เวลาเรียกได้ว่าผ่านไปอย่างรวดเร็วทีเดียว กับการมาของ iPad เจนเนอเรชั่นที่ 4 ซึ่งสำหรับใครหลายๆ คน เชื่อได้ว่ายังใช้ iPad 2 หรือ iPad 3 (The new iPad) กันยังไม่ทันจะเบื่อเลย Apple ก็ได้ส่ง iPad รุ่นใหม่ล่าสุดออกมาอีกแล้ว ที่คราวนี้ต่างออกไปก็ตรงชื่อ ที่ Apple เรียกว่า iPad with Retina Display หรือจะเรียกว่า iPad 4 ก็ได้นะครับ ตามแต่สะดวก สำหรับทางทีมงานได้เคย?รีวิว iPad mini ไปแล้ว ในส่วนของคนที่สนใจสามารถติดตามชมกันได้
ยังไงก็ตามคงไม่สำคัญเท่ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ที่ถึงแม้ว่าดูจากภายนอกเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ?ด้วยการที่ทาง Apple ได้จัดสเปกแรงๆ อย่างชิปประมวลผล A6X เข้าไปในตัวเครื่อง รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อแบบใหม่อย่าง Lightning ที่ก่อนหน้านี้ iPhone 5 และเหล่า iPod รุ่นใหม่ได้เปลี่ยนมาใช้พอร์ตนี้แล้วเหมือนกัน โดยด้านราคาและตำแหน่งในแง่การตลาดนั้น Apple ตั้งใจให้ iPad 4 มาเป็นตัวแทนของ iPad 3 โดยการปลด iPad 3 ออกจากการขายอย่างสมบูรณ์ และตั้งราคาของ iPad 4 ออกมาเท่ากับ iPad 3
Specification
iPad 4 นั้นนอกเหนือจากจะอัพเกรดชิปประมวลผลเป็น Apple A6X Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก PowerVR SGX554MP4 ที่เป็นแบบ Quad-core ?พร้อมแรมขนาด 1GB (เท่าเดิม) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอของ iPad?with Retina Display ที่มีความละเอียดเท่าเดิม ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว
ก็ยังคงรูปแบบดีไซน์และหน้าจอระดับ Retina Display ไว้เหมือนเดิม โดยแบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 32GB, 64GB, 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad 4 นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G แล้ว (แน่นอนว่าใช้ 3G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 32GB ?และ 64GB, 128GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว iPad with Retina Display?นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ
- Wi-Fi 16GB : 16,500 บาท
- Wi-Fi 32GB : 19,500 บาท
- Wi-Fi 64GB : 22,500 บาท
- Wi-Fi 128GB : 25,500 บาท
- Wi-Fi + Cellular?16GB : 20,500 บาท
- Wi-Fi + Cellular?32GB : 23,500 บาท
- Wi-Fi + Cellular?64GB : 26,500 บาท
- Wi-Fi + Cellular 128GB : 29,500 บาท
สำหรับในส่วนของสเปกเต็มๆ สามารถคลิกชมกันได้จากภาพด้านข้างและลิ้งด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ
สเปกเต็มๆ ของ?iPad with Retina Display Wi-Fi
สเปกเต็มๆ ของ?iPad with Retina Display Wi-Fi+?Cellular
Hardware / Design
สำหรับตัวที่เรานำมารีวิวนั้นเป็น iPad with Retina Display?Wi-Fi ความจุ 16GB รุ่นที่เป็นที่ขาวนะครับ ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่บุคคลถ้าใครชอบสีดำหรือกลัวว่าสีขาวใช้ไปนานๆ แล้วจะเหลืองล่่ะก็ สามารถเลือกซื้อเป็นสีดำกันได้เลย แต่จากที่สอบถามคนที่ iPad 3 สีขาวมา ยังไม่เห็นว่ามีใครใช้แล้วตัวเครื่องสีขาวจะกลายเป็นสีเหลืองนะครับ?รูปร่างหน้าตาโดยรวมของ iPad with Retina Display?รุ่น Wi-Fi นั้น จะมีรูปร่างที่เหมือนกับ รุ่น ?Wi-Fi + Cellular เลยก็ว่าได้ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 9.7 นิ้วเช่นเดิม หน้าจอสัมผัสและขอบจอเรียบเสมอเป็นแผ่นเดียวกัน เมื่อใช้งานจึงไม่มีสะดุด เรียกได้ว่า iPad 4 ในส่วนของดีไซน์โดยรวมนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก iPad 3 เลยก็ว่าได้
มาดูในแต่ละส่วนของ iPad ตัวนี้ดีกว่าครับ โดยขอเริ่มจากกล้องหน้าก็แล้วกัน ที่เห็นว่าเป็นจุดเล็กดำๆ ในภาพ ที่จะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซล (1280 x 720 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime?พร้อมกันนั้นยังมีเซ็นเซอร์ปรับความสว่างอัตโนมัติ (Ambient light sensor) อยู่บริเวณด้านบนของตำแหน่งกล้องหน้า
ด้านล่างของตัวเครื่องจะเห็นเป็นปุ่ม Home ไว้สำหรับกลับสู่หน้า Home หรือออกจากตัวของแอพพลิเคชั่นต่างๆ ส่วนงานประกอบต่างๆ ของตัวเครื่องนั้น เรียบร้อยมากพร้อมยังมีความแข็งแรง แน่นหนา ที่สามารถรู้สึกได้ตั้งแต่แรกจับ ตั้งแต่กระจกกันรอย Gorilla Glass รวมไปถึงวัสดุอื่นๆ ก็เป็นชนิดคุณภาพสูงไม่ว่าจะเป็นพลาสติกหรือโลหะที่นำมาประกอบ?ไม่เหมือนกับแท็บเล็ตเจ้าอื่นๆ ในตลาดอย่างแน่นอน ซึ่งข้อนี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ iPad นั้นประสบความสำเร็จนอกจากการที่มีระบบปฏิบัติการและแอพพลิเคชั่นที่ดีแล้ว
ด้านหลังของ iPad with Retina Display?ก็ยังคงตามแบบฉบับสวยงามและหรูหราน่าจับจอง ตามสไตล์ของ Apple เช่นเดียวกับ MacBook พื้นผิวสัมผัสเป็นแบบเรียบๆ พร้อมกับโลโก้ชัดเจนอยู่บริเวณกลางเครื่องที่สะท้อนเงาเล็กน้อย โดยวัสดุที่ใช้นี้ยังคงเป็นอะลูมิเนียมแบบด้านที่แข็งแรง ซึ่งจับแล้วไม่ค่อยเกิดรอยนิ้วมือมากนัก จากการทดลองถือและจับ เรียกได้ว่ามีความแข็งแกร่งสูงด้วยความที่เป็นโลหะชั้นดี แต่ก็มีข้อจำกัดแบบเดิมๆ เล็กน้อย ก็คือถอดประกอบฝาหลังด้วยตนเองไม่ได้ กับเพิ่มการ์ดหน่วยความจำไม่ได้ ซื้อมาแค่ไหนใช้มันเท่านั้นพอ (แต่โดยส่วนตัว แนะนำเป็นรุ่น 32GB หรือ 64GB จะเหมาะสุด 16GB ใช้งานจริงอาจจะน้อยเกินไปหน่อย) หรือถ้าต้องการจัดเต็มก็สามารถเลือกซื้อ 128GB ไปได้เลย
