
การใช้ AI สร้างภาพ หรือ AI Image Generation ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง เพราะทำให้ทุกคนสามารถเปลี่ยนข้อความในหัวให้กลายเป็นภาพได้ในเวลาไม่กี่วินาที ไม่ว่าจะเป็นนักการตลาด ต้องการภาพประกอบแคมเปญที่ไม่ซ้ำใคร Content Creator ที่อยากได้ภาพประกอบที่ดูน่าสนใจ หรือเจ้าของธุรกิจกับภาพสินค้าสวยๆ รวมถึงคนที่อยากสนุกกับการสร้างสรรค์ แล้วเราจะเลือกใช้อย่างไร และมี AI ใดน่าสนใจบ้างในปี 2025 วันนี้เรามีตัวอย่าง AI มาให้คุณได้รู้จักกับเครื่องมือยอดนิยม เพื่อนำมาใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ดุจมืออาชีพ
5 AI สร้างภาพฟรีปี 2025 ผู้ช่วยคนเก่งในงานออกแบบ
- Microsoft Designer
- Leonardo.Ai
- SeaArt.ai
- Stable Diffusion
- Canva
- FAQ: คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการใช้ AI สร้างภาพ ที่มือใหม่ต้องรู้!
- สรุปการเลือกใช้ AI สร้างภาพฟรีปี 2025 ผู้ช่วยคนเก่งในงานออกแบบ
1. Microsoft Designer

Microsoft Designer คือเว็บแอปพลิเคชันสำหรับออกแบบกราฟิกที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างเต็มรูปแบบ มีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปที่ไม่มีทักษะด้านการออกแบบ สามารถสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพระดับมืออาชีพได้ หัวใจสำคัญอยู่ที่การนำโมเดล AI ที่ทรงพลังจาก OpenAI อย่าง DALL-E 3 กับเวอร์ชันล่าสุด มาผสานเข้ากับเครื่องมือออกแบบทำกราฟิก
การสร้างภาพด้วย AI ใช้เพียงการนำคำสั่ง หรือ Prompt เพื่อบอก AI ว่าต้องการภาพแบบไหน AI ก็จะทำการสร้างภาพที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องมาให้คุณเลือก ด้วยพลังของ DALL-E 3 ทำให้ได้ภาพที่สวยงาม โดดเด่นดูสร้างสรรค์ และที่สำคัญสามารถเข้าใจบริบทของ Prompt ที่ซับซ้อนได้ดีมาก โดยนำภาพที่ได้ไปใช้ในโอกาสต่างๆ ได้สะดวก
นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือแก้ไขภาพด้วย AI ไม่ว่าจะเป็น ลบพื้นหลังออกจากภาพได้อย่างเนียนกริ๊บในคลิกเดียว หรือลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพได้ รวมถึงสร้างเอฟเฟกต์หน้าชัดหลังเบลอให้กับภาพถ่ายบุคคลด้วยเช่นกัน
จุดเด่นและข้อสังเกต
- ขับเคลื่อนด้วย AI ชั้นนำ: การใช้ DALL-E 3 ทำให้คุณภาพของภาพที่สร้างขึ้นอยู่ในระดับแนวหน้า
- ใช้งานง่ายและรวดเร็ว: เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานด้านการออกแบบ สามารถสร้างงานสวยๆ ได้ในไม่กี่นาที
- ทำงานร่วมกับ Microsoft 365: สามารถนำดีไซน์ไปใช้ใน PowerPoint, Word, หรือแอปอื่นๆ ของ Microsoft ได้ง่าย เป็นฟีเจอร์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
- ใช้งานฟรี: แต่มีตัวเลือกพรีเมียมให้ใช้งาน ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเข้าถึงฟีเจอร์หลักๆ ได้ฟรี โดยอาจมีโควต้าในการสร้างภาพต่อวัน
2. Leonardo.Ai

Leonardo.Ai คือ แพลตฟอร์มสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วย AI แบบครบวงจร ที่ไม่ได้มีแค่ฟังก์ชันแปลงข้อความเป็นภาพ (Text-to-Image) เท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยชุดเครื่องมือขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อศิลปินและนักออกแบบโดยเฉพาะ ทำให้ผู้ใช้สามารถควบคุมกระบวนการสร้างสรรค์และปรับแต่งผลลัพธ์ได้อย่างละเอียดในทุกขั้นตอน เหมือนมีผู้ช่วยศิลปิน AI ที่อยู่ในมือ
จุดเด่นคือ การมีโมเดล AI เฉพาะทาง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ Leonardo.Ai โดดเด่น เพราะ Leonardo มีโมเดลที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ สำหรับงานสไตล์ต่างๆ ให้เลือกใช้มากมาย เช่น Leonardo Diffusion XL, PhotoReal, 3D Animation Style หรือ Sketchbook หรือ RPG Portraits เป็นต้น
นอกจากนี้ยังให้อิสระในการฝึกโมเดล AI ของคุณเอง ด้วยการอัปโหลดรูปภาพสไตล์ที่คุณชอบ ตัวละครที่คุณออกแบบ หรือวัตถุที่คุณต้องการ หลายๆ ภาพพร้อมกัน เพื่อเป็นการสอน AI ให้เรียนรู้และสร้างภาพในสไตล์หรือที่เป็นรูปแบบเฉพาะตัวของคุณเอง รวมถึงแก้ไขและสร้างสรรค์แบบเรียลไทม์ได้อีกด้วย กับการสเก็ตช์ภาพง่ายๆ แล้วพิมพ์ Prompt บอก AI ว่าอยากให้เป็นอะไร AI ก็จะทำการเรนเดอร์ภาพนั้นๆ ออกมาให้ นอกจากนี้ยังมี Element สไตล์พิเศษ ที่นำไปผสมกับโมเดลหลักเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนใครอีกด้วย
จุดเด่นและข้อสังเกต
- ระบบเครดิต (Tokens): Leonardo.Ai ใช้ระบบเครดิตในการสร้างภาพ ผู้ใช้ฟรีจะได้รับ เครดิตจำนวนหนึ่งทุกวัน โดยรีเซ็ตใหม่ทุก 24 ชั่วโมง เพียงพอสำหรับการทดลองใช้งาน แต่ถ้าต้องการสร้างภาพจำนวนมากหรือใช้ฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น Alchemy รวมถึงการใช้งานจริงจัง แนะนำสมัครแผนบริการแบบมีค่าใช้จ่าย
- มีความซับซ้อนสำหรับมือใหม่อยู่บ้าง: เพราะมีเครื่องมือและตัวเลือกที่หลากหลาย ทำให้ผู้ใช้ใหม่รู้สึกสับสนเล็กน้อยในช่วงแรก แต่ก็ใช้เวลาปรับตัวไม่นาน
- ผลลัพธ์ที่ต้องผ่านการปรับปรุงหลายครั้ง: เช่นเดียวกับ AI สร้างภาพในหลายๆ ตัว ภาพที่สร้างก่อนจะสมบูรณ์แบบตามต้องการได้ ต้องผ่านการ Generate หลายครั้ง เพื่อเลือกภาพที่ดีที่สุด
3. SeaArt.ai

ผู้ที่กำลังมองหาเครื่องมือ AI สร้างภาพที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบสไตล์อนิเมะและการ์ตูน นั่นคือ SeaArt.ai ที่ไม่ได้มีดีแค่การสร้างภาพสวยๆ แต่ยังมาพร้อมกับระบบที่เอื้อประโยชน์ให้ ผู้ใช้ที่ชอบใช้งานแบบไม่มีค่าใช้จ่ายสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้
SeaArt.ai เป็นแพลตฟอร์มสร้างภาพด้วย AI ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล Stable Diffusion ที่ได้รับการปรับแต่งและพัฒนาให้ใช้งานง่ายขึ้น กับจุดเด่นที่ทำให้ SeaArt.ai แตกต่างและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วคือการ เน้นไปที่การสร้างภาพสไตล์อนิเมะ, การ์ตูน, และภาพบุคคล เป็นหลัก และไม่ได้มีแค่โมเดลสำหรับภาพอนิเมะ แต่ยังมีโมเดลพื้นฐานคุณภาพสูงสำหรับสร้างภาพสไตล์อื่นๆ ให้เลือกใช้อีกด้วย
ความน่าสนใจอยู่ที่ การเป็นสวรรค์ของสายฟรี เพราะมีระบบ Stamina คล้ายกับระบบเครดิตในการสร้างภาพ แต่สิ่งที่ทำให้ดูโดดเด่นคือ วิธีการได้รับ Stamina ฟรีได้หลากหลายรูปแบบ นอกเหนือจากโควต้าที่เติมให้ทุกวัน เช่น การทำภารกิจง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็น การล็อกอิน การกดไลก์ หรือการแชร์ผลงาน รวมถึง LoRA (Low-Rank Adaptation) หรือที่เป็นโมเดลขนาดเล็ก ที่ใช้ในการปรับแต่งสไตล์ของภาพที่สร้างขึ้น
โดยที่ SeaArt.ai มีคลัง LoRA Model ที่ผู้ใช้งานสร้างและแชร์กันไว้มากมายมหาศาล หรือจะเป็น AI Filters / Image-to-Image ที่เปลี่ยนภาพถ่ายของคุณให้กลายเป็นสไตล์ต่างๆ หรือการใช้ภาพต้นฉบับเป็นแนวทางในการสร้างภาพใหม่ รวมถึงเครื่องมือช่วยเพิ่มความคมชัดและความละเอียดให้กับภาพเป็นต้น
จุดเด่นและข้อสังเกต
- เน้นสไตล์อนิเมะเป็นหลัก: แม้จะมีโมเดลอื่นให้เลือก แต่จุดแข็งและโมเดลส่วนใหญ่ของแพลตฟอร์มยังคงเน้นไปที่สไตล์อนิเมะและการ์ตูน หากคุณต้องการสร้างภาพแนวอื่นโดยเฉพาะ อาจจะต้องใช้เวลาหาโมเดลที่เหมาะสม
- หน้าตาโปรแกรมอาจดูเยอะอยู่บ้าง: ด้วยฟีเจอร์และตัวเลือกที่มีอยู่มากมาย ทำให้ในช่วงต้น ผู้ใช้มือใหม่จะรู้สึกว่าหน้าตามีความซับซ้อน
- คุณภาพของ LoRA: เนื่องจาก LoRA ส่วนใหญ่สร้างโดยผู้ใช้งาน คุณภาพและความเสถียรของแต่ละโมเดลจึงอาจแตกต่างกัน ต้องใช้เวลาในการทดลองหาแบบที่เข้ากับสไตล์ของคุณ
4. Stable Diffusion (เวอร์ชันออนไลน์ฟรี)

Stable Diffusion จัดเป็นโมเดล AI อัจฉริยะ โดยเป็นโมเดล AI สำหรับสร้างภาพจากข้อความ (Text-to-Image) ที่เป็น Open-Source พัฒนาโดย Stability AI ร่วมกับพันธมิตรอีกหลายราย กับการเป็น โอเพนซอร์ส ที่เป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะ โค้ดและตัวโมเดล AI ถูกเปิดให้สาธารณชนสามารถดาวน์โหลดไปใช้งานและพัฒนาต่อยอดได้ฟรี
จัดเป็น Ecosystem ขนาดใหญ่ ด้วยการเป็นโอเพนซอร์สทำให้เกิดชุมชนนักพัฒนาและศิลปินขนาดใหญ่ทั่วโลกที่ช่วยกันสร้างเครื่องมือ ปลั๊กอิน และโมเดลใหม่ๆ ออกมา ซึ่งในส่วนที่ใช้ฟรีนั้น จะเป็นการใช้งานผ่าน Web UI ที่จะมีทั้งฟรี และมีค่าใช้จ่าย เช่น Mage.space, Playground AI หรือ SeaArt.ai ซึ่งหลายเว็บก็ใช้ Stable Diffusion เป็นพื้นฐาน
ความน่าสนใจอยู่ที่ อิสระในการสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด และการปรับแต่งขั้นสูงสุดด้วย Custom Models และ LoRA โดยสามารถดาวน์โหลดโมเดลเหล่านี้ (จากเว็บอย่าง Civitai) มาใช้เพื่อเปลี่ยนสไตล์ภาพของคุณได้ ไม่ว่าจะเป็น ภาพถ่ายสมจริง ภาพสไตล์อนิเมะ หรือ ภาพ 3D, ภาพวาดสีน้ำ, ภาพแฟนตาซี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือและส่วนขยาย (Extensions) มาให้ใช้ เช่น ภาพแผนที่ความลึก (Depth Map) มาเป็น “พิมพ์เขียว” ให้ AI สร้างภาพตามโครงสร้างนั้นๆ ได้ เป็นต้น
จุดเด่นและข้อสังเกต
- ต้องการสเปกคอมที่แรงพอ: นี่คือสิ่งสำคัญ เพราะความต้องการของระบบ ต้องมี GPU GeForce RTX ที่และมี VRAM อย่างน้อย 6-8GB ขึ้นไป แนะนำ 12GB หรือมากกว่า เพื่อการใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ในการรันโมเดลและสร้างภาพได้อย่างรวดเร็ว
- การติดตั้งที่ซับซ้อนเล็กน้อน: การติดตั้งและตั้งค่า Stable Diffusion พร้อม UI ในครั้งแรกอาจจะดูซับซ้อนอยู่บ้าง สำหรับผู้ใช้ทั่วไป
- ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้: การจะใช้งาน Stable Diffusion ให้เต็มศักยภาพนั้นต้องอาศัยการเรียนรู้และทดลองพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคการเขียน Prompt การใช้ Negative Prompt การเลือก Sampler และการใช้ส่วนขยายต่างๆ
5. Canva (Text to Image)

Canva Text to Image คือ เครื่องมือสร้างภาพด้วย AI ที่ผนวกรวมอยู่ในแพลตฟอร์ม Canva โดยตรง ช่วยให้คุณสามารถสร้างภาพประกอบที่ไม่ซ้ำใครขึ้นมาใหม่จากศูนย์ ได้ง่ายๆ เพียงแค่ใส่ Prompt บอก AI ว่าคุณต้องการภาพแบบใด เพื่อสร้างภาพที่ตรงกับจินตนาการและเข้ากับคอนเทนต์ของคุณได้สมบูรณ์มากขึ้น แต่ก็สามารถทำทุกอย่างจบได้ในที่เดียว
จุดที่น่าสนใจคือความง่ายและไร้รอยต่อ พราะสร้างมาให้เป็นส่วนหนึ่งของ Workflow การออกแบบบน Canva โดยตรง โดยเปิดหน้าโปรเจกต์ของคุณ จากนั้นคลิกที่แท็บ “Magic Media” แล้วพิมพ์ Prompt ลากภาพที่ AI สร้างขึ้นมาวางในงานออกแบบของคุณต่อได้ทันที ช่วยลดขั้นตอนการทำงานได้มากมาย ไม่ต้องดาวน์โหลดภาพจากเว็บอื่น แล้วอัปโหลดเข้ามาใหม่
มีความเป็น User-Friendly สูง โดยเฉพาะคนที่ไม่ถนัดการเขียน Prompt ที่ซับซ้อน เพราะ Canva เตรียมสไตล์ภาพแบบสำเร็จรูปมาให้เลือก ผู้ใช้แค่พิมพ์คำอธิบายง่ายๆ แล้วเลือกสไตล์ที่ต้องการ รวมถึงยังสร้างวิดีโอจากข้อความได้อีกด้วย โดยการสร้างคลิปวิดีโอสั้นๆ จากข้อความ กับการใช้ระบบเครดิต ที่ผู้ใช้ฟรีจะได้รับ มีโควต้าเครดิตตลอดอายุการใช้งานจำนวนหนึ่ง แต่ก็เพียงพอสำหรับการทดลองเล่นและใช้งานในโปรเจกต์เล็กๆ เท่านั้น ซึ่งถ้าจะใช้จริงจังก็ยังแนะนำเป็นการใช้ Pro/ Teams และ Education ที่ได้โควต้าเครดิตต่อเดือนมากกว่า
จุดเด่นและข้อสังเกต
- คุณภาพและความยืดหยุ่น: แม้จะใช้งานง่าย แต่ในแง่ของความสามารถในการตีความ Prompt ที่ซับซ้อนจำนวนมาก อาจจะยังไม่เทียบเท่ากับ AI สร้างภาพระดับสูง ที่ให้ผู้ใช้ทำได้ละเอียดกว่า
- มีเครดิตฟรีมีจำกัด: สำหรับผู้ใช้ฟรี เมื่อใช้เครดิตตลอดอายุการใช้งานหมดแล้ว ต้องรอหรืออัปเกรดเป็นแผนบริการแบบมีค่าใช้จ่าย เพื่อใช้งานต่อได้
- ผลลัพธ์ของ AI ยังต้องมีการปรับปรุง: เป็นรูปแบบเดียวกับ AI สร้างภาพในปัจจุบัน บางครั้งภาพที่ได้อาจจะไม่ตรงตามที่คิดไว้ 100% โดยเฉพาะรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น นิ้วมือ หรือตัวอักษรที่มีผิดเพี้ยนบ้าง ต้องเจนใหม่หลายครั้ง
FAQ: คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับการใช้ AI สร้างภาพ ที่มือใหม่ต้องรู้!
1. คำถาม: ภาพที่สร้างจาก AI สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้หรือไม่? ติดลิขสิทธิ์หรือเปล่า?
คำตอบ: ขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้ให้บริการ AI แต่ละราย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะอนุญาตให้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ แต่อาจมีเงื่อนไข โดยทั่วไปแล้ว แพลตฟอร์ม AI สร้างภาพยอดนิยม มักจะให้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของภาพแก่ผู้สร้าง ซึ่งก็คือตัวผู้ใช้ สามารถนำภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ เช่น ทำปกหนังสือ, ภาพประกอบสินค้า, หรือใช้ในงานโฆษณา อย่างไรก็ดี ควรตรวจสอบ “ข้อกำหนดในการให้บริการ หรือ Terms of Service ของแต่ละแพลตฟอร์มให้ครบถ้วน
2. คำถาม: ทำไม AI ถึงสร้างภาพและรายละเอียดยังไม่สมบูรณ์?
คำตอบ: ปัญหานี้เป็นหนึ่งในความท้าทายคลาสสิกของ AI สร้างภาพ สาเหตุหลักนั่นคือ การเรียนรู้ของ AI ที่เรียนรู้จาก “รูปแบบ” (Pattern) ของภาพถ่ายนับล้านๆ ภาพ ซึ่งในภาพเหล่านั้นอาจไม่ได้สมบูรณ์หรือมีมีการปิดซ่อนบางอย่างไว้ ไม่ชัดเจน ทำให้ AI สับสนและสร้างภาพออกมาผิดเพี้ยนได้เช่นกัน แต่ AI รุ่นใหม่ๆ ที่ได้รับการเทรนหรือพัฒนาต่อเนื่อง ก็ทำให้ปัญหาลดลงเรื่อยๆ และได้ภาพที่สมบูรณ์มากขึ้น
3. คำถาม: “Prompt” คืออะไร? และมีเทคนิคการเขียนอย่างไรให้ได้ภาพตรงใจ?
คำตอบ: “Prompt” คือ “คำสั่ง” หรือ “ชุดคำอธิบาย” ที่เราพิมพ์บอก AI ว่าต้องการให้สร้างภาพอะไรออกมา มันคือส่วนที่สำคัญที่สุดในการควบคุมผลลัพธ์ เทคนิคการเขียน Prompt ที่ดีคือ “การอธิบายให้ละเอียดและเห็นภาพที่สุด” โดยควรประกอบด้วยองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้:
- Subject: สิ่งหลักในภาพคืออะไร? เช่น a beautiful woman, a robot cat
- Action/Pose: กำลังทำอะไร? เช่น sitting on a rooftop, drinking coffee
- Setting: อยู่ที่ไหน? เช่น in a futuristic city at night, in a magical forest
- Style: ต้องการให้ภาพออกมาเป็นแบบใด? เช่น photorealistic, anime style, watercolor painting หรือ cinematic shot เป็นต้น
- Details & Mood: เพิ่มรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และอารมณ์ของภาพ เช่น wearing a red dress, with dramatic lighting หรือ warm and cozy atmosphere
4. คำถาม: “Negative Prompt” คืออะไร และจำเป็นต้องใช้หรือไม่?
คำตอบ: “Negative Prompt” คือ “คำสั่งบอก AI ว่าเรา ‘ไม่ต้องการ’ ให้มีอะไรอยู่ในภาพ” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการคัดกรองสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ออกไป ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบกว่าเดิม แม้จะไม่จำเป็นต้องใช้ทุกครั้ง แต่ก็มีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อ AI สร้างภาพที่มีข้อผิดพลาดเดิมๆ ซ้ำๆ นั่นเอง
สรุปการเลือกใช้ AI สร้างภาพฟรีปี 2025 ผู้ช่วยคนเก่งในงานออกแบบ
การมาของ AI สร้างภาพได้เปิดประตูแห่งการสร้างสรรค์ให้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะมีทักษะด้านศิลปะหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับมือใหม่ การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมอาจจะดูน่าสับสนเล็กน้อย สรุปง่ายๆ คือ ไม่มีเครื่องมือไหนที่ดีที่สุด แต่มีเครื่องมือที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณ คำแนะนำคือ อย่าเพิ่มถอดใจหากภาพแรกไม่เป็นไปตามที่คุณจินตนาการไว้ เพราะหัวใจของการใช้ AI สร้างภาพคือการทดลอง เพื่อที่จะเรียนรู้ที่จะคุยกับ AI ผ่านทาง Prompt ที่มีละเอียดยิ่งขึ้น อาจลองใช้ Negative Prompt เพื่อตัดสิ่งที่ไม่ต้องการออกไปจากภาพ และศึกษาผลงานจาก Community อยู่เสมอ แล้วคุณจะพบว่าการเปลี่ยนจินตนาการให้กลายเป็นภาพนั้นสนุกนั้น ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป





