
ปัจจุบันข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ หลายคนเก็บไว้ในโน้ตบุ๊กและคอมพิวเตอร์ดังนั้นความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่ง Microsoft ได้เตรียม BitLocker เพื่อเป็นการปกป้องข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้ให้ ด้วยการเข้ารหัส เพียงแต่ล่าสุด มีหลายคนพบว่าฟีเจอร์ที่ใกล้เคียงกันนี้อย่าง Device Encryption เปิดทำงานอัตโนมัติ จะต้องทำอย่างไร วันนี้เราจึงจะมาทำความรู้จักกับสิ่งนี้ว่าคืออะไร ใช้งานอย่างไร วิธีเปิด-ปิดการใช้งาน ไปจนถึงข้อควรระวังที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดังกล่าวนี้ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยที่สุดในปี 2025
BitLocker คืออะไร? ไม่ใช่แค่รหัสผ่านล็อกอิน

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า BitLocker ไม่ใช่รหัสผ่านที่คุณใช้ล็อกอินเข้า Windows นะ แต่เป็นฟีเจอร์การเข้ารหัสข้อมูลทั้งไดรฟ์ (Full-Disk Encryption) ที่จะทำการล็อก ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในไดรฟ์ เช่น ไดรฟ์ C: ที่ลง Windows หรือไดรฟ์อื่นๆ ให้กลายเป็นชุดข้อมูลที่ไม่สามารถอ่านได้ หากไม่มีกุญแจหรือ Key ที่ถูกต้องในการถอดรหัส มันเป็นการป้องกันในระดับฮาร์ดแวร์ที่ลึกกว่าการล็อกอินปกติ
ถ้ามองในมุมที่เปรียบเทียบง่ายๆ รหัสผ่านล็อกอิน Windows จะเป็นเหมือนทีม รปภ.เฝ้าหน้าอยู่หน้าประตูทางเข้า-ออก คอยตรวจเช็คคนเข้า-ออก แต่ถ้าโจรสามารถ งัดประตู อย่างเช่น ถอด SSD/HDD ไปต่อเครื่องอื่น ก็ยังสามารถเข้าไปขโมยข้อมูลภายในได้อยู่ดี

แต่สำหรับ BitLocker จะเป็นเหมือนการนำสิ่งมีค่าทั้งหมดใส่ในตู้เซฟที่มีระบบป้องกันแน่นหนา ต่อให้โจรเข้ามาในบ้านได้ ยกตู้เซฟไป แต่ถ้าไม่มีกุญแจหรือรหัสเปิดตู้เซฟ ก็ไม่สามารถเอาข้อมูลอะไรไปได้เลย รวมถึงมีการเข้ารหัสข้อมูลนี้ มีความสลับซับซ้อนยากกว่าการเปิดรหัสหรืองัดตู้เซฟอยู่มากมายอีกด้วย
ทำไม BitLocker ถึงสำคัญ?
ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊กหรือพีซีคือสำนักงานเคลื่อนที่ย่อมๆ พกพาได้ สะดวก แต่ก็เสี่ยงที่จะสูญหายได้เช่นกัน หากโน้ตบุ๊กของคุณที่ไม่มี BitLocker แล้วตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี พวกเขาสามารถถอดไดรฟ์เก็บข้อมูล (SSD/HDD) ของคุณไปเสียบกับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นและเข้าถึงไฟล์ทั้งหมดของคุณได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นไฟล์งานบริษัท, ข้อมูลทางการเงิน, รูปภาพส่วนตัว, หรือรหัสผ่านต่างๆ ที่บันทึกไว้ BitLocker จึงเข้ามาปิดช่องโหว่ความปลอดภัยนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าข้อมูลสำคัญของคุณจะยังคงเป็นความลับ แม้ตัวอุปกรณ์จะไม่อยู่กับตัวคุณแล้วก็ตาม

แต่ขอย้ำว่าบทความนี้เป็นเพียงแนวทางในการรักษาข้อมูลสำคัญ จะทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับความจำเป็น ความสะดวกและความสมัครใจ ไม่รับรองถึงผลที่จะเกิดขึ้นของแต่ละบุคคล
BitLocker ใช้งานอย่างไร?
