ถ้าพูดถึงตลาดเครื่องพิมพ์สำหรับผู้ใช้งานระดับทั่วไปหรือเรียกแบบเป็นทางการว่าระดับคอนซูมเมอร์นั้นราคาก็จะเห็นกันตั้งแต่ระดับพันปลายจนไปถึงประมาณสามพันกว่าบาท ซึ่งถ้าราคามากกว่านี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นระดับกึ่งโปรที่เริ่มเน้นฟีเจอร์ต่างๆ หรือการพิมพ์งานจำนวนมากขึ้นแล้ว ซึ่งในเรื่องพิมพ์ที่เราจะนำมาเทียบกันวันนี้ก็คือ HP Deskjet Ink Advantage 2545 และ EPSON ME-301 ที่มีราคา ซึ่งถือเป็นเครื่องพิมพ์ระดับคอนซูมเมอร์ระดับไฮเอนด์ที่มีฟีเจอร์การใช้งานพื้นฐานรวมไปถึงการใช้งานที่ง่ายไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ทั้งสองรุ่นนั้นก็มีข้อจำกัดและจุดดีที่เราจะนำมาเทียบในวันนี้ครับ
จากการลองติดตั้งใช้งานนั้น เครื่องของ EPSON ME-301 นั้นมีขนาดเล็กกว่า HP Deskjet 2545 อยู่เล็กน้อยประมาณ 10% ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ทำให้ ME-301 นั้นเหมาะสำหรับการใช้งานบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด แต่ ME-301 นั้นจะติดตั้งติดตั้งยากกว่า โดยช่องเสียบสาย USB นั้นอยู่ลึกเข้าไปในช่องของเครื่อง ซึ่งก็คลำพักหนึ่งกว่าจะเสียบได้ แต่ของ HP Deskjet 2545 นั้นช่องอยู่ภายนอกชัดเจนจึงไม่มีปัญหาอะไร ถึงแม้จะไม่ได้ลำบากมากตอนติดตั้งแต่ก็รู้สึกว่าของ EPSON น่าจะทำได้ง่ายกว่านี้ โดยทั้งสองเครื่องนั้นสามารถทำการเชื่อมต่อแบบ Wireless เข้ากับเครือข่ายได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมกับ PC โดยตรง
ต่อมาเมื่อลองใช้งานดูคร่าวๆ นั้นดูเหมือนของ HP จะออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายกว่า สัญลักษณ์บนเครื่องนั้นสื่อความหมายออกมาได้ชัดเจนว่าหมายถึงอะไร อย่างของ HP 2545 นั้น อย่างปุ่มกากบาทที่ไว้ใช้ยกเลิกงานพิมพ์ หรือปุ่ม Copy ที่ทำออกมาเป็นสีและขาวดำชัดเจน สำหรับของ EPSON นั้นใครที่ใช้ครั้งแรกอาจจะมึนกันได้เล็กน้อย (อย่างน้อยคนรีวิวก็ต้องหยิบคู่มือมาเปิดทีดูเพราะงง) ส่วนหนึ่งเพราะว่าบางปุ่มนั้นไม่ได้ทำงานแค่อย่างเดียว อย่างปุ่มที่เป็นเครื่องหมายสามเหลี่ยมซ้อนวงกลมนั้นสามารถใช้ทั้งยกเลิกงาน ทำความสะอาดหัวพิมพ์ ไม่รวมไปถึงสามารถกดพร้อมกับปุ่มอื่นๆ เพื่อใช้งานแบบพิเศษได้ จุดนี้ทำให้คอนโซลเครื่องของ EPSON ทำอะไรได้เยอะกว่าของ HP ก็จริง แต่ก็คงต้องอาศัยเวลาศึกษากันระยะหนึ่งกว่าจะชิน ส่วนอินเตอร์เฟซของ HP นั้นตรงไปตรงมาและใช้งานง่ายกว่า
ถ้าให้ลงความเห็นว่าชอบตัวไหนมากกว่า ก็รู้สึกว่าชอบของ HP มากกว่าเพราะรู้สึกใช้งานได้ง่าย สะดวก ของ EPSON นั้นอาจจะดูซับซ้อนกว่าและไม่จำเป็นต้องทำจากหน้าเครื่องก็ได้ อย่างเช่นการทำความสะอาดหัวพิมพ์เพราะไม่ได้ใช้งานบ่อยเท่าไรครับ
(HP พิมพ์งานเอกสารได้ดีกว่าและพิมพ์งานได้เร็วกว่า EPSON เหมาะพิมพ์รูปภาพมากกว่า ส่วนงานแสกนและเอกสารทำได้เสมอกัน??)
ส่วนของงานพิมพ์นั้น คนที่คุ้นเคยกับงานพิมพ์ก็คงรู้ถึงชื่อเสียงของ EPSON ดีอยู่แล้วทั้งในเรื่องคุณภาพของงานพิมพ์ สำหรับ ME-301 นี้ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด โทนสีของภาพนั้นทำออกมาได้สวยงามกว่า HP 2545 โทนสีของ HP 2545 นั้นจะออกมาเข้มและสดไปบ้างเมื่อมาเทียบกันตรงๆ กับ EPSON เพราะ EPSON นั้นสีจะออกมาเป็นธรรมชาติและสวยงามกว่า ออพชันการพิมพ์ต่างๆ นั้น EPSON มีให้ปรับกันจนหนำใจสำหรับคนชอบลองโน่นลองนี่
ภาพด้านล่างนั้นด้านซ้ายพิมพ์จาก EPSON ME-301 ส่วนด้านขวาคือ HP 2545 จะเห็นว่าโทนสีรวมของ HP 2545 จะเข้มกว่าชัดเจนในชณะที่ ME-301 จะพิมพ์สีเนื้อออกมาได้สวยกว่าครับ ภาพจาก ME-301 นั้นดูแล้วเหมือนภาพวาดมากกว่า
ที่น่าสนใจนั้นอาจจะเป็นโปรไฟล์ ?Photo RPM? ของ EPSON ที่ใช้ความละเอียดการพิมพ์สูงสุดที่ 5760 x 1440 พิกเซล เมื่อลองพิมพ์เทียบกับ ?Best Photo? ที่ใช้ความละเอียดที่ 5790 x 1440?dpi นั้นภาพก็ไม่ได้ออกมาแตกต่างจนเห็นด้วยตาเปล่า แต่ Photo RPM นั้นใช้เวลาพิมพ์ไปเกือบ 40 นาทีต่อแผ่น เรียกว่าพิมพ์กันจนลืมทีเดียว
งานพิมพ์เอกสารนั้น HP ทำได้ออกมาได้ถือว่าดีกว่าเมื่อเทียบกับ EPSON โดยตัวอักษรของ HP นั้นคมกว่าเล็กน้อยในการพิมพ์แบบ Normal ส่วนเรื่องของการแสกนนั้น HP ก็ทำได้ดีกว่าเช่นกัน การลงหมึกดำของ HP นั้นเข้มกว่าและไม่มีเส้นสแกนติดมาเมื่อเทียบกับของ EPSON แต่พอเป็นงานถ่ายเอกสารสีนั้น HP ก็แพ้ไปตามระเบียบเพราะการพิมพ์สีของ EPSON นั้นดีกว่า อย่างรูปด้านล่างนั้นจะเห็นว่างานที่ออกมาจาก HP 2545 นั้นจะออกมาโทนเหลืองและส้ม (รูปด้านบน) ส่วนของ EPSON นั้นมีโทนสีแดงเข้ามาด้วยทำให้ภาพดูดีกว่า
สรุปงานพิมพ์สีนั้น สามารถยกให้ EPSON ชนะไปได้แบบไม่ต้องสงสัย แต่ HP นั้นกลับทำงานพิมพ์ในส่วนของเอกสารได้ดีกว่า รวมถึงความเร็วที่พิมพ์ได้เร็วกว่าโดยเฉลี่ย ถ้าใครเน้นงานพิมพ์สีนั้น EPSON เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าอย่างแน่นอน ส่วน HP นั้นเหมาะกับงานเอกสารที่ไม่ได้เคร่งกับเรื่องคุณภาพงานพิมพ์สีเท่าไร แต่ก็ถือว่าทำได้แบบสอบผ่าน และความเร็วในการพิมพ์ของ HP ก็ดีกว่าด้วยครับ
เมื่อพูดถึงความคุ้มค่านั้นหลายๆ คนอาจจะเอนไปทาง EPSON มากกว่าเนื่องจากตลับหมึกของ ME-301 นั้นเป็นแบบแยก 4 สี สีไหนหมดก็เปลี่ยนสีนั้น จึงดูแล้วน่าจะประหยัดกว่าของ HP2545 ที่เป็นตลับหมึกสีรวมแน่นอน แต่เอาจริงๆ แล้วปัญหาของผู้ใช้ส่วนใหญ่ที่มองข้ามไปนั้นคือปัญหาเรื่องหมึกตันมาจากไม่ได้ใช้เครื่องเสียมากกว่า โดยตลับหมึกของ HP 2545 นั้นจะทำการเปลี่ยนหัวพิมพ์ให้ด้วยทุกครั้งที่เปลี่ยนตลับ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานมาระยะหนึ่งจนหมึกตันก็เปลี่ยนตลับหมึกไปก็สามารถกลับมาพิมพ์ได้ตามปกติแล้ว
ในแง่ของความคุ้มค่านี้ ถ้าผู้ใช้มีงานพิมพ์สีที่เยอะ EPSON ME-301 นั้นดูจะคุ้มค่ากว่าเนื่องจากตลับสีนั้นเป็นแบบแยก เปลี่ยนเฉพาะสีที่หมดเท่านั้น แต่อาจจะต้องคอยดูแลเรื่องหัวพิมพ์กันบ้างตามธรรมชาติของเครื่อง InkJet ส่วน HP 2545 นั้นอาจจะไม่เหมาะเอามาพิมพ์งานสีหนักๆ แต่ด้วยการที่ตลับหมึกนั้นเปลี่ยนหัวพิมพ์มาให้ตลอดผู้ใช้จึงไม่ต้องเสี่ยงกับเรื่องหัวพิมพ์ตันที่มักจะมีราคาแพงถ้าต้องเปลี่ยนโดยมีราคาตั้งแต่พันถึงสองพันบาทขึ้นไป
ส่วนงานพิมพ์ขาวดำนั้นดูแล้วกลับว่า HP จะเป็นต่อเสียมากกว่า นอกจากงานพิมพ์ขาวดำของ HP จะดูดีกว่านั้น การที่เปลี่ยนหัวพิมพ์ทุกครั้งที่เปลี่ยนตลับเป็นการการันตีคุณภาพของงานพิมพ์ได้ส่วนหนึ่ง และความเร็วในงานพิมพ์ที่ดีกว่าทำให้ HP 2545 ดูจะเหมาะกับงานเอกสารที่อาจจะมีบางส่วนที่เป็นรูปภาพหรือกราฟที่เป็นสีติดมาบ้างครับ
ถึงแม้ว่าทั้ง HP Deskjet 2545 และ EPSON ME-301 นั้นจะสามารถใช้งานแบบไร้สายได้เหมือนกันซึ่งทำได้โดยเชื่อมต่อเครื่องพิมพ์เข้ากับเราเตอร์จากนั้นเครื่องที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันก็จะเห็นเครื่องพิมพ์ของเราทั้งหมด แต่ของ HP 2545 นั้นรองรับการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi Direct ที่สามารถนำสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตสั่งพิมพ์งานไปยังเครื่องพิมพ์ได้โดยตรงผ่านแอพลิเคชัน HP ePrint (ดาวโหลดได้จากใน Google Plays Store หรือ Appstore) และไม่จำเป็นต้องจำเป็นต้องพึ่งเราเตอร์ก็สามารถใช้งานได้ ทำให้ HP 2545 นั้นมีความยืดหยุ่นในการใช้งานมากกว่าของ EPSON ที่เครื่องจะต้องอยู่ในเครือข่ายเดียวกันเท่านั้นจึงจะสั่งพิมพ์ผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตได้ครับ
การรับประกันเครื่องพิมพ์ของทาง HP นั้นรับประกันทั้งหมดเป็นเวลา 2 ปีและรวมไปถึงแพคเกจบริการหลังการขายที่เรียกว่า HP SmartFriend ที่เมื่อเครื่องมีปัญหานั้นจะมีพนักงานของ HP มาซ่อมถึงที่และสามารถโทรหา Call Center ได้ 24 ชั่วโมง (รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้ที่ลิงค์นี้) ส่วนการประกันเครื่องปรินเตอร์ของทาง EPSON นั้นเป็นแบบ 1 ปีแบบ Carry-in ที่เมื่อเครื่องเสียต้องนำเข้าเครื่องเข้าศูนย์บริการไปด้วยตัวเอง หรือถ้าต้องการซ่อมนอกสถานที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ส่วนของบริการหลังการขายนั้น HP จึงดีกว่าแบบไร้ข้อกังขาครับ
HP ดีกว่าสำหรับงานพิมพ์เอกสาร การใช้งานที่ง่ายและสะดวกในการดูแลรักษา ส่วน EPSON เหมาะสำหรับงานพิมพ์สีที่ต้องการความสวยงามระดับสูง
ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องพิมพ์ที่ราคาใกล้ๆ กัน แต่เมื่อลองใช้ไปได้ระยะหนึ่งนั้นกลับพบว่าทั้งสองรุ่นนั้นมีเหมาะสมกับลูกค้าที่ค่อนข้างต่างกันอย่างชัดเจน อย่าง EPSON ME-301 นั้นเหมาะกับคนที่อยากได้งานพิมพ์สีที่มีคุณภาพดี จึงอาจจะเหมาะกับคนที่ใช้งานพิมพ์สีบ่อยอย่างคนที่ทำงานด้านอาร์ตหรือเกี่ยวข้องกับสีเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งยังดูเหมาะกับผู้ใช้งานระดับสูงเพราะมีออพชันงานพิมพ์ที่เยอะกว่า HP พอสมควร ข้อเสียหลักๆ ของ ME-301 นั้นอาจจะเป็นเรื่องความเร็วในการพิมพ์เพราะถือว่าค่อนข้างช้า กับการใช้งานที่จะดูยากกว่าของ HP เพราะมีตัวเลือก การตั้งค่าอะไรเยอะกว่า จึงอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ไม่เก่งคอมเท่าไรนัก
ส่วนของ HP Deskjet Ink Advantage 2545 เอาจริงๆ แล้วก็ถือว่าใช้งานได้รอบด้าน โดยเน้นเหมาะกับงานเอกสารมากกว่า? โดนอาจจะมีงานสีบ้างเป็นครั้งคราวแต่ก็ไม่ได้พิมพ์งานสี A4 เต็มหน้าทุกวัน เพราะการพิมพ์ส่วนของสีดำนั้นรวมๆ กลับดูดีกว่าของ EPSON และความเร็วในการพิมพ์ก็ดีกว่า ซึ่งน่าจะเหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไปรวมไปถึงออฟฟิศขนาดเล็กก็สามารถใช้ได้เช่นกัน รวมไปถึงยังมาพร้อมกับคุณสมบัติ Wi-Fi Direct ทำให้การเชื่อมต่อไร้สายกับอุปกรณ์ต่างๆ ง่ายยิ่งขึ้นไปอีกขั้น
อีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าตัว HP Deskjet Ink Advantage 2545 ดีกว่านั้นคือในเรื่องของความง่ายในการใช้งาน ที่เหมาะกับคนอื่นๆ ที่ไม่เก่งคอมมากนักและงานที่ออกมาก็ถือว่าอยู่ในระดับที่โอเค ส่วนเรื่องการดูแลรักษานั้นเรื่องเรื่องหัวพิมพ์ตันแทบจะไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเปลี่ยนทุกครั้งเนื่องจากหัวพิมพ์อยู่กับตลับหมึก และตลับหมึกเองก็ไม่ได้แพงมากนักอยู่ในราคาประมาณ 300 บาท และประกันอีก 2 ปี on site ของ HP Smart Friend ถ้าให้ผมสรุปสั้นๆ แล้ว HP 2545 นั้นคงเป็นเครื่องพิมพ์ใช้งานง่ายเหมาะกับผู้ใช้ทุกเพศทุกวัย ส่วน EPSON ME-301 นั้นเหมาะกับผู้ใช้ที่มีความรู้เรื่องคอมและจริงจังกับเรื่องสีมากกว่าครับ