื่นชอบ โดยเฉพาะการใส่โวลุ่มจัดๆ เข้าไปก็ยังไม่ทำให้รู้สึกการสั่นหรือแตกของเสียง ด้วยตัวขับที่มีพลังมากทีเดียว เอาเป็นว่าใครที่สนใจอาจจะไปลองดูก่อนว่าเสียงที่ได้ถูกใจแค่ไหน แล้วค่อยตัดสินใจกันอีกครั้งหนึ่ง
จุดเด่น
- น้ำหนักเบา ครอบหูนุ่มนวลใช้งานได้นาน
- ขยับ ปรับเลื่อนได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ที่รองศีรษะนิ่ม วางได้สบาย
- เพิ่ม Sound Card แบบ USB สำหรับปรับใช้เป็น 7.1-channel ได้
- เปิดเสียงได้เต็มที่ ไม่เกิดการแตกพร่าให้ได้ยิน
ข้อสังเกต
- การออกแบบไม่ค่อยต่างไปจากรุ่นแรกมากนัก
- เสียงแหลมน้อย ให้ดนตรีที่ชัด แต่เสียงนักร้องออกโทนกลางๆ เป็นหลัก