Connect with us

Hi, what are you looking for?

Notebookspec

How to

BitLocker และ Device Encryption Windows 11 คืออะไร ปกป้องข้อมูลได้อย่างไร ใช้แบบไหนให้ปลอดภัยปี 2025

BitLocker

ปัจจุบันข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ หลายคนเก็บไว้ในโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ดังนั้นความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง Microsoft ได้เตรียม BitLocker เพื่อเป็นการปกป้องข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้ให้ ด้วยการเข้ารหัส เพียงแต่ล่าสุด มีหลายคนพบว่าฟีเจอร์ที่ใกล้เคียงกันนี้อย่าง Device Encryption เปิดทำงานอัตโนมัติ จะต้องทำอย่างไร วันนี้เราจึงจะมาทำความรู้จักกับสิ่งนี้ว่าคืออะไร ใช้งานอย่างไร วิธีเปิด-ปิดการใช้งาน ไปจนถึงข้อควรระวังที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดังกล่าวนี้ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยที่สุดในปี 2025


BitLocker คืออะไร? ไม่ใช่แค่รหัสผ่านล็อกอิน

BitLocker

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า BitLocker ไม่ใช่รหัสผ่านที่คุณใช้ล็อกอินเข้า Windows นะ แต่เป็นฟีเจอร์การเข้ารหัสข้อมูลทั้งไดรฟ์ (Full-Disk Encryption) ที่จะทำการล็อก ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในไดรฟ์ เช่น ไดรฟ์ C: ที่ลง Windows หรือไดรฟ์อื่นๆ ให้กลายเป็นชุดข้อมูลที่ไม่สามารถอ่านได้ หากไม่มีกุญแจหรือ Key ที่ถูกต้องในการถอดรหัส มันเป็นการป้องกันในระดับฮาร์ดแวร์ที่ลึกกว่าการล็อกอินปกติ

Advertisement

ถ้ามองในมุมที่เปรียบเทียบง่ายๆ รหัสผ่านล็อกอิน Windows จะเป็นเหมือนทีม รปภ.เฝ้าหน้าอยู่หน้าประตูทางเข้า-ออก คอยตรวจเช็คคนเข้า-ออก แต่ถ้าโจรสามารถ งัดประตู อย่างเช่น ถอด SSD/HDD ไปต่อเครื่องอื่น ก็ยังสามารถเข้าไปขโมยข้อมูลภายในได้อยู่ดี

BitLocker

แต่สำหรับ BitLocker จะเป็นเหมือนการนำสิ่งมีค่าทั้งหมดใส่ในตู้เซฟที่มีระบบป้องกันแน่นหนา ต่อให้โจรเข้ามาในบ้านได้ ยกตู้เซฟไป แต่ถ้าไม่มีกุญแจหรือรหัสเปิดตู้เซฟ ก็ไม่สามารถเอาข้อมูลอะไรไปได้เลย รวมถึงมีการเข้ารหัสข้อมูลนี้ มีความสลับซับซ้อนยากกว่าการเปิดรหัสหรืองัดตู้เซฟอยู่มากมายอีกด้วย


ทำไม BitLocker ถึงสำคัญ?

ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊กหรือพีซีคือสำนักงานเคลื่อนที่ย่อมๆ พกพาได้ สะดวก แต่ก็เสี่ยงที่จะสูญหายได้เช่นกัน หากโน้ตบุ๊กของคุณที่ไม่มี BitLocker แล้วตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี พวกเขาสามารถถอดไดรฟ์เก็บข้อมูล (SSD/HDD) ของคุณไปเสียบกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นและเข้าถึงไฟล์ทั้งหมดของคุณได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นไฟล์งานบริษัท, ข้อมูลทางการเงิน, รูปภาพส่วนตัว, หรือรหัสผ่านต่างๆ ที่บันทึกไว้ BitLocker จึงเข้ามาปิดช่องโหว่ความปลอดภัยนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญของคุณจะยังคงเป็นความลับ แม้ตัวอุปกรณ์จะไม่อยู่กับตัวคุณแล้วก็ตาม

BitLocker

แต่ขอย้ำว่าบทความนี้เป็นเพียงแนวทางในการรักษาข้อมูลสำคัญ จะทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับความจำเป็น ความสะดวกและความสมัครใจ ไม่รับรองถึงผลที่จะเกิดขึ้นของแต่ละบุคคล

BitLocker ใช้งานอย่างไร?

