จากบทความ?ความเป็นมาของ Windows ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตอนที่ 1?ทุกท่านน่าจะได้เห็นกันแล้วว่า ตั้งแต่ Windows 1 จนถึง Windows 98 SE นั้นเป็นอย่างไร มีการพัฒนาไปในทิศทางไหนบ้างนะครับ ในวันนี้เราจะมาสานต่อตำนานของ Windows ที่ยังมีอะไรหลายๆ อย่างน่าสนใจอยู่อีกจำนวนมากครับ เรียกได้ว่าระยะเวลาตั้งแต่ 1985 ที่ Windows 1 ได้เปิดตัวมาจนถึงปัจจุบันผ่านไปแล้ว 29 ปี Windows นั้นทั้งเคยอยู่ในยุครุ่งเรืองและยุคตกต่ำ จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นไปชมตำนานบทต่อไปกันเลยครับ
Windows ME
สำหรับ Windows ME หรือ Windows?Millennium Edition ได้เปิดตัวสู่ผู้ใช้ทั่วไปเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2000 ครับ Windows Me นั้นได้รับการพัฒนาขึ้นมาหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาในการบูทเข้าระบบที่สั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา มาพร้อมกับโปรแกรมที่ตอบรับความบันเทิงแบบครบวงจรคือ?Windows Media Player 7, Windows Movie Maker และ Windows Image Acquisition framework สำหรับการรับรูปภาพจากเครื่อง scanners digital cameras ดีไซน์ต่างๆ ยังคงคล้ายกันกับ Windows 98SE แต่ทว่าการทำงานของระบบปฏิบัติการ Windows ME นั้นแตกต่างออกไปครับ
Windows ME ถือเป็นระบบปฏิบัติการสุดท้ายที่ใช้พื้นฐานทั้งหมดมาจาด DOS ครับ?นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับโปรแกรมสำหรับรักษาระบบที่มีมาจนถึงปัจจุบันอย่าง?System File Protection และ?System Restore นอกไปจากนั้นยังไม่ได้การอัพเดท home networking tools เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในการใช้งานจริงแล้วกลับพบว่า Windows ME นั้นไม่ได้เร็วอย่างที่ Microsoft คาดไว้ครับ แถมระบบก็ไม่มีความเสถียร(ถ้าใครเคยใช้รุ่นนี้ น่าจะจำคืนวันที่เจอ Blue Screen of Dead กันบ่อยๆ ได้ใช่ไหมครับ) เหนือสิ่งอื่นใดก็คือเรื่องของการรองรับกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่มีปัญหา และได้นำเอาการเข้าถึง real mode DOS ออก ทำให้ตัวระบบนั้นได้รับเสียงก่นด่าอย่างมากมาย และในที่สุด Windows ME ก็ถือว่าเป็น Windows ของ Microsoft รุ่นที่ 4 ที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยครับ สำหรับวันที่สิ้นสุดการสนับสนุน Windows ME นั้นคือวันที่ 11 เดือนกรกฎาคม 2006 ครับ
Windows NT x.x
ในช่วงที่ Microsoft พัฒนา Windows 3.1 อยู่(ช่วงเดือน พฤศจิกายน 1988) ทาง Microsoft ได้แยกทีมพัฒนาขึ้นมาอีกหนุ่งทีมซึ่งคุมโดย Digital Equipment Corporation(มีนักพัฒนานาม?Dave Cutler และ Mark Lucovsky เป็นผู้ควบคุมทีม) เพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบปฏิบัติการสำหรับ Workstation อย่าง IBM และ Microsoft OS/2 หรือ “NT OS/2” มุ่งเน้นไปยังด้านของการรักษาความปลอดภัย, Multi-user หรือ สนับสนุนผู้ใช้รายราย, เข้ากันได้กับ POSIX และ ผู้ใช้สามารถทำงานแบบแยกส่วนได้,?preemptive multitasking และรองกับกับหน่วยประมวลผลแบบ multiple processor architectures