มุมซ้ายด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5mm ที่ใช้กันในทั่วไปตามอุปกรณ์ต่างๆ แน่นอนว่ารองรับการใช้งานหูฟังแบบมีไมค์ซึ่งเราสามารถอัดเสียงหรือปรับความดังได้ผ่านหูฟังได้ทันที แต่ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐานที่มากับเครื่องนั้น ไม่มีหูฟังแถมมาให้อย่งาที่มาใน iPhone หรือ iPod แต่อย่างใดนะครับ?ด้านบนบริเวณตรงกลางเครื่อง ที่ถ้าเรามองดีๆ แล้ว จะพบกับช่องของไมค์โครโฟน ที่ไว้รองรับการใช้งานวีดีโอ หรือบันทึกเสียงอื่นๆ
ขอบด้านบนขวาของตัวเครื่องด้านบนจะเป็นปุ่มสีดำ Power / Sleep ส่วนขอบด้านข้างขวาจะเป็นปุ่ม Hold ที่สามารถเลือกที่จะปิดเสียงหรือเป็นตัวล็อกหน้าจอไม่ให้ปรับอัตโนมัติก็ทำได้ โดยการเลื่อนขึ้น-ลง และสุดท้ายคือปุ่มปรับระดับเสียง เรียกได้ว่ายังคงเอาไว้อย่างเดิมไม่แตกต่างจาก iPad 3 อย่างใดเลย
Screen / Speaker
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีความละเอียด ?2048 x 1536?พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) ซึ่งจัดได้ว่ามีความละเอียดของหน้าจอมากกว่าเดิมถึง 4 เท่าด้วยกัน สัดส่วนจอเป็น 4:3?แบบเดิมๆ?ซึ่งต่างจากสัดส่วนจอของ iPhone 5 หรือ iPod Touch รุ่นล่าสุดที่เป็น 16:9 รวมไปถึงแท็บเล็ต Android ที่ส่วนมากเป็น 16:9 เรียกได้ว่าเหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book หรือ แอพพลิเคชั่น แม็กกาซีนที่ให้ดาวน์โหลดได้ต่างๆ?ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีความหนาแน่นเท่ากับ iPhone 5 ซึ่งค่าอยู่ที่ 326 PPI แต่ก็เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใข้บนแท็บเล็ตแล้วครับ เพราะปกติเราจะใช้ห่างตากว่าบนสมาร์ทโฟนอยู่แล้วครับ ฉะนั้นความละเอียดมากไปกว่านี้ก็จะไม่เห็นความแตกต่าง
นอกจากนี้กับขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเท่ากับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่กลับมีความละเอียดหน้าจอถึง 2048 x 1536 พิกเซล (iPad 1, iPad 2 มีความละเอียดเพียง?1024 x 768 พิกเซลเท่านั้น) ซึ่งหากเรานำมาเทียบกับ LCD TV ในปัจจุบันที่มีขนาดหน้าจอ 32 – 50 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลแล้วล่ะก็ จะเห็นได้ว่า iPad ตัวใหม่นี้ นั้นมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วขึ้นเยอะมาก (ซึ่งในส่วนนี้เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พัฒนาไปกว่า iPad 3 เลย)
แต่จะว่าไปก็มีอีกหนึ่งข้อสังเกตุเหมือนกันก็คือกระจกหน้าจอมีความสะท้อนมาก เรียกได้ว่าถ้านำไปใช้งานข้างนอกบ่อยๆ ก็ควรติดฟิล์มกันรอยแบบด้านลดแสงสะท้อนจะดีที่สุดนะครับ?
ช่องที่มีลักษณะเป็นรูเล็กๆ ซึ่งอยู่บริเวณมุมด้านล่างของตัวเครื่อง นั่นคือลำโพงซึ่งเป็นแบบระบบโมโน (ลำโพงแบบออกช่องทางเดียว) ที่จัดว่าคุณภาพเสียงที่ออกมานั้น ดีขึ้นกว่า iPad รุ่นก่อนๆ พอสมควรทีเดียว แต่จะว่าไปสำหรับคนที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีจริงๆ แล้วล่ะก็ แนะนำให้ซื้อหูฟังคุณภาพดีๆ หรือลำโพงคุณภาพสูงมาเชื่อมต่อใช้งานจะดีที่สุดครับ
Keyboard / Touchscreen
ด้านหน้าตาของรูปแบบคีย์บอร์ดก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกับใน iPad เดิมๆ ?ซึ่งส่งผลให้เราสามารถใช้งานในการพิมพ์ตัวอักษรด้วยกันจับสองมือที่ง่ายดายขึ้น ด้วยความที่ว่ามีรูปแบบเป็น QWERTY ตามปกติที่ใช้ในคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนว่าใครจะใช้คีย์บอร์ดแบบเดิมๆ หรือใครจะเลือกให้คีย์บอร์ดแยกฝั่งแบบ Split ก็สามารถทำได้เช่นเดิม ก็แล้วแต่ความถนัดครับ โดยการใช้แบบ?Split ก็ง่ายมาก เพียงใช้นิ้วแตะแล้วแยกออกจากกันเท่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่าใดๆ เลย
สำหรับการสั่งงานจากการสัมผัสหน้าจอ ผลิตภัณฑ์ของ Apple เอง ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของความแม่นยำของตำแหน่งในการกด การเลื่อนกราฟิกต่างๆ อย่างนุ่มนวล พร้อมรองรับการใช้งาน 10 นิ้วพร้อมๆ กันในการเล่นเกมและเล่นแอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมา หรือแม้กระทั่งการรองรับการใช้งานหลายๆ นิ้วพร้อมกัน อาทิ การขยุ้มนิ้วกลับไปที่หน้า Home, ปัดนิ้วขึ้นเพื่อเปิดแถบ Multitask หรือ ปัดซ้าย-ขวาเพื่อสลับแอพพลิเคชั่นการใช้งาน เป็นต้น
Battery / Heat
ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A5X เป็น Apple A6 ยังคงมีอัตราการใช้พลังงานเท่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ Apple ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องก็ยังต้องเป็น 10 ชั่วโมงเหมือนเดิม จึงทำให้ iPad 4 นี้ มีความจุของแบตเตอรี่เท่าเดิมเหมือน iPad 3 นั่นก็คือ 11,666 mAh เรียกได้ว่าหากเทียบความจุแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะเห็นได้ชัดเจนว่ามี ความจุมากกว่า 2-3 เท่าทีเดียว โดยจากการทดสอบใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi สลับกับการเล่นเกม 3 มิติบ้างตลอดทั้งวัน ตัวของ iPad 4 ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เล่นต่อเนื่องขนาดนี้ 2-3 วันชาร์จไฟครั้งหนึ่งก็ยังได้ ส่วนการชาร์จไปเข้า iPad 4 จาก 10% ถึง 100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่นานจนเกินไป
ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมีมาก โดยส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad 3 อยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลม) แต่ถ้าอยู่ในนอกสถานที่ที่ค่อนข้างร้อน ตำแหน่งซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากจนแทบจะจับนานๆ ไม่ได้เช่นเดิม ดังนั้นเป็นไปได้ใส่เคสไว้อีกชั้นจะเป็นตัวช่วยที่ดีครับ
Connector / Thin And Weight
ขอบจอด้านล่างก็จะเป็น USB Connector รูปแบบพอร์ต Lightning โดยไว้เชื่อมกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางโปรแกรม iTunes หรือ Docking ต่างๆ อีกทั้งยังไว้เชื่อมต่อกับ Wall Charge เพื่อชารจ์ไฟอีกด้วย ซึ่งมาแทนที่พอร์ต Dock 30 พินอย่างเดิมๆ ซึ่งคุณสมบัติและประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของพอร์ต Lightning ในขณะนี้ก็ได้แก่
- สามารถเสียบสาย Lightning ได้ง่าย เพราะทั้งสายและพอร์ตถูกออกแบบมาให้สามารถเสียบได้ทั้งสองด้าน
- พอร์ตและหัวสายมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม ทำให้ Apple สามารถออกแบบตัวเครื่องได้เล็กลงกว่าเดิม
- มีเพียง 8 พินในการเชื่อมต่อเท่านั้น จากของเดิมที่มีอยู่ 30 พิน
- ตัวพอร์ตมีความแข็งแรง สามารถยึดสายได้มั่นคงกว่ารุ่นเดิม
- ความเร็วในการเชื่อมต่อเร็วกว่าพอร์ตเดิม แต่ก็ยังอยู่ในรูปแบบมาตรฐาน USB 2.0
iPad 4 สำหรับน้ำหนักการจับถือรวมไปถึงมิติเรียกได้ว่ารู้สึกได้ทันที?กับน้ำหนักและตัวเครื่องที่มีขนาดเท่าเดิมเหมือน iPad 3 ที่โดยส่วนตัวแล้วก็ถือว่ามีความหนาของตัวเครื่องและน้ำหนักที่มากอยู่ ถือได้ว่าในส่วนนี้ตรงนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือได้รับการพัฒนาแต่อย่างใด แน่นอนว่าสำหรับใครที่หวังว่าจะพกพาได้สะดวกมากยิ่งขึ้นคงต้องผิดหวังกันไปนะครับ ยังไงอาจจะต้องรอ iPad รุ่นต่อไป ให้มีความหนาและน้ำหนักที่ลดลง อย่างไรก็ตามรายละเอียดต่างๆ สามารถชมได้จากภาพด้านบนได้เลย?
* iPad?with Retina Display รุ่น?Wi-Fi + Cellular?จะมีน้ำหนักมากกว่ารุ่น Wi-Fi ปกติ 10 กรัม
Camera
ในส่วนของกล้องด้านหลังอีกด้วย ที่ในตามภาพจะเห็นเป็นวงกลมสีดำ ซึ่งตัวกล้องเองสามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 5 ล้าน พิกเซล ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดย?iPad?with Retina Display?นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์และชุดเลนส์เช่นเดียวกับ iPhone 4S ส่งผลให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมานั้นมีความสวยงามและชัดเจนกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีทางสวยไปกว่า iPhone 5 แน่นอน
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ติดตั้งมาให้ครับ ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายที่อยู่ทางด้านข้างนะครับ?(สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้)
ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A6X ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายเหมือนเดิม เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ
อาทิเช่น เปลี่ยนหมวดถ่ายภาพนิ่ง/วีดีโอ, ปุ่มลั่นชัตเตอร์/อัดวีดีโอ, สลับกล้องหน้า/หลัง และ ซูม รวมถึงปุ่มลัดเข้า Photos แต่ก็จะมีหลายๆ อย่างที่ iPhone มีแต่ iPad รุ่นใหม่นี้ ไม่มีก็คือ การเปิด/ปิด/Auto Flash และการถ่ายภาพแบบ HDR (High Dynamic Range) โดยกล้องหน้านั้นถ่ายได้ความละเอียดแบบ VGA ไม่จำเป็นต้องเข้า Mode Video Call สามารถใช้ถ่ายปกติได้ โดยสาวๆ คงจะได้ใช้กันอย่างทั่วหน้า เชื่อได้ว่าน่าจะใช้บ่อยกว่ากล้องหลังที่มีความละเอียดมากกว่าเสียอีก
พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้แล้ว
Performance / Software
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการของ iPad 4 จะเริ่มต้นมาเป็น iOS 6 แล้ว โดยในเครื่องที่เราได้มามีการติดตั้ง iOS 6.0.1 มาให้ ซึ่งเครื่องที่จำหน่ายในช่วงหลังๆ น่าจะมาพร้อมกับ iOS 6.0.1 กันหมดแล้ว โดยในส่วนของรูปแบบการใช้งานก็ไม่แตกต่างไปจากใน iPad หรือ iPhone ก่อนหน้านี้เท่าไหร่นัก สำหรับคนที่เคยใช้งานอยู่แล้วก็เรียกได้ว่าซื้อมาแล้วใช้งานได้ทันที ส่วนถ้าใครไม่เคยใช้งาน iOS ก็รับรองได้ว่าจับแค่ไม่ถึง 30 นาทีก็น่าจะใช้งานในระดับเริ่มต้นได้คล่องมือแล้วนะครับ
ตัวอย่างของการเปิดแอพพลิเคชั่น App Store แหล่งดาวน์โหลดของฟรีและเสียเงิน และตัวอย่างการเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น Facebook ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้สะดวกมากเมื่อเทียบกับการใช้งานบน iPhone ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่า
อีกทั้งในส่วนของการใช้งาน E-Magazine ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีจากขนาดที่ใหญ่ และความละเอียดหน้าจอที่สูง แน่นอนว่าถ้าใครชอบอ่านไฟล์ต่างๆ ในแท็บเล็ตเป็นประจำ iPad with Retina Display ต้องตอบโจทย์อย่างแน่นอน ซึ่ง E-Magazine นี้ก็มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินนะครับ ยังไงลองเลือกซื้อเลือหากันตามไลฟ์สไตล์กันดู ซึ่งจากการซูมดูก็จะเห็นว่าไม่มีลักษณะภาพแตกเหมือนกับ iPad mini แต่อย่างใด (ต้นฉบับต้องมีความละเอียดระดับ Retina อยู่แล้ว)