คุณต้องใช้ Windows 11 Pro, Enterprise, หรือ Education และในปัจจุบันฟีเจอร์มีอยู่ใน Windows 11 Home แล้ว เพียงแต่ไม่ได้มาเต็มรูปแบบ แต่จะอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า Device Encryption Settings นั่นเอง

ตารางเปรียบเทียบ: BitLocker vs. Device Encryption บน Windows 11

คุณสมบัติ (Feature)Device Encryption (การเข้ารหัสอุปกรณ์)BitLocker Drive Encryption
Windows ที่รองรับWindows 11 Home & ProWindows 11 Pro, Enterprise, Education (ไม่มีใน Home)
การทำงานอัตโนมัติ และ เรียบง่ายควบคุมด้วยตนเอง และ ขั้นสูง
เป้าหมายการเข้ารหัสเข้ารหัส เฉพาะไดรฟ์ที่ติดตั้ง Windows (C:) และไดรฟ์อื่นๆ ที่เป็น System Drive เท่านั้นสามารถเลือกเข้ารหัส “ทุกไดรฟ์” ในเครื่องได้ (C:, D:, E:, ฯลฯ) รวมถึง External Drive (เช่น USB Flash Drive, External HDD) ผ่านฟีเจอร์ “BitLocker To Go”
การเปิดใช้งานเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ หากฮาร์ดแวร์รองรับ (TPM 2.0, Modern Standby) และผู้ใช้ล็อกอินด้วย บัญชี Microsoft (Microsoft Account)ต้อง เปิดใช้งานด้วยตนเอง ผ่าน Control Panel (Manage BitLocker)
การจัดการกุญแจกู้คืน (Recovery Key)บังคับบันทึกกุญแจกู้คืนไว้ที่ “บัญชี Microsoft ของคุณ” เท่านั้นมีตัวเลือกในการสำรองกุญแจที่หลากหลายกว่า: <br>• บันทึกไปยังบัญชี Microsoft <br>• บันทึกเป็นไฟล์ .txt (เก็บไว้ในที่อื่น) <br>• พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ <br>• บันทึกไปยัง Active Directory (สำหรับองค์กร)
ระดับการควบคุมจำกัด: มีแค่ตัวเลือกเปิด/ปิด ไม่สามารถปรับแต่งการตั้งค่าเชิงลึกได้สูง: สามารถปรับแต่งนโยบายความปลอดภัยได้ละเอียดผ่าน Group Policy Editor เช่น กำหนดความซับซ้อนของรหัสผ่าน, วิธีการยืนยันตัวตนก่อนบูทเครื่อง, หรืออัลกอริทึมการเข้ารหัส
การยืนยันตัวตนก่อนบูท (Pre-boot Authentication)ไม่มี: ระบบจะถอดรหัสอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ล็อกอินเข้า Windowsมี: สามารถตั้งค่าให้ต้องใส่ PIN, รหัสผ่าน, หรือใช้ USB Startup Key ก่อนที่ Windows จะเริ่มบูทได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความปลอดภัยขึ้นไปอีกชั้น
กลุ่มผู้ใช้เป้าหมายผู้ใช้งานทั่วไป (Home Users) ที่ต้องการความปลอดภัยพื้นฐานที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อนผู้ใช้งานระดับสูง (Power Users), มืออาชีพ, และองค์กรธุรกิจ ที่ต้องการการควบคุมความปลอดภัยขั้นสูงสุด, ความยืดหยุ่นในการจัดการ, และการเข้ารหัสข้อมูลในทุกไดรฟ์

วิธีเปิด-ปิดการใช้งาน BitLocker (สำหรับไดรฟ์ C:)

วิธีเปิดใช้งาน BitLocker:

BitLocker
  • คลิกที่ Start Menu แล้วพิมพ์ค้นหาคำว่า “Manage BitLocker” จากนั้นกด Enter
  • ในหน้าต่าง BitLocker Drive Encryption, คุณจะเห็นรายการไดรฟ์ต่างๆ ในเครื่อง
  • คลิกที่ “Turn on BitLocker” ที่ไดรฟ์ที่คุณต้องการเข้ารหัส (โดยปกติจะเริ่มจากไดรฟ์ C:)

ขั้นตอนการสำรองการกู้คืน (Recovery Key):

Windows จะบังคับให้คุณต้องสำรอง “Recovery Key” ซึ่งเป็นรหัสยาว 48 หลัก กุญแจนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งเดียวที่คุณจะเข้าถึงข้อมูลได้ หากเกิดปัญหากับระบบ เช่น ลืมรหัสผ่าน หรือมีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ครั้งใหญ่

ตัวเลือกการสำรอง:

  • Save to your Microsoft account (แนะนำที่สุด): กุญแจจะถูกบันทึกไว้อย่างปลอดภัยในบัญชี Microsoft ของคุณ
  • Save to a file: บันทึกเป็นไฟล์ .txt เก็บไว้ใน External Drive หรือ Cloud Storage ที่ปลอดภัย (ห้ามเก็บไว้ในไดรฟ์ที่กำลังจะเข้ารหัส!)
  • Print the recovery key: พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษแล้วเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย

คุณต้องสำรอง Recovery Key อย่างน้อยหนึ่งวิธี และเก็บไว้ในที่ที่คุณจะหาเจอในยามฉุกเฉิน

เลือกว่าจะเข้ารหัสเฉพาะพื้นที่ที่ใช้งาน (Encrypt used disk space only) เช่นเฉพาะไฟล์หรือบางโฟลเดอร์ และยังมีให้เลือกแบบเข้ารหัสทั้งไดรฟ์ (Encrypt entire drive) สำหรับไดรฟ์ใหม่ให้เลือกอันแรก ส่วนไดรฟ์ที่ใช้งานมาระยะหนึ่งแล้วให้เลือกอันที่สองเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

เลือกระบบการเข้ารหัส (ให้ใช้ “New encryption mode” ซึ่งเหมาะสำหรับไดรฟ์ในเครื่อง)

คลิก “Start encrypting” กระบวนการนี้อาจใช้เวลาตั้งแต่หลายนาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดของไดรฟ์และความเร็วของคอมพิวเตอร์ คุณยังสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ตามปกติในระหว่างนี้

วิธีปิดใช้งาน (Decrypt) BitLocker:

  • เข้าไปที่ “Manage BitLocker” เหมือนเดิม
  • คลิกที่ “Turn off BitLocker” ที่ไดรฟ์ที่ต้องการ
  • ยืนยันการตัดสินใจของคุณ ระบบจะเริ่มกระบวนการถอดรหัส (Decrypt) ซึ่งอาจใช้เวลานานเช่นกัน

ข้อควรระวังและข้อสังเกตในการใช้งาน BitLocker

BitLocker

การใช้ BitLocker นั้นปลอดภัยมาก แต่ก็มีข้อควรระวังเพื่อให้การใช้งานราบรื่น:

Recovery Key คือชีวิต: ย้ำ! หากคุณทำ Recovery Key หายและระบบเกิดปัญหาจนต้องใช้กุญแจนี้ ข้อมูลของคุณจะหายไปตลอดกาล ไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้แม้แต่ Microsoft ดังนั้น ควรสำรองไว้หลายๆ ที่และเก็บให้ดีที่สุด

ประสิทธิภาพอาจลดลงอยู่บ้าง: เพราะการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลแบบเรียลไทม์ต้องใช้พลังการประมวลผลของซีพียู ถ้าในคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ที่มีซีพียูประสิทธิภาพสูง อาจจะแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แต่ถ้าในคอมรุ่นเก่าอาจจะสังเกตเห็นว่าประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย (ประมาณ 1-5%)

สิ่งสำคัญก่อนอัปเดต BIOS หรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์สำคัญ: ควร “Suspend” หรือ “ปิด” BitLocker ชั่วคราว ก่อนทำการอัปเดต BIOS หรือเปลี่ยนเมนบอร์ด หรือซีพียู เพราะการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์เหล่านี้อาจทำให้ระบบมองว่ามีการพยายามปรับเปลี่ยนหรือโยกย้าย และจะล็อกไดรฟ์ของคุณจนกว่าจะใส่ Recovery Key

การกู้ข้อมูลที่ยากขึ้น: หากไดรฟ์ที่เข้ารหัส BitLocker ไว้เกิดเสียหาย การกู้ข้อมูลจะทำได้ยากกว่าไดรฟ์ปกติหลายเท่า หรืออาจจะทำไม่ได้เลย ดังนั้น การสำรองข้อมูลสำคัญ (Backup) ไปยังไดรฟ์อื่นหรือบริการคลาวด์จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

BitLocker

วิธีการกู้คืน BitLocker ที่ทาง Microsoft ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ สามารถทำได้ตามนี้


อาการที่อาจพบได้ระหว่างใช้งาน BitLocker

1.เครื่องถามหา Recovery Key ตลอดเวลา”: สิ่งนี้คืออาการเจอบ่อย และมักเกิดหลังจากการอัปเดต Windows ที่ผิดพลาด มีการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าใน BIOS หรือฮาร์ดแวร์บางอย่างทำงานผิดปกติ วิธีแก้คือ ใส่ Recovery Key ที่คุณสำรองไว้ จากนั้นอาจจะต้องลอง Suspend แล้ว Resume BitLocker อีกครั้ง หรืออัปเดต BIOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด

BitLocker
Support Microsoft

2.ลืมรหัสผ่านและทำ Recovery Key หาย: นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ดังที่กล่าวไปข้างต้น หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ข้อมูลของคุณจะไม่สามารถกู้คืนได้

3.กระบวนการเข้ารหัสช้าหรือค้าง: อาจเกิดจากไดรฟ์มี Bad Sector หรือปัญหาฮาร์ดแวร์อื่นๆ ควรทำการตรวจสอบสุขภาพของไดรฟ์ (Check Disk) ก่อนเริ่มกระบวนการ


1. ถาม: Device Encryption คืออะไร? และมันทำงานเหมือนกับ BitLocker ในรุ่น Pro หรือไม่?

ตอบ: Device Encryption คือฟีเจอร์การเข้ารหัสข้อมูลอัตโนมัติที่มีอยู่ใน Windows 11 Home โดยมันจะทำการล็อกข้อมูลทั้งหมดในไดรฟ์ที่ติดตั้ง Windows (ไดรฟ์ C:) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ หากโน้ตบุ๊กของคุณสูญหายหรือถูกขโมย พูดง่ายๆ คือมันเป็น BitLocker เวอร์ชันพื้นฐาน ที่ทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อความสะดวกของผู้ใช้งานทั่วไป ข้อแตกต่างหลักๆ คือ Device Encryption จะเข้ารหัสเฉพาะไดรฟ์ C: และบังคับให้คุณบันทึก Recovery Key ไว้กับบัญชี Microsoft ของคุณเท่านั้น ในขณะที่ BitLocker ในรุ่น Pro จะให้คุณควบคุมได้มากกว่า เช่น สามารถเลือกเข้ารหัสไดรฟ์อื่นหรือ External Drive ได้

2. ถาม: ทำไมคอมพิวเตอร์ของฉันถึงไม่มี Device Encryption หรือเปิดใช้งานไม่ได้?

ตอบ: การที่ Device Encryption จะทำงานได้นั้น จำเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์ที่รองรับ ซึ่งเป็นข้อกำหนดจาก Microsoft เพื่อความปลอดภัย โดยมีเงื่อนไขหลักๆ คือ:

  • มีชิป TPM 2.0 (Trusted Platform Module): ซึ่งเป็นชิปความปลอดภัยที่ติดตั้งมาบนเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ
  • รองรับ Modern Standby: เป็นคุณสมบัติของฮาร์ดแวร์ที่ช่วยให้เครื่องตื่นจากการ Sleep ได้เร็วขึ้น
  • ล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft (Microsoft Account): เพราะกุญแจกู้คืนจะถูกสำรองไว้ในบัญชีของคุณโดยอัตโนมัติ
    หากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้ (เช่น เป็นคอมประกอบบางรุ่น หรือยังล็อกอินด้วย Local Account) ตัวเลือก Device Encryption ก็จะไม่ปรากฏหรือไม่สามารถเปิดใช้งานได้ครับ

3. ถาม: Recovery Key คืออะไร? และจะหามันได้จากที่ไหน?

ตอบ: Recovery Key คือรหัสยาว 48 หลักที่เปรียบเสมือน “กุญแจสำรอง” สำหรับปลดล็อกข้อมูลของคุณ มันมีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีที่ระบบเกิดปัญหาและไม่สามารถยืนยันตัวตนของคุณได้ตามปกติ เช่น หลังการอัปเดต BIOS หรือมีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์) สำหรับ Device Encryption กุญแจนี้จะถูก บันทึกไว้ในบัญชี Microsoft ของคุณโดยอัตโนมัติ

  • วิธีหา:
    1. ใช้อุปกรณ์อื่น (เช่น มือถือหรือคอมเครื่องอื่น) เข้าไปที่เว็บไซต์ https://account.microsoft.com/devices/recoverykey
    2. ล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft เดียวกับที่คุณใช้บนคอมพิวเตอร์
    3. คุณจะเห็นรายชื่ออุปกรณ์และ Recovery Key ที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นมา

4. ถาม: การเปิด Device Encryption ทำให้คอมพิวเตอร์ช้าลงหรือไม่?