อย่างไรก็ตามด้วยความสำเร็จอย่างล้นหลามจากการปล่อย Windows 3.0 ทางทีมงานพัฒนา NT ตัดสินใจที่จะทำโครงการซ้ำใหม่ด้วยการพอร์ทระบบ 32-bit อย่าง Windows API หรือที่รู้จักกันในชื่อ Win32 แทน OS/2 ทั้งนี้ Win32 ยังคงมีโครงสร้างที่เหมือนกับกับ Windows APIs ซึ่งทำให้นักพัฒนาโปรแกรมสามารถที่จะทำการพอร์ทโปรแกรมจากระบบปฏิบัติการ Windows 3.0 มาลง Windows NT ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากการใช้เวลาสักพักหนึ่ง Windows NT ก็ถูกปล่อยออกมาสู่ตลาดในเดือน กรกฎาคม 1993 ภายใต้ชื่อ Windows NT 3.1 (ใช้ชื่อเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงกับ Windows 3.1 ที่ดังมากในขณะนั้น) ซึ่งเป้าหมายมุ่งเน้นไปยังผู้ใช้ระดับ Workstation และ servers หลังจากนั้นในเดือนกันยายน 1994 ก็ได้มีการปล่อย Windows NT 3.5 ซึ่งเน้นทางด้านการปรับปรุงทางด้านประสิทธิภาพและสนับสนุน?NetWare ตามมาด้วยในเดือนพฤษภาคม 1995 กับ Windows NT 3.51 ที่ปรับปรุงทางด้านประสิทธิภาพและรองรับการใช้งานกับสถาปัตยกรรม PowerPC ในเดือนมิถุนายน 1996 Microsoft ได้ปล่อย Windows NT 4.0 ออกมาโดยในเวอร์ชันนี้นั้นได้มีการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ให้คล้ายคลึงกับ Windows 95 และในวันที่ 31 เดือนธันวาคม 2004 Microsoft ก็หยุดการให้การสนับสนุน Windows NT 4.0(เวอร์ชัน server)
Windows 2000 (NT 5.0)
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2000 ทาง Microsoft ได้เปิดตัว Windows 2000 ออกมาในฐานะผู้สานต่อ Windows NT และถือเป็นการสิ้นสุดการใช้ชื่อระบบปฏิบัติการ Windows NT มาตั้งแต่ตอนนั้น โดย Windows 2000 นั้นสามารถใช้งานได้ทั้งเครื่อง client และ server แต่การใช้งานนั้นจะเน้นไปที่ server มากกว่า ระบบปฏิบัติการ Windows 2000 นั้นเป็น Windows เวอร์ชันแรกที่มีการแยกระดับของระบบปฏิบัติการ โดย Microsoft ได้แบ่ง Windows 2000 ออกเป็น 4 ระดับได้แก่?Professional, Server, Advanced Server และ Datacenter Server ซึ่งแต่ละระดับนั้นก็มุ่งเน้นเป้าหมายไปยังผู้ใช้งานที่แตกต่างกันออกไป
ถึงจะแยกระดับการใช้งานอย่างชัดเจนแต่ Windows 2000 ทุกเวอร์ชันนั้นก็มาพร้อมกับโปรแกรมอรรถะประโยชน์ของทาง Microsoft เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็น?Microsoft Management Console หรือ?standard system administration อีกทั้ง Windows 2000 ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่อำนายความสะดวกสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางด้านต่างๆ เช่นปัญหาด้านสายตาหรือปัญหาเรื่องของการได้ยิน
Windows 2000 ยังมาพร้อมกับระบบไฟล์ NTSF 3.0 ที่รองรับขนาดความจุของแหล่งเก็บข้อมูลที่มากขึ้น มีระบบการเข้ารหัสไฟล์ และมีความสามารถในการเตรียมการ?Active Directory services และ?fault-redundant storage volumes นอกไปจากนั้น Windows 2000 ยังสามารถที่จะทำการ install ได้ด้วยการ install ตามปกติและสามารถที่จะทำเป็น Bootable CD เพื่อใช้งานการ Install ได้ ทั้งนี้ Windows 2000 ได้รับความไว้วางใจและยกย่องว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพมากที่สุดในขณะนั้น Windows 2000 ถูกปลดประจำการไปเมื่อวันที่ 13 เดือนกรกฎาคม 2010
Windows XP (NT 5.1)
ด้วยเสียงด่าทอ Windows ME ที่มีมาอย่างไม่ขาดสาย ทาง Microsoft จึงได้ตัดสินใจทิ้งฐานการพัฒนาระบบปฏิบัติการภายใต้ DOS แล้วหันมาพัฒนาระบบปฏบัติการใหม่บน Windows NT ที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม รวมทั้งเสถียรภาพที่มีมากกว่า ทำให้เกิดเป็น Windows XP ซึ่งถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่รองรับการใช้งานผู้ใช้ทุกระดับตั้งแต่ผู้ใช้ทั่วไปยัน Workstation ครับ
Windows XP นั้นนำเอาเรื่องของความเข้ากันได้ของการใช้โปรแกรมสืบมาจาก Windows 9X แต่สถาปัตยกรรมภายใน(kernel) นั้นเป็นของ Windows NT ซึ่งทำให้ระบบปฏบิัติการ Windows XP นั้นสามารถใช้งานง่าย และมีความเสถียรเป็นอย่างมาก Windows XP นั้นเปิดตัวสู่สายตาชาวเมื่อวันที่ 25 เดือนตุลาคม ปี 2001 นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนมาใช้สถาปัตยกรรมภายในเป็นของ Windows NT แล้ว ระบบ)กบิัติการ Windows XP ยังได้รับการอัพเกรด User Interface(UI หรือ ส่วนต่อประสาน) ใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีความสวยงามและใช้งานง่ายกว่า Windows เวอร์ชันก่อนหน้าเป็นอย่างมาก
นอกไปจากนั้นยังได้รับการอัพเกรด?streamlined multimedia และ?networking features, มาพร้อมกับโปรแกรมทางด้าน Network มากมายไม่ว่าจะเป็น Internet Explorer 6,?Outlook Express 6, Windows Messengerและ MSN Explorer ระบปฏิบัติการ Windows XP ยังสนับสนุนการใช้งานร่วมกับ.NET Passport services ซึ่งช่วยให้สามารถใช้งานโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาสำหรับระบบ Windows ปฏิบัติการก่อนหน้านี้ได้ และยังมี?Remote Assistance functionality การเล่นเกมนั้นก็ถูกพัฒนาให้ง่ายขึ้นโดย Windows XP มาพร้อมกับ DirectX 8.1 และสามารถที่จะอัพเกรดเป็น DirectX 9.0c ได้
ระบบปฏิบัติการ Windows XP นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 รุ่นคือ?Home Editionและ Professional โดยตอนวางขายนั้นจะมีทั้งเวอร์ชันเต็มและเวอร์ชันอัพเกรด โดยหากผู้ใดจะใช้เวอร์ชันอัพเกรดจะต้องมีระบบปฏิบัติการ Windows มาก่อนหน้านั้นแล้วถึงจะสามารถ install Windows XP ได้ Windows XP นั้นถือได้ว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จของ Microsoft เป็นอย่างมากเนื่องจากว่าสามารถที่จะทำยอดขายได้ทั่วโลก โดย Windows XP นั้นได้มี Service Pack ออกมา ถึง 3 รุ่นด้วยกันเพื่อทำการอัพเกรดให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม Windows XP ถูกจารึกว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่มีระยะเวลาการสนับสนุนจาก Microsoft นานที่สุด คือ 13 ปีด้วยกัน โดยทาง Microsoft พึ่งจะมาหยุดให้การสนับสนุน Windows XP เมื่อวันที่ 8 เดือนเมษายน ปี 2014 ที่ผ่านมา
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับตอนต่อประวัติความเป็นมาของระบบปฏิบัติการ Windows ทั้งนี้ตำนานของ Windows ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ครับยังมีวันเวลาที่ทั้งดีและแย่ของระบบปฏิบัติการ Windows อีกมาก ขอให้ทุกท่านคอยติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะครับ
ที่มา : microsoft, wikipedia, wpcenter