นอกจากนี้การใช้งานแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อย่างเกม 2 มิติ 3 มิติ ก็สนับสนุนการใช้งานบน iPad with Retina Display?ได้อย่างสบายๆ ทั้งในเรื่องของความคมชัดและกราฟิกที่สวยงามเรียบเนียน ที่เราจะเห็นได้ชัดเจนในเกมที่เป็นกราฟิก 3 มิติหนักๆ อย่าง Mass Effect และ Need for Speed ซึ่งถือว่าเป็นจุเด่นสำคัญเพราะใช้ชิปประมวลผลที่แรงกว่าชิปรุ่นเดิมถึง 2 เท่าด้วยกัน รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นรวมโซเซียสเน็ตเวิร์คอย่าง Flipboard ที่จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่ควรติดเครื่อง iPad เอาไว้ เพราะด้วยหน้าจอขนาดใหญ่กว่า iPhone และ iPad mini ทำให้เราสามารถรับชมได้อย่างสบายตาทีเดียวครับ
สรุปการใช้งานและประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่อง iPad with Retina Display?นั้น สามารถตอบสนองการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเล่นอินเตอร์เน็ต อ่าน E-Book, E-Magazine หรือเล่นเกมที่ใช้กราฟิกที่สวยงาม ทุกอย่างล้วนมีความลื่นไหลและสวยงาม โดยรวมก็มีความลื่นไหลมากๆ ซึ่ง?iPad with Retina Display เหมาะมากๆ สำหรับคนที่เน้นในเรื่องความแรงของประสิทธิภาพ เพราะเรียกได้ว่าชิป Apple A6X นั้น มีความแรงมากที่สุดในหมู่อุปกรณ์ iDevice ด้วยกัน ที่ถือว่าอาจจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนมากนักหากเทียบกับ iPad แต่จะเห็นได้เล็กๆ น้อยๆ ว่าโหลดเกมหรือเข้าใช้งานแอพพิลเคชั่นต่างๆ แต่ในส่วนของการใช้งานทั่วไปบอกได้เลยว่าแทบไม่แตกต่างกันครับ
Conclusion
iPad with Retina Display (iPad 4)?ยังถือได้ว่าเป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบันนี้ ด้วยความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย (แน่นอนว่าใครใช้งานจริงคงรู้ดี) เรียกได้ว่าไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้วเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แน่นอนว่าทำให้เเท็บเล็ตอย่าง Android ที่ตอนนี้ผู้ผลิตหลายๆ ค่ายได้ส่งออกมา?ยังพยายามเข้ามาเจาะตลาดเเท็บเล็ตนั้นทำได้ลำบากมากอยู่ โดยดูจากยอดจำหน่ายก็จะะเห็นได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงมีแท็บเล็ต Windows 8 และ Windows RT เข้ามาร่วมแข่งขันในตลาดนี้ด้วยแล้ว?ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไปว่าคู่แข่งรายต่างๆ จะทำได้ดีแค่ไหน เพราะอย่างไรก็ตาม iPad คงไม่ใช่คำตอบในการใช้งานแท็บเล็ตของหลายๆ คนแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายส่วน
อย่างไรก็ตาม iPad with Retina Display? (หรือจะเรีบกว่า iPad 4 ก็ได้) ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอครับ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน) และถึงแม้จะมีข้อสังเกตเรื่องความร้อนอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้หากใช้ในห้องแอร์ ส่วนถ้าใช้ข้างนอกคงต้องใส่เคสกันซักหน่อย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากที่สเปกของ iPad ตัวใหม่นี้สูงขึ้นนั่นเอง (แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์เทียบเท่ากับ iPad 3)
ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนๆ มา จะเห็นว่าการมาของ iPad with Retina Display?ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์อย่าง iOS 6 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกเหนือไปจากความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากชิปประมวลผลที่เร็วขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อพอร์ต Lightning ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่เยังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตอะไรมากก่อนเลย iPad with Retina Display (iPad 4)?ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,500 บาท ?แต่ถ้าใครใช้ iPad 3 อยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก หากไม่ต้องได้ใช้งานที่ลื่นไหลมากกว่าเดิมและพอร์ต Lightning ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ iPad 4 มาแทนที่ iPad 3 แต่อย่างใดครับ รวมไปถึงคนที่ต้องการใช้งานพกพาบ่อยๆ และไม่เน้นในเรื่องของประสิทธิภาพ ก็สามารถมาจับจอง iPad mini ได้นะครับ สนนราคาก็เริ่มต้นเพียง 11,200 บาทเท่านั้นเอง ?[ชมรีวิว iPad mini]
จุดเด่น
- มีดีไซน์และความสวยงามหรูหราเช่นเดิม แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงจาก iPad 3
- หน้าจอมีความสวยงาม ด้วย Retina Display จากความละเอียดและพาเนล IPS
- ประสิทธิภาพดีกว่า iPad 3 แบบรู้สึกได้เหมือนใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม 3 มิติกราฟิกสูง
- ลำโพงที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม แบบรู้สึกได้ทันทีเมื่อเปิดเพลงหรือดนตรี
- ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ในทั้งส่วนของงานประกอบและแอพพลิเคชั่น
- ใช้พอร์ต Lightning ที่มีขนาดเล็กลงและเชื่อมต่อได้สะดวกกว่าเดิม
ข้อสังเกต
- ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไปจาก iPad 3 มากนัก
- น้ำหนักและความหนาตัวเครื่องยังมีอยู่มาก?
- ถ้าใครเน้นพกพาเป็นหลักก็ลองดูเป็น iPad mini ได้
Specification
iPad 4 นั้นนอกเหนือจากจะอัพเกรดชิปประมวลผลเป็น Apple A6X Dual-core ความเร็ว 1.4 GHz มาพร้อมชิปประมวลผลกราฟิก PowerVR SGX554MP4 ที่เป็นแบบ Quad-core ?พร้อมแรมขนาด 1GB (เท่าเดิม) แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอของ iPad?with Retina Display ที่มีความละเอียดเท่าเดิม ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว
ก็ยังคงรูปแบบดีไซน์และหน้าจอระดับ Retina Display ไว้เหมือนเดิม โดยแบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 16GB และไล่มาเป็น 32GB, 64GB, 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad 4 นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G แล้ว (แน่นอนว่าใช้ 3G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น ก็แบ่งเป็น 16GB, 32GB ?และ 64GB, 128GB เช่นกัน ซึ่งรวมแล้ว iPad with Retina Display?นี้แบ่งออกเป็น 6 รุ่นด้วยกันนะครับ
- Wi-Fi 16GB : 16,500 บาท
- Wi-Fi 32GB : 19,500 บาท
- Wi-Fi 64GB : 22,500 บาท
- Wi-Fi 128GB : 25,500 บาท
- Wi-Fi + Cellular?16GB : 20,500 บาท
- Wi-Fi + Cellular?32GB : 23,500 บาท
- Wi-Fi + Cellular?64GB : 26,500 บาท
- Wi-Fi + Cellular 128GB : 29,500 บาท
สำหรับในส่วนของสเปกเต็มๆ สามารถคลิกชมกันได้จากภาพด้านข้างและลิ้งด้านล่างนี้ได้เลยนะครับ
สเปกเต็มๆ ของ?iPad with Retina Display Wi-Fi
สเปกเต็มๆ ของ?iPad with Retina Display Wi-Fi+?Cellular
Hardware / Design
สำหรับตัวที่เรานำมารีวิวนั้นเป็น iPad with Retina Display?Wi-Fi ความจุ 16GB รุ่นที่เป็นที่ขาวนะครับ ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่บุคคลถ้าใครชอบสีดำหรือกลัวว่าสีขาวใช้ไปนานๆ แล้วจะเหลืองล่่ะก็ สามารถเลือกซื้อเป็นสีดำกันได้เลย แต่จากที่สอบถามคนที่ iPad 3 สีขาวมา ยังไม่เห็นว่ามีใครใช้แล้วตัวเครื่องสีขาวจะกลายเป็นสีเหลืองนะครับ?รูปร่างหน้าตาโดยรวมของ iPad with Retina Display?รุ่น Wi-Fi นั้น จะมีรูปร่างที่เหมือนกับ รุ่น ?Wi-Fi + Cellular เลยก็ว่าได้ มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 9.7 นิ้วเช่นเดิม หน้าจอสัมผัสและขอบจอเรียบเสมอเป็นแผ่นเดียวกัน เมื่อใช้งานจึงไม่มีสะดุด เรียกได้ว่า iPad 4 ในส่วนของดีไซน์โดยรวมนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจาก iPad 3 เลยก็ว่าได้
มาดูในแต่ละส่วนของ iPad ตัวนี้ดีกว่าครับ โดยขอเริ่มจากกล้องหน้าก็แล้วกัน ที่เห็นว่าเป็นจุดเล็กดำๆ ในภาพ ที่จะอยู่บริเวณด้านหน้าส่วนบนของตัวเครื่อง พร้อมรองรับความละเอียดที่ 1.2 ล้านพิกเซล (1280 x 720 พิกเซล) ที่ 30 เฟรม แน่นอนว่าไว้สนับสนุนการใช้งาน VDO Call อย่าง FaceTime?พร้อมกันนั้นยังมีเซ็นเซอร์ปรับความสว่างอัตโนมัติ (Ambient light sensor) อยู่บริเวณด้านบนของตำแหน่งกล้องหน้า
ด้านล่างของตัวเครื่องจะเห็นเป็นปุ่ม Home ไว้สำหรับกลับสู่หน้า Home หรือออกจากตัวของแอพพลิเคชั่นต่างๆ ส่วนงานประกอบต่างๆ ของตัวเครื่องนั้น เรียบร้อยมากพร้อมยังมีความแข็งแรง แน่นหนา ที่สามารถรู้สึกได้ตั้งแต่แรกจับ ตั้งแต่กระจกกันรอย Gorilla Glass รวมไปถึงวัสดุอื่นๆ ก็เป็นชนิดคุณภาพสูงไม่ว่าจะเป็นพลาสติกหรือโลหะที่นำมาประกอบ?ไม่เหมือนกับแท็บเล็ตเจ้าอื่นๆ ในตลาดอย่างแน่นอน ซึ่งข้อนี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้ iPad นั้นประสบความสำเร็จนอกจากการที่มีระบบปฏิบัติการและแอพพลิเคชั่นที่ดีแล้ว
ด้านหลังของ iPad with Retina Display?ก็ยังคงตามแบบฉบับสวยงามและหรูหราน่าจับจอง ตามสไตล์ของ Apple เช่นเดียวกับ MacBook พื้นผิวสัมผัสเป็นแบบเรียบๆ พร้อมกับโลโก้ชัดเจนอยู่บริเวณกลางเครื่องที่สะท้อนเงาเล็กน้อย โดยวัสดุที่ใช้นี้ยังคงเป็นอะลูมิเนียมแบบด้านที่แข็งแรง ซึ่งจับแล้วไม่ค่อยเกิดรอยนิ้วมือมากนัก จากการทดลองถือและจับ เรียกได้ว่ามีความแข็งแกร่งสูงด้วยความที่เป็นโลหะชั้นดี แต่ก็มีข้อจำกัดแบบเดิมๆ เล็กน้อย ก็คือถอดประกอบฝาหลังด้วยตนเองไม่ได้ กับเพิ่มการ์ดหน่วยความจำไม่ได้ ซื้อมาแค่ไหนใช้มันเท่านั้นพอ (แต่โดยส่วนตัว แนะนำเป็นรุ่น 32GB หรือ 64GB จะเหมาะสุด 16GB ใช้งานจริงอาจจะน้อยเกินไปหน่อย) หรือถ้าต้องการจัดเต็มก็สามารถเลือกซื้อ 128GB ไปได้เลย
มุมซ้ายด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นช่องเสียบหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5mm ที่ใช้กันในทั่วไปตามอุปกรณ์ต่างๆ แน่นอนว่ารองรับการใช้งานหูฟังแบบมีไมค์ซึ่งเราสามารถอัดเสียงหรือปรับความดังได้ผ่านหูฟังได้ทันที แต่ในส่วนของอุปกรณ์มาตรฐานที่มากับเครื่องนั้น ไม่มีหูฟังแถมมาให้อย่งาที่มาใน iPhone หรือ iPod แต่อย่างใดนะครับ?ด้านบนบริเวณตรงกลางเครื่อง ที่ถ้าเรามองดีๆ แล้ว จะพบกับช่องของไมค์โครโฟน ที่ไว้รองรับการใช้งานวีดีโอ หรือบันทึกเสียงอื่นๆ
ขอบด้านบนขวาของตัวเครื่องด้านบนจะเป็นปุ่มสีดำ Power / Sleep ส่วนขอบด้านข้างขวาจะเป็นปุ่ม Hold ที่สามารถเลือกที่จะปิดเสียงหรือเป็นตัวล็อกหน้าจอไม่ให้ปรับอัตโนมัติก็ทำได้ โดยการเลื่อนขึ้น-ลง และสุดท้ายคือปุ่มปรับระดับเสียง เรียกได้ว่ายังคงเอาไว้อย่างเดิมไม่แตกต่างจาก iPad 3 อย่างใดเลย
Screen / Speaker
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลมีความละเอียด ?2048 x 1536?พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) ซึ่งจัดได้ว่ามีความละเอียดของหน้าจอมากกว่าเดิมถึง 4 เท่าด้วยกัน สัดส่วนจอเป็น 4:3?แบบเดิมๆ?ซึ่งต่างจากสัดส่วนจอของ iPhone 5 หรือ iPod Touch รุ่นล่าสุดที่เป็น 16:9 รวมไปถึงแท็บเล็ต Android ที่ส่วนมากเป็น 16:9 เรียกได้ว่าเหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book หรือ แอพพลิเคชั่น แม็กกาซีนที่ให้ดาวน์โหลดได้ต่างๆ?ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีความหนาแน่นเท่ากับ iPhone 5 ซึ่งค่าอยู่ที่ 326 PPI แต่ก็เรียกได้ว่าเพียงพอต่อการใข้บนแท็บเล็ตแล้วครับ เพราะปกติเราจะใช้ห่างตากว่าบนสมาร์ทโฟนอยู่แล้วครับ ฉะนั้นความละเอียดมากไปกว่านี้ก็จะไม่เห็นความแตกต่าง
นอกจากนี้กับขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้วเท่ากับ iPad รุ่นก่อนๆ แต่กลับมีความละเอียดหน้าจอถึง 2048 x 1536 พิกเซล (iPad 1, iPad 2 มีความละเอียดเพียง?1024 x 768 พิกเซลเท่านั้น) ซึ่งหากเรานำมาเทียบกับ LCD TV ในปัจจุบันที่มีขนาดหน้าจอ 32 – 50 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซลแล้วล่ะก็ จะเห็นได้ว่า iPad ตัวใหม่นี้ นั้นมีความหนาแน่นของพิกเซลต่อตารางนิ้วขึ้นเยอะมาก (ซึ่งในส่วนนี้เอาจริงๆ ก็ไม่ได้พัฒนาไปกว่า iPad 3 เลย)
แต่จะว่าไปก็มีอีกหนึ่งข้อสังเกตุเหมือนกันก็คือกระจกหน้าจอมีความสะท้อนมาก เรียกได้ว่าถ้านำไปใช้งานข้างนอกบ่อยๆ ก็ควรติดฟิล์มกันรอยแบบด้านลดแสงสะท้อนจะดีที่สุดนะครับ?
ช่องที่มีลักษณะเป็นรูเล็กๆ ซึ่งอยู่บริเวณมุมด้านล่างของตัวเครื่อง นั่นคือลำโพงซึ่งเป็นแบบระบบโมโน (ลำโพงแบบออกช่องทางเดียว) ที่จัดว่าคุณภาพเสียงที่ออกมานั้น ดีขึ้นกว่า iPad รุ่นก่อนๆ พอสมควรทีเดียว แต่จะว่าไปสำหรับคนที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีจริงๆ แล้วล่ะก็ แนะนำให้ซื้อหูฟังคุณภาพดีๆ หรือลำโพงคุณภาพสูงมาเชื่อมต่อใช้งานจะดีที่สุดครับ
Keyboard / Touchscreen
ด้านหน้าตาของรูปแบบคีย์บอร์ดก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกับใน iPad เดิมๆ ?ซึ่งส่งผลให้เราสามารถใช้งานในการพิมพ์ตัวอักษรด้วยกันจับสองมือที่ง่ายดายขึ้น ด้วยความที่ว่ามีรูปแบบเป็น QWERTY ตามปกติที่ใช้ในคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ทั่วไปอยู่แล้ว ส่วนว่าใครจะใช้คีย์บอร์ดแบบเดิมๆ หรือใครจะเลือกให้คีย์บอร์ดแยกฝั่งแบบ Split ก็สามารถทำได้เช่นเดิม ก็แล้วแต่ความถนัดครับ โดยการใช้แบบ?Split ก็ง่ายมาก เพียงใช้นิ้วแตะแล้วแยกออกจากกันเท่านั้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้าไปตั้งค่าใดๆ เลย
สำหรับการสั่งงานจากการสัมผัสหน้าจอ ผลิตภัณฑ์ของ Apple เอง ไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของความแม่นยำของตำแหน่งในการกด การเลื่อนกราฟิกต่างๆ อย่างนุ่มนวล พร้อมรองรับการใช้งาน 10 นิ้วพร้อมๆ กันในการเล่นเกมและเล่นแอพพลิเคชั่นที่ออกแบบมา หรือแม้กระทั่งการรองรับการใช้งานหลายๆ นิ้วพร้อมกัน อาทิ การขยุ้มนิ้วกลับไปที่หน้า Home, ปัดนิ้วขึ้นเพื่อเปิดแถบ Multitask หรือ ปัดซ้าย-ขวาเพื่อสลับแอพพลิเคชั่นการใช้งาน เป็นต้น
Battery / Heat
ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ชิปประมวลผลจาก Apple A5X เป็น Apple A6 ยังคงมีอัตราการใช้พลังงานเท่าเดิม ด้วยมาตรฐานของ Apple ระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องก็ยังต้องเป็น 10 ชั่วโมงเหมือนเดิม จึงทำให้ iPad 4 นี้ มีความจุของแบตเตอรี่เท่าเดิมเหมือน iPad 3 นั่นก็คือ 11,666 mAh เรียกได้ว่าหากเทียบความจุแบตเตอรี่กับโน๊ตบุ๊คทั่วไปจะเห็นได้ชัดเจนว่ามี ความจุมากกว่า 2-3 เท่าทีเดียว โดยจากการทดสอบใช้งานเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi สลับกับการเล่นเกม 3 มิติบ้างตลอดทั้งวัน ตัวของ iPad 4 ก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 10 ชั่วโมงจริงๆ ยิ่งสำหรับคนที่ไม่เล่นต่อเนื่องขนาดนี้ 2-3 วันชาร์จไฟครั้งหนึ่งก็ยังได้ ส่วนการชาร์จไปเข้า iPad 4 จาก 10% ถึง 100% จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่นานจนเกินไป
ด้วยชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่ง ส่งผลให้มีความร้อนมีมาก โดยส่วนที่ร้อนที่สุดจะเป็นส่วนของมุมซ้ายล่างของเครื่อง (หันจอเข้าหาตัว) เนื่องด้วยเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผลต่างๆ ของเครื่อง ทำให้เป็นบริเวณที่มีความร้อนสะสมมากที่สุดของเครื่อง อีกทั้งฝาหลังที่ใช้เป็นอะลูมิเนียมอีก ซึ่งช่วยให้ความร้อนภายในถ่ายเทออกมาได้เร็ว แต่ทั้งนี้ก็จะทำให้รู้สึกร้อนมือได้เร็วเช่นเดียวกัน โดยเท่าที่ลองใช้งานมาระยะหนึ่ง พบว่าความร้อนของเครื่องน้อยกว่า iPad 3 อยู่เล็กน้อย ขณะเล่นเกมก็ยังพอสามารถจับเครื่องเล่นได้อยู่ (นั่งในห้องแอร์หรือห้องที่มีพัดลม) แต่ถ้าอยู่ในนอกสถานที่ที่ค่อนข้างร้อน ตำแหน่งซ้ายล่างของเครื่องจะร้อนมากจนแทบจะจับนานๆ ไม่ได้เช่นเดิม ดังนั้นเป็นไปได้ใส่เคสไว้อีกชั้นจะเป็นตัวช่วยที่ดีครับ
Connector / Thin And Weight
ขอบจอด้านล่างก็จะเป็น USB Connector รูปแบบพอร์ต Lightning โดยไว้เชื่อมกับคอมพิวเตอร์ผ่านทางโปรแกรม iTunes หรือ Docking ต่างๆ อีกทั้งยังไว้เชื่อมต่อกับ Wall Charge เพื่อชารจ์ไฟอีกด้วย ซึ่งมาแทนที่พอร์ต Dock 30 พินอย่างเดิมๆ ซึ่งคุณสมบัติและประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของพอร์ต Lightning ในขณะนี้ก็ได้แก่
- สามารถเสียบสาย Lightning ได้ง่าย เพราะทั้งสายและพอร์ตถูกออกแบบมาให้สามารถเสียบได้ทั้งสองด้าน
- พอร์ตและหัวสายมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม ทำให้ Apple สามารถออกแบบตัวเครื่องได้เล็กลงกว่าเดิม
- มีเพียง 8 พินในการเชื่อมต่อเท่านั้น จากของเดิมที่มีอยู่ 30 พิน
- ตัวพอร์ตมีความแข็งแรง สามารถยึดสายได้มั่นคงกว่ารุ่นเดิม
- ความเร็วในการเชื่อมต่อเร็วกว่าพอร์ตเดิม แต่ก็ยังอยู่ในรูปแบบมาตรฐาน USB 2.0
iPad 4 สำหรับน้ำหนักการจับถือรวมไปถึงมิติเรียกได้ว่ารู้สึกได้ทันที?กับน้ำหนักและตัวเครื่องที่มีขนาดเท่าเดิมเหมือน iPad 3 ที่โดยส่วนตัวแล้วก็ถือว่ามีความหนาของตัวเครื่องและน้ำหนักที่มากอยู่ ถือได้ว่าในส่วนนี้ตรงนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือได้รับการพัฒนาแต่อย่างใด แน่นอนว่าสำหรับใครที่หวังว่าจะพกพาได้สะดวกมากยิ่งขึ้นคงต้องผิดหวังกันไปนะครับ ยังไงอาจจะต้องรอ iPad รุ่นต่อไป ให้มีความหนาและน้ำหนักที่ลดลง อย่างไรก็ตามรายละเอียดต่างๆ สามารถชมได้จากภาพด้านบนได้เลย?
* iPad?with Retina Display รุ่น?Wi-Fi + Cellular?จะมีน้ำหนักมากกว่ารุ่น Wi-Fi ปกติ 10 กรัม
Camera
ในส่วนของกล้องด้านหลังอีกด้วย ที่ในตามภาพจะเห็นเป็นวงกลมสีดำ ซึ่งตัวกล้องเองสามารถถ่ายภาพความละเอียดได้ที่ 5 ล้าน พิกเซล ซึ่งเป็นระบบ Autofocus ซึ่งเราสามารถเลือกจุดโฟกัส (Tab to Focus) พร้อมวัดแสงได้เอง ด้วยการใช้นิ้วจิ้มไปยังบริเวณในภาพที่ต้องการ โดย?iPad?with Retina Display?นั้น ได้ใช้เซ็นเซอร์และชุดเลนส์เช่นเดียวกับ iPhone 4S ส่งผลให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมานั้นมีความสวยงามและชัดเจนกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีทางสวยไปกว่า iPhone 5 แน่นอน
นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติถ่ายวีดีโอได้ความละเอียด 1080P แบบ 30 เฟรม แต่ในเรื่องของแฟลชก็ยังไม่ได้ติดตั้งมาให้ครับ ยังไงในส่วนของคุณภาพของไฟล์ภาพ คงต้องไปดูในส่วนของตัวอย่างภาพถ่ายที่อยู่ทางด้านข้างนะครับ?(สามารถกดคลิกเข้าไป เพื่อชมภาพขนาดจริงได้)
ในตัวแอพพลิเคชั่น Camera เองมีระบบ Auto Focus ที่ใช้เป็นแบบ Tab to Focus (โฟกัสตรงตำแหน่งนั้นๆ พร้อมกับการวัดค่าแสง) ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผลไวพอสมควรด้วยหน่วยประมวลผล Apple A6X ทำให้กดปุ๊ปถ่ายปั๊ป สำหรับ User Interface นั้น ก็ดูเรียบง่ายเหมือนเดิม เรียกได้ว่าคล้ายกับที่อยู่ใน iPhone เลยก็ว่าได้ โดยเพียงแค่ปรับปุ่มชัตเตอร์ไว้ด้านข้างเท่านั้น (ใช้งานถนัดขึ้นเยอะเวลาถือสองมือ) ฉะนั้นใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้วก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้เลยครับ
อาทิเช่น เปลี่ยนหมวดถ่ายภาพนิ่ง/วีดีโอ, ปุ่มลั่นชัตเตอร์/อัดวีดีโอ, สลับกล้องหน้า/หลัง และ ซูม รวมถึงปุ่มลัดเข้า Photos แต่ก็จะมีหลายๆ อย่างที่ iPhone มีแต่ iPad รุ่นใหม่นี้ ไม่มีก็คือ การเปิด/ปิด/Auto Flash และการถ่ายภาพแบบ HDR (High Dynamic Range) โดยกล้องหน้านั้นถ่ายได้ความละเอียดแบบ VGA ไม่จำเป็นต้องเข้า Mode Video Call สามารถใช้ถ่ายปกติได้ โดยสาวๆ คงจะได้ใช้กันอย่างทั่วหน้า เชื่อได้ว่าน่าจะใช้บ่อยกว่ากล้องหลังที่มีความละเอียดมากกว่าเสียอีก
พร้อมกันนั้นเมื่อถ่ายภาพเสร็จแล้วก็สามารถจัดการแต่งภาพเบื้องต้นได้เลย เช่น หมุนภาพแนวตั้งแนวนอน, ปรับความสว่างของภาพ, แก้ตาแดง และ Crop ภาพตามต้องการ อย่างที่ก่อนหน้านี้แล้ว
Performance / Software
ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการของ iPad 4 จะเริ่มต้นมาเป็น iOS 6 แล้ว โดยในเครื่องที่เราได้มามีการติดตั้ง iOS 6.0.1 มาให้ ซึ่งเครื่องที่จำหน่ายในช่วงหลังๆ น่าจะมาพร้อมกับ iOS 6.0.1 กันหมดแล้ว โดยในส่วนของรูปแบบการใช้งานก็ไม่แตกต่างไปจากใน iPad หรือ iPhone ก่อนหน้านี้เท่าไหร่นัก สำหรับคนที่เคยใช้งานอยู่แล้วก็เรียกได้ว่าซื้อมาแล้วใช้งานได้ทันที ส่วนถ้าใครไม่เคยใช้งาน iOS ก็รับรองได้ว่าจับแค่ไม่ถึง 30 นาทีก็น่าจะใช้งานในระดับเริ่มต้นได้คล่องมือแล้วนะครับ
ตัวอย่างของการเปิดแอพพลิเคชั่น App Store แหล่งดาวน์โหลดของฟรีและเสียเงิน และตัวอย่างการเปิดหน้าแอพพลิเคชั่น Facebook ที่ต้องบอกว่าใช้งานได้สะดวกมากเมื่อเทียบกับการใช้งานบน iPhone ด้วยหน้าจอที่ใหญ่กว่า
อีกทั้งในส่วนของการใช้งาน E-Magazine ก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีจากขนาดที่ใหญ่ และความละเอียดหน้าจอที่สูง แน่นอนว่าถ้าใครชอบอ่านไฟล์ต่างๆ ในแท็บเล็ตเป็นประจำ iPad with Retina Display ต้องตอบโจทย์อย่างแน่นอน ซึ่ง E-Magazine นี้ก็มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินนะครับ ยังไงลองเลือกซื้อเลือหากันตามไลฟ์สไตล์กันดู ซึ่งจากการซูมดูก็จะเห็นว่าไม่มีลักษณะภาพแตกเหมือนกับ iPad mini แต่อย่างใด (ต้นฉบับต้องมีความละเอียดระดับ Retina อยู่แล้ว)
นอกจากนี้การใช้งานแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อย่างเกม 2 มิติ 3 มิติ ก็สนับสนุนการใช้งานบน iPad with Retina Display?ได้อย่างสบายๆ ทั้งในเรื่องของความคมชัดและกราฟิกที่สวยงามเรียบเนียน ที่เราจะเห็นได้ชัดเจนในเกมที่เป็นกราฟิก 3 มิติหนักๆ อย่าง Mass Effect และ Need for Speed ซึ่งถือว่าเป็นจุเด่นสำคัญเพราะใช้ชิปประมวลผลที่แรงกว่าชิปรุ่นเดิมถึง 2 เท่าด้วยกัน รวมไปถึงแอพพลิเคชั่นรวมโซเซียสเน็ตเวิร์คอย่าง Flipboard ที่จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแอพพลิเคชั่นที่ควรติดเครื่อง iPad เอาไว้ เพราะด้วยหน้าจอขนาดใหญ่กว่า iPhone และ iPad mini ทำให้เราสามารถรับชมได้อย่างสบายตาทีเดียวครับ
สรุปการใช้งานและประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่อง iPad with Retina Display?นั้น สามารถตอบสนองการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเล่นอินเตอร์เน็ต อ่าน E-Book, E-Magazine หรือเล่นเกมที่ใช้กราฟิกที่สวยงาม ทุกอย่างล้วนมีความลื่นไหลและสวยงาม โดยรวมก็มีความลื่นไหลมากๆ ซึ่ง?iPad with Retina Display เหมาะมากๆ สำหรับคนที่เน้นในเรื่องความแรงของประสิทธิภาพ เพราะเรียกได้ว่าชิป Apple A6X นั้น มีความแรงมากที่สุดในหมู่อุปกรณ์ iDevice ด้วยกัน ที่ถือว่าอาจจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนมากนักหากเทียบกับ iPad แต่จะเห็นได้เล็กๆ น้อยๆ ว่าโหลดเกมหรือเข้าใช้งานแอพพิลเคชั่นต่างๆ แต่ในส่วนของการใช้งานทั่วไปบอกได้เลยว่าแทบไม่แตกต่างกันครับ
Conclusion
iPad with Retina Display (iPad 4)?ยังถือได้ว่าเป็นเเท็บเล็ตที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบันนี้ ด้วยความสวยงามในด้านฮาร์ดเเวร์ วัสดุ ความลื่นไหลในการใช้งาน เเละเเอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย (แน่นอนว่าใครใช้งานจริงคงรู้ดี) เรียกได้ว่าไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้วเมื่อเทียบกับ iPad รุ่นก่อนๆ แน่นอนว่าทำให้เเท็บเล็ตอย่าง Android ที่ตอนนี้ผู้ผลิตหลายๆ ค่ายได้ส่งออกมา?ยังพยายามเข้ามาเจาะตลาดเเท็บเล็ตนั้นทำได้ลำบากมากอยู่ โดยดูจากยอดจำหน่ายก็จะะเห็นได้อย่างชัดเจน รวมไปถึงมีแท็บเล็ต Windows 8 และ Windows RT เข้ามาร่วมแข่งขันในตลาดนี้ด้วยแล้ว?ซึ่งคงต้องรอดูกันต่อไปว่าคู่แข่งรายต่างๆ จะทำได้ดีแค่ไหน เพราะอย่างไรก็ตาม iPad คงไม่ใช่คำตอบในการใช้งานแท็บเล็ตของหลายๆ คนแน่นอน เพราะเอาเข้าจริงก็ยังขาดคุณสมบัติอีกหลายส่วน
อย่างไรก็ตาม iPad with Retina Display? (หรือจะเรีบกว่า iPad 4 ก็ได้) ในเรื่องของในการที่เราจะทำอะไรก็ตามก็ต้องอาศัยโปรแกรม iTunes ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์เสมอครับ ซึ่งตรงนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นแนวทางของ iOS อยู่แล้ว (ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแน่นอน) และถึงแม้จะมีข้อสังเกตเรื่องความร้อนอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้หากใช้ในห้องแอร์ ส่วนถ้าใช้ข้างนอกคงต้องใส่เคสกันซักหน่อย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากที่สเปกของ iPad ตัวใหม่นี้สูงขึ้นนั่นเอง (แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์เทียบเท่ากับ iPad 3)
ซึ่งถ้าใครเคยใช้งาน iPad รุ่นก่อนๆ มา จะเห็นว่าการมาของ iPad with Retina Display?ครั้งนี้เห็นได้ชัดในเรื่องของซอฟต์แวร์อย่าง iOS 6 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก นอกเหนือไปจากความรวดเร็วเเละการใช้งานที่ดีกว่าจากชิปประมวลผลที่เร็วขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการเชื่อมต่อพอร์ต Lightning ที่ทำให้เราสามารถใช้งาน iPad ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่เยังไม่เคยเป็นเจ้าของเเท็บเล็ตอะไรมากก่อนเลย iPad with Retina Display (iPad 4)?ก็ให้สิ่งที่ดีที่สุดในราคาที่ไม่ต้องคิดมากมาย ด้วยราคาที่เริ่มต้นเพียง 16,500 บาท ?แต่ถ้าใครใช้ iPad 3 อยู่แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก หากไม่ต้องได้ใช้งานที่ลื่นไหลมากกว่าเดิมและพอร์ต Lightning ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ iPad 4 มาแทนที่ iPad 3 แต่อย่างใดครับ รวมไปถึงคนที่ต้องการใช้งานพกพาบ่อยๆ และไม่เน้นในเรื่องของประสิทธิภาพ ก็สามารถมาจับจอง iPad mini ได้นะครับ สนนราคาก็เริ่มต้นเพียง 11,200 บาทเท่านั้นเอง ?[ชมรีวิว iPad mini]
จุดเด่น
- มีดีไซน์และความสวยงามหรูหราเช่นเดิม แต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงจาก iPad 3
- หน้าจอมีความสวยงาม ด้วย Retina Display จากความละเอียดและพาเนล IPS
- ประสิทธิภาพดีกว่า iPad 3 แบบรู้สึกได้เหมือนใช้งานหนักๆ อย่างเล่นเกม 3 มิติกราฟิกสูง
- ลำโพงที่มีคุณภาพมากกว่าเดิม แบบรู้สึกได้ทันทีเมื่อเปิดเพลงหรือดนตรี
- ราคาคุ้มค่าเหมือนเดิมเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ ในทั้งส่วนของงานประกอบและแอพพลิเคชั่น
- ใช้พอร์ต Lightning ที่มีขนาดเล็กลงและเชื่อมต่อได้สะดวกกว่าเดิม
ข้อสังเกต
- ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไปจาก iPad 3 มากนัก
- น้ำหนักและความหนาตัวเครื่องยังมีอยู่มาก?
- ถ้าใครเน้นพกพาเป็นหลักก็ลองดูเป็น iPad mini ได้