
Microsoft ยังคงเดินหน้าปรับโครงสร้างภายในของ Windows 11 อย่างต่อเนื่อง และการเปลี่ยนแปลงล่าสุดอาจไม่ถูกใจผู้ใช้บางกลุ่มนัก โดยเฉพาะคนที่ใช้เครื่องสเปกไม่แรงมากนัก หลังจากมีการยืนยันว่า Windows 11 เวอร์ชัน 25H2 และ 24H2 จะเปิดใช้บริการระบบหนึ่งเป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีประวัติเรื่องการกินทรัพยากรเครื่องอย่าง CPU, RAM และดิสก์ อยู่พอสมควร
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวถูกพบในอัปเดตสะสมประจำเดือนธันวาคม 2025 ซึ่งปล่อยออกมาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีผลกับทั้ง Windows 11 และ Windows Server 2025
Microsoft เปลี่ยนนโยบายบริการระบบใน Windows 11 อย่างเงียบ ๆ
เมื่อไม่นานมานี้ Microsoft เพิ่งประกาศฟีเจอร์ใหม่บน Windows Server 2025 ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้าน storage ได้สูงสุดถึงประมาณ 80% ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับฝั่งองค์กรและ data center
แต่ในเวลาไล่เลี่ยกัน Microsoft ก็ได้ยืนยันอีกเรื่องหนึ่งที่อาจส่งผลในทางตรงกันข้ามกับผู้ใช้ทั่วไป นั่นคือการ เปิดใช้งานบริการระบบ AppX Deployment Service (Appxsvc) เป็นค่าเริ่มต้น
Neowin เป็นสื่อแรก ๆ ที่สังเกตเห็นว่า Microsoft ได้อัปเดตหมายเหตุในเอกสารของ cumulative update หมายเลข KB5072033 สำหรับ Windows 11 25H2, 24H2 และ Server 2025 โดยมีการเพิ่มข้อความดังนี้
[System Components] The AppX Deployment Service (Appxsvc) has moved to Automatic startup type to improve reliability in some isolated scenarios.
กล่าวง่าย ๆ คือ บริการ Appxsvc จะไม่รอให้ถูกเรียกใช้งานอีกต่อไป แต่จะเริ่มทำงานทันทีตั้งแต่ระบบบูตขึ้นมา
Appxsvc คืออะไร และทำไมผู้ใช้ถึงกังวล
Appxsvc หรือ AppX Deployment Service เป็นบริการระบบที่ทำหน้าที่จัดการแอปจาก Microsoft Store ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง อัปเดต หรือดูแลแพ็กเกจของแอปแบบ UWP และแอปสมัยใหม่ของ Windows
ก่อนหน้านี้ บริการนี้ถูกตั้งค่าเป็น
Manual (Triggered)
หมายความว่า ระบบจะเรียกใช้งานเฉพาะตอนจำเป็น เช่น ตอนเปิดแอปจาก Store หรือมีการอัปเดตแอป
แต่หลังอัปเดตล่าสุด Microsoft เปลี่ยนให้เป็น
Automatic
ซึ่งหมายถึงบริการจะเริ่มทำงานทันทีที่เปิดเครื่อง และทำงานอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา
ปัญหาคือ เมื่อค้นหาชื่อ Appxsvc ใน Google จะพบกระทู้จำนวนมากในฟอรัมต่างประเทศ ที่ผู้ใช้รายงานอาการเช่น
- CPU usage พุ่งสูงผิดปกติ
- ใช้ RAM จำนวนมากต่อเนื่อง
- ดิสก์ถูกใช้งานตลอดเวลาโดยไม่มีเหตุชัดเจน
แม้จะไม่ได้เกิดกับทุกเครื่อง แต่ก็มีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่เคยเจอปัญหานี้มาก่อน