คุณต้องใช้ Windows 11 Pro, Enterprise, หรือ Education และในปัจจุบันฟีเจอร์มีอยู่ใน Windows 11 Home แล้ว เพียงแต่ไม่ได้มาเต็มรูปแบบ แต่จะอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า Device Encryption Settings นั่นเอง
ตารางเปรียบเทียบ: BitLocker vs. Device Encryption บน Windows 11
| คุณสมบัติ (Feature) | Device Encryption (การเข้ารหัสอุปกรณ์) | BitLocker Drive Encryption |
| Windows ที่รองรับ | Windows 11 Home & Pro | Windows 11 Pro, Enterprise, Education (ไม่มีใน Home) |
| การทำงาน | อัตโนมัติ และ เรียบง่าย | ควบคุมด้วยตนเอง และ ขั้นสูง |
| เป้าหมายการเข้ารหัส | เข้ารหัส เฉพาะไดรฟ์ที่ติดตั้ง Windows (C:) และไดรฟ์อื่นๆ ที่เป็น System Drive เท่านั้น | สามารถเลือกเข้ารหัส “ทุกไดรฟ์” ในเครื่องได้ (C:, D:, E:, ฯลฯ) รวมถึง External Drive (เช่น USB Flash Drive, External HDD) ผ่านฟีเจอร์ “BitLocker To Go” |
| การเปิดใช้งาน | เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติ หากฮาร์ดแวร์รองรับ (TPM 2.0, Modern Standby) และผู้ใช้ล็อกอินด้วย บัญชี Microsoft (Microsoft Account) | ต้อง เปิดใช้งานด้วยตนเอง ผ่าน Control Panel (Manage BitLocker) |
| การจัดการกุญแจกู้คืน (Recovery Key) | บังคับบันทึกกุญแจกู้คืนไว้ที่ “บัญชี Microsoft ของคุณ” เท่านั้น | มีตัวเลือกในการสำรองกุญแจที่หลากหลายกว่า: <br>• บันทึกไปยังบัญชี Microsoft <br>• บันทึกเป็นไฟล์ .txt (เก็บไว้ในที่อื่น) <br>• พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ <br>• บันทึกไปยัง Active Directory (สำหรับองค์กร) |
| ระดับการควบคุม | จำกัด: มีแค่ตัวเลือกเปิด/ปิด ไม่สามารถปรับแต่งการตั้งค่าเชิงลึกได้ | สูง: สามารถปรับแต่งนโยบายความปลอดภัยได้ละเอียดผ่าน Group Policy Editor เช่น กำหนดความซับซ้อนของรหัสผ่าน, วิธีการยืนยันตัวตนก่อนบูทเครื่อง, หรืออัลกอริทึมการเข้ารหัส |
| การยืนยันตัวตนก่อนบูท (Pre-boot Authentication) | ไม่มี: ระบบจะถอดรหัสอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ล็อกอินเข้า Windows | มี: สามารถตั้งค่าให้ต้องใส่ PIN, รหัสผ่าน, หรือใช้ USB Startup Key ก่อนที่ Windows จะเริ่มบูทได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความปลอดภัยขึ้นไปอีกชั้น |
| กลุ่มผู้ใช้เป้าหมาย | ผู้ใช้งานทั่วไป (Home Users) ที่ต้องการความปลอดภัยพื้นฐานที่ทำงานอัตโนมัติโดยไม่ต้องตั้งค่าซับซ้อน | ผู้ใช้งานระดับสูง (Power Users), มืออาชีพ, และองค์กรธุรกิจ ที่ต้องการการควบคุมความปลอดภัยขั้นสูงสุด, ความยืดหยุ่นในการจัดการ, และการเข้ารหัสข้อมูลในทุกไดรฟ์ |
วิธีเปิด-ปิดการใช้งาน BitLocker (สำหรับไดรฟ์ C:)
วิธีเปิดใช้งาน BitLocker:

- คลิกที่ Start Menu แล้วพิมพ์ค้นหาคำว่า “Manage BitLocker” จากนั้นกด Enter
- ในหน้าต่าง BitLocker Drive Encryption, คุณจะเห็นรายการไดรฟ์ต่างๆ ในเครื่อง
- คลิกที่ “Turn on BitLocker” ที่ไดรฟ์ที่คุณต้องการเข้ารหัส (โดยปกติจะเริ่มจากไดรฟ์ C:)
ขั้นตอนการสำรองการกู้คืน (Recovery Key):
Windows จะบังคับให้คุณต้องสำรอง “Recovery Key” ซึ่งเป็นรหัสยาว 48 หลัก กุญแจนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งเดียวที่คุณจะเข้าถึงข้อมูลได้ หากเกิดปัญหากับระบบ เช่น ลืมรหัสผ่าน หรือมีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์ครั้งใหญ่
ตัวเลือกการสำรอง:
- Save to your Microsoft account (แนะนำที่สุด): กุญแจจะถูกบันทึกไว้อย่างปลอดภัยในบัญชี Microsoft ของคุณ
- Save to a file: บันทึกเป็นไฟล์ .txt เก็บไว้ใน External Drive หรือ Cloud Storage ที่ปลอดภัย (ห้ามเก็บไว้ในไดรฟ์ที่กำลังจะเข้ารหัส!)
- Print the recovery key: พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษแล้วเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย
คุณต้องสำรอง Recovery Key อย่างน้อยหนึ่งวิธี และเก็บไว้ในที่ที่คุณจะหาเจอในยามฉุกเฉิน
เลือกว่าจะเข้ารหัสเฉพาะพื้นที่ที่ใช้งาน (Encrypt used disk space only) เช่นเฉพาะไฟล์หรือบางโฟลเดอร์ และยังมีให้เลือกแบบเข้ารหัสทั้งไดรฟ์ (Encrypt entire drive) สำหรับไดรฟ์ใหม่ให้เลือกอันแรก ส่วนไดรฟ์ที่ใช้งานมาระยะหนึ่งแล้วให้เลือกอันที่สองเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
เลือกระบบการเข้ารหัส (ให้ใช้ “New encryption mode” ซึ่งเหมาะสำหรับไดรฟ์ในเครื่อง)
คลิก “Start encrypting” กระบวนการนี้อาจใช้เวลาตั้งแต่หลายนาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดของไดรฟ์และความเร็วของคอมพิวเตอร์ คุณยังสามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ตามปกติในระหว่างนี้
วิธีปิดใช้งาน (Decrypt) BitLocker:
- เข้าไปที่ “Manage BitLocker” เหมือนเดิม
- คลิกที่ “Turn off BitLocker” ที่ไดรฟ์ที่ต้องการ
- ยืนยันการตัดสินใจของคุณ ระบบจะเริ่มกระบวนการถอดรหัส (Decrypt) ซึ่งอาจใช้เวลานานเช่นกัน
ข้อควรระวังและข้อสังเกตในการใช้งาน BitLocker

การใช้ BitLocker นั้นปลอดภัยมาก แต่ก็มีข้อควรระวังเพื่อให้การใช้งานราบรื่น:
Recovery Key คือชีวิต: ย้ำ! หากคุณทำ Recovery Key หายและระบบเกิดปัญหาจนต้องใช้กุญแจนี้ ข้อมูลของคุณจะหายไปตลอดกาล ไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้แม้แต่ Microsoft ดังนั้น ควรสำรองไว้หลายๆ ที่และเก็บให้ดีที่สุด
ประสิทธิภาพอาจลดลงอยู่บ้าง: เพราะการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลแบบเรียลไทม์ต้องใช้พลังการประมวลผลของซีพียู ถ้าในคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ที่มีซีพียูประสิทธิภาพสูง อาจจะแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง แต่ถ้าในคอมรุ่นเก่าอาจจะสังเกตเห็นว่าประสิทธิภาพลดลงเล็กน้อย (ประมาณ 1-5%)
สิ่งสำคัญก่อนอัปเดต BIOS หรือเปลี่ยนฮาร์ดแวร์สำคัญ: ควร “Suspend” หรือ “ปิด” BitLocker ชั่วคราว ก่อนทำการอัปเดต BIOS หรือเปลี่ยนเมนบอร์ด หรือซีพียู เพราะการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์เหล่านี้อาจทำให้ระบบมองว่ามีการพยายามปรับเปลี่ยนหรือโยกย้าย และจะล็อกไดรฟ์ของคุณจนกว่าจะใส่ Recovery Key
การกู้ข้อมูลที่ยากขึ้น: หากไดรฟ์ที่เข้ารหัส BitLocker ไว้เกิดเสียหาย การกู้ข้อมูลจะทำได้ยากกว่าไดรฟ์ปกติหลายเท่า หรืออาจจะทำไม่ได้เลย ดังนั้น การสำรองข้อมูลสำคัญ (Backup) ไปยังไดรฟ์อื่นหรือบริการคลาวด์จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

วิธีการกู้คืน BitLocker ที่ทาง Microsoft ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ สามารถทำได้ตามนี้
อาการที่อาจพบได้ระหว่างใช้งาน BitLocker
1.เครื่องถามหา Recovery Key ตลอดเวลา”: สิ่งนี้คืออาการเจอบ่อย และมักเกิดหลังจากการอัปเดต Windows ที่ผิดพลาด มีการเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าใน BIOS หรือฮาร์ดแวร์บางอย่างทำงานผิดปกติ วิธีแก้คือ ใส่ Recovery Key ที่คุณสำรองไว้ จากนั้นอาจจะต้องลอง Suspend แล้ว Resume BitLocker อีกครั้ง หรืออัปเดต BIOS ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด

2.ลืมรหัสผ่านและทำ Recovery Key หาย: นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ดังที่กล่าวไปข้างต้น หากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ข้อมูลของคุณจะไม่สามารถกู้คืนได้
3.กระบวนการเข้ารหัสช้าหรือค้าง: อาจเกิดจากไดรฟ์มี Bad Sector หรือปัญหาฮาร์ดแวร์อื่นๆ ควรทำการตรวจสอบสุขภาพของไดรฟ์ (Check Disk) ก่อนเริ่มกระบวนการ
1. ถาม: Device Encryption คืออะไร? และมันทำงานเหมือนกับ BitLocker ในรุ่น Pro หรือไม่?
ตอบ: Device Encryption คือฟีเจอร์การเข้ารหัสข้อมูลอัตโนมัติที่มีอยู่ใน Windows 11 Home โดยมันจะทำการล็อกข้อมูลทั้งหมดในไดรฟ์ที่ติดตั้ง Windows (ไดรฟ์ C:) เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเข้าถึงข้อมูลของคุณได้ หากโน้ตบุ๊กของคุณสูญหายหรือถูกขโมย พูดง่ายๆ คือมันเป็น BitLocker เวอร์ชันพื้นฐาน ที่ทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อความสะดวกของผู้ใช้งานทั่วไป ข้อแตกต่างหลักๆ คือ Device Encryption จะเข้ารหัสเฉพาะไดรฟ์ C: และบังคับให้คุณบันทึก Recovery Key ไว้กับบัญชี Microsoft ของคุณเท่านั้น ในขณะที่ BitLocker ในรุ่น Pro จะให้คุณควบคุมได้มากกว่า เช่น สามารถเลือกเข้ารหัสไดรฟ์อื่นหรือ External Drive ได้
2. ถาม: ทำไมคอมพิวเตอร์ของฉันถึงไม่มี Device Encryption หรือเปิดใช้งานไม่ได้?
ตอบ: การที่ Device Encryption จะทำงานได้นั้น จำเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์ที่รองรับ ซึ่งเป็นข้อกำหนดจาก Microsoft เพื่อความปลอดภัย โดยมีเงื่อนไขหลักๆ คือ:
- มีชิป TPM 2.0 (Trusted Platform Module): ซึ่งเป็นชิปความปลอดภัยที่ติดตั้งมาบนเมนบอร์ดของคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ
- รองรับ Modern Standby: เป็นคุณสมบัติของฮาร์ดแวร์ที่ช่วยให้เครื่องตื่นจากการ Sleep ได้เร็วขึ้น
- ล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft (Microsoft Account): เพราะกุญแจกู้คืนจะถูกสำรองไว้ในบัญชีของคุณโดยอัตโนมัติ
หากคอมพิวเตอร์ของคุณไม่ตรงตามข้อกำหนดเหล่านี้ (เช่น เป็นคอมประกอบบางรุ่น หรือยังล็อกอินด้วย Local Account) ตัวเลือก Device Encryption ก็จะไม่ปรากฏหรือไม่สามารถเปิดใช้งานได้ครับ
3. ถาม: Recovery Key คืออะไร? และจะหามันได้จากที่ไหน?
ตอบ: Recovery Key คือรหัสยาว 48 หลักที่เปรียบเสมือน “กุญแจสำรอง” สำหรับปลดล็อกข้อมูลของคุณ มันมีความสำคัญอย่างยิ่งในกรณีที่ระบบเกิดปัญหาและไม่สามารถยืนยันตัวตนของคุณได้ตามปกติ เช่น หลังการอัปเดต BIOS หรือมีการเปลี่ยนแปลงฮาร์ดแวร์) สำหรับ Device Encryption กุญแจนี้จะถูก บันทึกไว้ในบัญชี Microsoft ของคุณโดยอัตโนมัติ
- วิธีหา:
- ใช้อุปกรณ์อื่น (เช่น มือถือหรือคอมเครื่องอื่น) เข้าไปที่เว็บไซต์ https://account.microsoft.com/devices/recoverykey
- ล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft เดียวกับที่คุณใช้บนคอมพิวเตอร์
- คุณจะเห็นรายชื่ออุปกรณ์และ Recovery Key ที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นมา
4. ถาม: การเปิด Device Encryption ทำให้คอมพิวเตอร์ช้าลงหรือไม่?
ตอบ: สำหรับคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ แทบจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างเลยครับ ซีพียูรุ่นใหม่ๆ มีชุดคำสั่งเฉพาะ (เช่น AES-NI) ที่ช่วยเร่งความเร็วในการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลโดยตรง ทำให้ผลกระทบต่อประสิทธิภาพโดยรวมน้อยมาก (อาจจะลดลงเพียง 1-2% ซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ในการใช้งานจริง) ประโยชน์ด้านความปลอดภัยของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นมานั้นมีค่ามากกว่าประสิทธิภาพที่ลดลงไปเพียงเล็กน้อยอย่างมหาศาล ดังนั้น การเปิด Device Encryption ไว้จึงเป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัวของคุณให้ปลอดภัย
บทสรุป: BitLocker จำเป็นหรือไม่? เหมาะกับการใช้งานแบบใด?
โดยสรุป BitLocker คือฟีเจอร์ความปลอดภัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับผู้ใช้ Windows 11 Pro ทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ใช้โน้ตบุ๊กและมีการเก็บข้อมูลสำคัญไว้ในเครื่อง มันมอบความสบายใจในระดับสูงสุดว่าข้อมูลของคุณจะปลอดภัยจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอย่างการถูกขโมย
แม้ว่ามันอาจจะดูซับซ้อนในช่วงแรก แต่ขั้นตอนการเปิดใช้งานนั้นตรงไปตรงมา และเมื่อตั้งค่าเสร็จแล้วมันจะทำงานอยู่เบื้องหลังโดยที่คุณแทบไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของมันเลย สิ่งเดียวที่คุณต้องทำคือ เก็บรักษา Recovery Key ของคุณไว้อย่างดี เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ของคุณได้อย่างเต็มที่และปลอดภัยในยุคดิจิทัลปี 2025 นี้แล้วครับ





