เรื่องของเครื่องพรินเตอร์โดยเฉพาะ Inkjet ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่ครัวเรือนกันไปแล้ว เพราะใช้กันตั้งแต่เด็กๆ ในการปรินต์การบ้าน ไปจนถึงพี่ ป้า น้า อา ที่ใช้สำหรับปรินต์รูป รายงานและทำเอกสารกันทั้งบ้าน เรียกว่าน่าจะเป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่เข้าถึงคนในบ้านได้อย่างทั่วถึง ถ้าขยับขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเป็นพรินเตอร์อิงค์เจ๊ตขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่้เป็น Photo Printer สำหรับใช้ในสำนักงานขนาดเล็กหรือโฮมออฟฟิศ ไปจนถึงการใช้งานแบบจริงจังที่มีการปรินต์ต่อวันหลายแผ่นและต้องการคุณภาพ สำหรับการพิมพ์รูปภาพ โปสเตอร์หรืองานพรีเซนเทชั่นที่ต้องการความละเอียดของผลงานค่อนข้างสูง ซึ่งแน่นอนว่าต้องรองรับกับการทำงานในหลายรูปแบบ รวมถึงเอกสารต่างชนิด ต่างขนาดกันอีกด้วย
ดังนั้นการเลือกพรินเตอร์ อิงค์เจ๊ตให้เหมาะสมกับการใช้งานและความต้องการ แต่อยู่ในงบประมาณที่เหมาะสม จึงเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้จึงอยากจะนำเสนอข้อมูลสำหรับให้ผู้ใช้ได้ลองพิจารณาในการเลือกซื้อ Inkjet ว่ามีส่วนใดบ้างที่ต้องใช้ในการเลือก เพราะปัจจุบันคงไม่ใช่แค่สเปคที่ต้องใส่ใจเพียงอย่างเดียว แต่ในเรื่องฟีเจอร์สำหรับการปรินต์หรือการให้ความคล่องตัว รวดเร็วและมีคุณภาพ ก็ยังเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมากเลยทีเดียว แต่จะมีสิ่งใดบ้างนั้น เราคงต้องมาดูกันเป็นข้อๆ ไป
อิงค์เจ็ตธรรมดาหรือออลอินวัน
?นั่นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการ ของแต่ละบุคคล เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ สำหรับการเลือกพรินเตอร์ เนื่องจากมีการใช้งานที่ต่างกัน ในกรณีที่เลือกการใช้เป็นอิงก์เจ็ต ด้วยเพราะต้องการปรินต์ภาพเป็นหลัก ก็คงต้องพิจารณาด้วยว่าต้องการฟังก์ชั่นอื่นๆ ด้วยหรือไม่ เช่น สแกน ก็อปปี้หรืออื่นๆ
เพราะเวลานี้พรินเตอร์อิงก์เจ็ตออลอินวันมีตัวเลือกเยอะ ไม่ต่างไปจากแบบที่เป็นเลเซอร์ ดังนั้นแล้วผู้ใช้อาจจะต้องพิจารณาด้วยว่า คนในบ้านหรือในสำนักงานนั้น มีรูปแบบการใช้งานอื่นๆ ด้วยหรือไม่ หรือถ้าสนนราคาของมัลติฟังก์ชั่นนั้นใกล้เคียงกับเครื่องพรินเตอร์ปกติ ก็สามารถเลือกใช้ได้ เพราะบางยี่ห้อ ออลอินวัน มีราคาเริ่มต้นแค่ 2 พันกว่าบาทเท่านั้น มีไว้ได้ใช้บ้าง น่าจะดีกว่าไม่มีให้ใช้เวลาที่ต้องการ
ปุ่มฟังก์ชั่นใช้งานง่ายหรือมีหน้าจอไว้ก็ดี? แต่อย่าจ่ายแพงเกินไป
ค่อนข้างชัดเจนสำหรับเครื่องพรินเตอร์โดยทั่วไปที่วันนี้มักจะมาพร้อมกับหน้าจอพาแนลเล็กๆ ที่มีทั้งแบบ ขาวดำและจอสี บางรุ่นก็ทัชสกรีนได้ด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเป็นพรินเตอร์ในกลุ่มใด
ข้อนี้ถ้าคุณสนใจหรือต้องการให้พรินเตอร์สามารถบอกคุณได้ว่า ตั้งค่าอะไร ปรินต์แบบไหน ระดับหมึกเหลือเท่าไร หรือปรินต์แบบเดียวๆ ผ่านทางแฟลชไดรฟ์ ไม่ได้ต่อคอม การเลือกแบบที่มีหน้าจอบนเครื่อง อาจเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยให้คุณทำงานได้ง่ายขึ้น ต้องยอมรับว่าหลายคนให้ความสำคัญในจุดนี้อย่างมาก เพราะดูจะใช้งานง่ายกว่า แต่ส่วนใหญ่ต้องแลกมาในรุ่นที่ราคาสูงขึ้นไปอีก
แต่ในกรณีที่ใช้เพียงแค่ปรินต์แบบเดี่ยวๆ จากคอมโดยตรงและไม่ได้มีลูกเล่นอื่นใดมากนัก การกดเพียงไม่กี่ปุ่มบนตัวเครื่อง ให้พิมพ์หรือหยุดพิมพ์ รวมถึงอาจจะมีปุ่มสำหรับเลือกสีหรือขาวดำ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ส่วนจะดูสถานะของสิ่งอื่นใดในพรินเตอร์ เข้าไปดูใน Properties ของ Printer ในคอมพิวเตอร์ ก็สามารถตอบโจทย์ได้เช่นเดียวกัน
ความละเอียด DPI เป็นเรื่องที่น่าสนใจ
ในเรื่องนี้คงต้องบอกว่าความละเอียดของอิงก์เจ็ตในปัจจุบัน ก็ก้าวมาถึงระดับที่เพียงพอสำหรับปรินต์ Photo ในงานภาพถ่ายได้ดีมากพอแล้ว ด้วยความละเอียด 2400 x 1200 dpi โดยพื้นฐาน ซึ่งพรินเตอร์ขนาดเล็กราคาไม่แพงก็สามารถพิมพ์ความละเอียดดังกล่าวได้แล้ว แต่สำหรับพรินเตอร์รุ่นใหญ่ ก็อาจจะให้ความละเอียดได้มากกว่านี้ เช่นที่ 9600 x 2400 dpi เป็นต้น
แต่นั่นก็หมายถึงการพิมพ์งานที่เน้นคุณภาพงานที่บางครั้งอาจไม่ได้จำเป็นสำหรับผู้ใช้โดยทั่วไป ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ของแต่ละบุคคล ซึ่งหากคิดว่าต้องการงานพิมพ์ เอกสาร ภาพถ่ายหรือทำรายงานนำเสนอทั่วไป ความละเอียดพื้นฐานของอิงก์เจ็ตราคาประหยัดเบื้องต้น ก็สามารถรองรับการทำงานได้แล้ว ในราคาเริ่มต้นที่พันกว่าบาทเท่านั้น
รองรับกระดาษ
ในเวลานี้แทบไม่ต้องกังวลเลย เพราะพรินเตอร์ส่วนใหญ่ สามารถรองรับกระดาษได้เกือบทุกรูปแบบเป็นมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น A4, B5, A5, A6 หรือซองจดหมาย ไปจนถึงกระดาษแบบต่างๆ เช่น กระดาษ โบรชัวร์, อิงก์เจ็ต, กระดาษ photo, ซองจดหมาย, ลาเบลและการ์ดอวยพรต่างๆ เพียงแต่ต้องดูว่า
นอกจากขนาดกระดาษแล้ว อาจต้องดูความหนาที่สามารถใช้ร่วมกับพรินเตอร์ด้วย รวมถึงให้ถาดสำหรับใส่กระดาษมาใช้ได้ง่ายหรือไม่ เช่น ถาดที่สามารถปรับเลื่อนให้เข้ากับกระดาษที่ฟีดเข้าได้ง่าย รวมถึงดูด้วยว่ารองรับกระดาษได้มากน้อยเพียงใด เผื่อไว้สำหรับใครบางคนที่ชอบปรินต์อย่างต่อเนื่อง ที่จะให้ความสะดวกได้มากกว่า ที่สำคัญถาดขาออก หากมีจุดที่รองรับกระดาษและตัวกั้นกระดาษ ป้องกันการกระดาษไม่ให้เลื่อนหล่นเมื่อปรินต์ออกมาหลายๆ แผ่น
ความเร็วในการพิมพ์หรือที่เรียกว่า Page per Minute (PPM)
คือปริมาณการปรินต์จำนวนกี่หน้าต่อนาที ที่ส่วนใหญ่จะใกล้เคียงกันทั้งสีและขาวดำ เพียงแต่ในเงื่อนไขของการปรินต์ในแต่ละคนอาจไม่เหมือนกัน เพราะบางครั้งมีภาพเยอะหรือบางทีอาจมีแค่ตัวอักษร แต่สำหรับเครื่องปรินต์อิงก์เจ็ตทั่วไปนั้น จะให้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 15-17 PPM สำหรับปรินต์สีและ 20-22 PPM สำหรับงานพิมพ์ขาว-ดำ
ส่วนจะพิมพ์ได้เร็วหรือช้ากว่านั้นก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการพิมพ์ของแต่ละบุคคล ว่าเป็นการพิมพ์แบบละเอียด (Quality) หรือพิมพ์แบบทั่วไป อย่างไรก็ดีหากเป็นคนที่ต้องการเวลาเป็นหลัก อาจอ้างอิงกับตัวเลข PPM ที่ระบุไว้บนหน้าสเปคของพรินเตอร์แต่ละตัวได้ในเบื้องต้น
การเชื่อมต่อ พิมพ์ไร้สาย สบายกว่าเยอะ
โดยพื้นฐานการเชื่อมต่อของพรินเตอร์อิงก์เจ็ตกับคอมพิวเตอร์หรือโน๊ตบุ๊คในปัจจุบันจะมีพอร์ต USB เป็นพื้นฐาน ซึ่งเป็นรูปแบบสากลที่ใช้งานง่ายต่อสะดวก ข้อดีคือ ตรวจจสอบได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นอิงก์เจ็ตขนาดเล็ก ไปจนถึงระดับกลางและใหญ่ที่ใช้กันตามบ้านหรือสำนักงานขนาดเล็ก ข้อจำกัดอาจจะอยู่ที่การแชร์ให้กับคนอื่นๆ ในบ้านได้ใช้ ซึ่งต้องอาศัยเครื่องหลักในการแบ่งปัน
แต่ในปัจจุบันพรินเตอร์บางรุ่นได้เพิ่มเติมฟังก์ชั่นการปรินต์ไร้สายเข้าไปด้วย ในการทำงานแบบ WiFi ข้อดีก็คือ สามารถสั่งปรินต์งานจากที่ใดก็ได้ในโลก ขอให้มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้นและที่สำคัญยังรองรับการปรินต์ผ่านทางสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้อีกด้วย ซึ่งในตลาดเวลานี้ พรินเตอร์ระดับ 2 พันกว่าบาท ก็มีฟังก์ชั่นปรินต์ไร้สายแล้ว เช่น HP Ink Advantage 2545 ที่มี e-Print ซึ่งเชื่อมต่อ WiFi โดยตรงเข้ากับเครื่องหรือผ่านทางเราเตอร์ รวมถึงการสั่งพิมพ์งานผ่านทางเมล์แอคเคาต์ที่สมัครไว้ รวมถึงผ่านทางหน้าเว็บก็ได้ แบบนี้ค่อนข้างสะดวกและให้อิสระในการปรินต์ได้มากทีเดียว
Accessories หมึกไม่แพง แต่ต้องปรินต์ได้ประหยัด
เป็นจุดสำคัญในการพิมพ์งานได้อย่างคุ้มค่า ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะแนะนำให้ผู้ใช้เลือกซื้อหมึกแท้มาใช้งาน ด้วยเหตุที่ว่าเป็นหมึกที่มีการผลิตสำหรับพรินเตอร์ในแต่ละรุ่นอย่างเหมาะสม ปลอดภัยและให้คุณภาพในงานพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพ อันเป็นการการันตีจากผู้ผลิตเอง เพื่อให้ผู้ใช้ได้งานพิมพ์ที่ดีและรักษาคุณภาพ
รวมถึงให้การใช้งานร่วมกับหัวพิมพ์อย่างปลอดภัย บางยี่ห้อยังมีตัวเลือกของหมึกในแบบประหยัดสำหรับคนที่พิมพ์ไม่บ่อยมาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกอีกด้วย นอกจากนี้ตลับหมึกอิงก์เจ็ตขนาดเล็กบางรุ่นยังคงเป็นตลับเดียว 3 สี แต่หากรุ่นใหญ่ขึ้นไปอีกหน่อยจะขยับไปใช้ตลับแบบแยกสีออกจากกัน จึงให้ความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแต่ละครั้งได้ดีกว่าและคุ้มค่ามากกว่า
โดยหมึกอิงก์เจ็ตทั่วไป ราคาจะอยู่ที่ตลับละ 300-500 บาท ส่วนตลับสีแบบรวมจะอยู่ที่ 700 บาทขึ้นไป แต่บางรุ่นต้องเปลี่ยนพร้อมหัวพิมพ์ราคาจะขยับไปที่พันกว่าบาทขึ้นไป การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับว่าเงื่อนไขของพรินเตอร์และค่าใช้จ่ายส่วนไหนสำคัญสำหรับผู้ใช้มากที่สุด
ทั้ง 7 ข้อนี้อาจเป็นเพียงเงื่อนไขแบบคร่าวๆ สำหรับคนที่กำลังมองหาพรินเตอร์อิงก์เจ็ต ที่ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยในเรื่องเทคโนโลยีหมึกอีกมากมาย เพียงแต่การเลือกใช้นั้นหลายคนอาจมองถึงรูปแบบการใช้งาน ประสิทธิภาพและความประหยัด แต่ถ้าเงื่อนไขของคุณอยู่ที่หลายปัจจัยรวมกัน อาจจะต้องนำตัวเลขจากสเปคมาคำนวณกับรูปแบบการพิมพ์และราคาหมึกมาพิจารณากันอีกครั้ง เพื่อให้ได้พรินเตอร์ตามเงื่อนไขที่ต้องการมากที่สุดนั่นเอง