เครื่องสเปกต่ำอาจได้รับผลกระทบมากที่สุด
การเปลี่ยน Appxsvc เป็น Automatic อาจไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเครื่องที่ใช้ CPU ระดับกลางขึ้นไปและมี RAM เหลือเฟือ แต่สำหรับโน้ตบุ๊กหรือพีซีสเปกประหยัด โดยเฉพาะรุ่นที่ยังใช้ RAM 8GB หรือ storage แบบช้ากว่า อาจเริ่มสังเกตได้ถึง
- เครื่องบูตช้าลง
- ระบบหน่วงในช่วงเปิดเครื่องใหม่
- ดิสก์ทำงานตลอดแม้ไม่ได้ใช้งานอะไรหนัก
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอาการที่ผู้ใช้ Windows หลายคนคุ้นเคยดีอยู่แล้ว และการเปิดบริการระบบเพิ่มอีกหนึ่งตัวก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงด้าน performance
ปิด Appxsvc ได้ไหม คำตอบคือ “ไม่ควร”
แม้จะมีผู้ใช้บางรายเลือกปิด Appxsvc ผ่าน Services แต่ Microsoft ระบุไว้ชัดเจนว่า ไม่แนะนำให้ปิดบริการนี้ เพราะอาจทำให้
- Microsoft Store ทำงานผิดพลาด
- แอปไม่สามารถอัปเดตได้
- แอปบางตัวเปิดไม่ขึ้นหรือค้าง
กล่าวคือ หากปิด Appxsvc แบบถาวร อาจแก้ปัญหา performance ระยะสั้นได้ แต่จะแลกมากับความไม่เสถียรของระบบในระยะยาว
เหตุผลที่ Microsoft ตัดสินใจเปิดใช้เป็นค่าเริ่มต้น
หากมองจากทิศทางล่าสุดของ Microsoft การตัดสินใจครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก เพราะก่อนหน้านี้บริษัทเพิ่งเปิดเผยว่าในอนาคต Microsoft Store จะถูกรวมเข้ากับ Windows Update มากขึ้น
นั่นหมายความว่า
- การอัปเดตแอปจาก Store จะทำผ่าน Windows Update
- ระบบจะต้องมีบริการที่เกี่ยวข้องพร้อมทำงานตลอดเวลา
- ความ “เสถียร” ของกระบวนการอัปเดตจะถูกให้ความสำคัญมากกว่า performance บางส่วน
จากมุมมองของ Microsoft การเปิด Appxsvc ตลอดเวลาน่าจะช่วยลดปัญหาแอปอัปเดตไม่ผ่านหรือค้างในบางสถานการณ์ แต่จากมุมมองผู้ใช้ทั่วไป โดยเฉพาะสาย performance แล้ว นี่อาจเป็นอีกหนึ่งภาระที่ไม่จำเป็น
สรุป: ความเสถียรแลกกับทรัพยากรที่หายไป
การเปิดใช้ Appxsvc เป็นค่าเริ่มต้นบน Windows 11 25H2 และ 24H2 สะท้อนแนวทางของ Microsoft ที่ยังคงให้ความสำคัญกับ ecosystem ของ Microsoft Store และระบบอัปเดตแบบรวมศูนย์
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการรีด performance สูงสุดจากเครื่อง โดยเฉพาะเครื่องสเปกไม่แรง การเปลี่ยนแปลงนี้อาจสร้างผลกระทบมากกว่าที่คิด และอาจกลายเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Windows 11 ถูกมองว่า “กินทรัพยากร” มากขึ้นเรื่อย ๆ
ท้ายที่สุด ผู้ใช้คงต้องจับตาดูว่า Microsoft จะสามารถควบคุมพฤติกรรมของ Appxsvc ให้ทำงานได้เบาลงจริงหรือไม่ หรือจะกลายเป็นบริการระบบอีกตัวที่ผู้ใช้ทำได้เพียงยอมรับไปตามสภาพ
ที่มา: Neowin