ตอบ: สำหรับคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ แทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยครับ ซีพียูรุ่นใหม่ๆ มีชุดคำสั่งเฉพาะ (เช่น AES-NI) ที่ช่วยเร่งความเร็วในการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลโดยตรง ทำให้ผลกระทบต่อประสิทธิภาพโดยรวมน้อยมาก (อาจจะลดลงเพียง 1-2% ซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ในการใช้งานจริง) ประโยชน์ด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมานั้นมีค่ามากกว่าประสิทธิภาพที่ลดลงไปเพียงเล็กน้อยอย่างมหาศาล ดังนั้น การเปิด Device Encryption ไว้จึงเป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของคุณให้ปลอดภัย


บทสรุป: BitLocker จำเป็นหรือไม่? เหมาะกับการใช้งานแบบใด?

โดยสรุป BitLocker คือฟีเจอร์ความปลอดภัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ใช้ Windows 11 Pro ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้โน้ตบุ๊กและมีการเก็บข้อมูลสำคัญไว้ในเครื่อง มันมอบความสบายใจในระดับสูงสุดว่าข้อมูลของคุณจะปลอดภัยจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอย่างการถูกขโมย

แม้ว่ามันอาจจะดูซับซ้อนในช่วงแรก แต่ขั้นตอนการเปิดใช้งานนั้นตรงไปตรงมา และเมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วมันจะทำงานอยู่เบื้องหลังโดยที่คุณแทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมันเลย สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือ เก็บรักษา Recovery Key ของคุณไว้อย่างดี เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ของคุณได้อย่างเต็มที่และปลอดภัยในยุคดิจิทัลปี 2025 นี้แล้วครับ

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

PC Review

ASUS ExpertCenter P500SV เดสก์ทอปพีซีขนาดกระทัดรัดในรูปแบบ SFF ที่ให้ประสิทธิภาพ ระบบความปลอดภัยครอบคลุมในระดับธุรกิจ พร้อมคุณสมบัติสำหรับงานธุรกิจในปัจจุบัน ผสมผสานดีไซน์ที่สวยงาม และมิติที่กระชับประหยัดพื้นที่ เข้ากันได้ในทุกสำนักงาน ให้ความยืดหยุ่นทั้งการอัปเกรด การจัดวางและงบประมาณ สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมและการใช้งานที่หนักหน่วงได้ กับมาตรฐาน MIL-STD 810H โครงสร้างแข็งแรง รองรับการเชื่อมต่อเครือข่ายที่รวดเร็ว ติดตั้งง่าย เช่นเดียวกับการรับประกันในระดับ Commercial-Grade จากทาง...

IT NEWS

กลายเป็นอุทาหรณ์ราคาแพง เมื่อฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ควรจะช่วยปกป้องข้อมูล กลับกลายเป็นกำแพงที่ทำให้เจ้าของไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตัวเองได้อีกต่อไป นี่คือเรื่องราวของผู้ใช้รายหนึ่งที่ต้องสูญเสียข้อมูลสำคัญกว่า 3TB ไปอย่างถาวรจากปัญหา BitLocker เข้ารหัสไดรฟ์เอง โดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ที่ใช้ Windows 11 เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับผู้ใช้ Reddit นามว่า u/Toast_Soup ที่รู้สึกว่าคอมพิวเตอร์ของเขาทำงานช้าลงและไม่เต็มประสิทธิภาพ เขาจึงตัดสินใจรีเซ็ตและติดตั้ง Windows ใหม่ทั้งหมด แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ หายนะกำลังรอเขาอยู่ Advertisement เรื่องราวของผู้โชคร้าย:...

PR-News

เบอร์ลิน (3 กันยายน 2025) – เอเซอร์เผยโฉมโซลูชันธุรกิจรุ่นล่าสุดในงาน IFA 2025 ประกอบด้วย แล็ปท็อป Acer TravelMate X14 AI Copilot+ PC และ โปรเจ็กเตอร์ตระกูล Vero 3 รุ่นใหม่ ได้แก่ Vero XL2320p,...

IT NEWS

ในงาน Black Hat USA 2025 และ DEF CON 33 ทีม Security Testing & Offensive Research at Microsoft (STORM) ได้เปิดเผยช่องโหว่ใหม่หลายรายการใน Windows Recovery Environment (WinRE) ที่อาจถูกใช้เพื่อ...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก