หากคุณเป็นผู้ที่เคยใช้ PC Desktop ในช่วง 10 – 15 ปีก่อนหน้านี้นั้น มีอุปกรณ์หนึ่งที่คุณหรือใครหลายๆ คนจะต้องหามาใช้ในเครื่องเพื่อให้ PC ของคุณนั้นสามารถประมวลผลเสียงส่งผ่านลำโพงออกมาได้นั่นคือการ์ดเสียงครับ ซึ่งในสมัยนั้นคงไม่มีใครไม่รู้จักการ์ดเสียงยี่ห้อ Creative ที่แตกซีรีย์ Sound Blaster ออกมามากมายเหลือเกิน มีตั้งแต่ระดับราคา 250 บาท ไปถึง 10,000 บาทกันเลยทีเดียว แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้ผลิต Mainboard ส่วนใหญ่เริ่มใส่ชิปประมวลผลเสียงลงมาใน Mainboard ตั้งแต่ต้นเลย ทำให้ใครหลายๆ คนก็เริ่มจะไม่สนใจหาซื้อการ์ดเสียงมาใส่แยกอีกต่อไปเพราะมีให้ใช้งานอยู่แล้ว Creative จึงเริ่มเสื่อมถอยไปตามกาลเวลาครับ
ถึงแม้ว่าการ์ดเสียงแบบแยกจะหมดความสำคัญในตลาดไปแล้วนั้น แต่ Creative ก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะ Creative มีธุรกิจทางด้านอื่นอยู่ด้วยไม่ว่าจะเป็นหูฟัง ลำโพง หรือเครื่องเล่น MP3 ครับ โดยยังคงมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ทำให้คนหลงลืม Creative มากขึ้นๆ นั้นกลายเป็นความยากในการใช้งานและปัญหาจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ที่กวนใจผู้ใช้ เช่นแจ๊ค 3.5 ของหูฟังและลำโพงจะต้องดันให้สุดถึง 2 รอบเพื่อที่จะฟังเสียงได้ครับ (หากใครเคยใช้งานหูฟังหรือลำโพง Creative รุ่นเก่าจะพบว่า แจ๊ค 3.5 ของ Creative นั้นจะมีร่องอยู่ 2 ร่อง ซึ่งหากใครไม่สังเกตให้ดีจะเสียบลงไปแค่ร่องแรกเท่านั้นไม่ได้ดันต่อ ซึ่งนั่นจะทำให้คุณได้ยินเสียงแต่เสียงจะเบามาก จนคุณอาจคิดว่าลำโพงหรือหูฟังนั้นเสียเป็นต้น)
เพื่อที่จะสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปในยุคนี้ได้นั้น Creative จึงได้มีการปรับตัวในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่ดูทันสมัยมากขึ้น (เมื่อก่อนรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ของ Creative จะมีลักษณะคล้ายๆ กันมากครับ) ปรับปรุงด้านประสบการณ์การใช้งานให้ดีมากขึ้นแต่ก็ยังคงสร้างประสบการณ์แย่ๆ ให้กับผู้ใช้อยู่เช่นเดิม ดังจะเห็นได้จากผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง?Sound Blaster Roar ลำโพง Bluetooth ราคา $200 (ประมาณ 6,600 บาท) ที่มาพร้อมระบบที่เรียกว่า “Life-Saver mode”??ที่สามารถสร้างประสบการณ์ขนหัวลุกให้คุณเพียงแค่คุณแค่สับสวิทเปิดเท่านั้น วันดีคือดีคุณขับรถอยู่คนเดียว ลำโพงตัวนี้อาจจะส่งเสียงเด็กหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราวได้ (แทนที่จะเป็นเสียงเพลง)
หากถามว่า Creative จะสามารถอยู่ในตลาดต่อไปได้หรือไม่นั้นผู้ใช้งานจะเป็นผู้ตอบครับ แต่อย่างน้อยทาง Creative ก็ได้มีความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยมาโดยตลอด สิ่งที่ Creative ควรจะทำมากที่สุดก็คือการพยายามยึดมั่นในคุณภาพของสินค้าที่ Creative สามารถทำได้ดีมาตลอด (คุณภาพทางด้านเสียงที่ได้) และลดจุดด้อยของผลิตภัณฑ์ออก (อย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงแจ๊ค 3.5 ที่ในปัจจุบันสามารถเสียบใช้งานได้ง่ายแล้ว) ท้ายที่สุดก็คือการไม่พยายามยัดเยียดใส่ฟีเจอร์อะไรแปลกๆ ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นการสร้างประสบการณ์แย่ๆให้ผู้ใช้มากกว่าที่จะสร้างประสบการณ์ดีๆ ครับ (อย่างเช่นตัวอย่าง?”Life-Saver mode” ที่ยกไปก่อนหน้านี้)
ที่มา : engadget