Acer Swift Go 14 AI Copilot+ PC ฟีเจอร์ล้นตัวหัวใจ Snapdragon X Plus ใช้งานลื่นไม่แพ้ใคร แบตเตอรี่ทนจนลืมชาร์จ!!

โน๊ตบุ๊คตระกูล Swift ของ Acer เช่น Acer Swift Go 14 AI ขึ้นชื่อเรื่องน้ำหนักเบาแล้ว ยังเป็นซีรีส์ทดลองสิ่งใหม่ๆ ด้วย อย่างรุ่นนี้เป็น Copilot+ PC ด้วยชิปเซ็ต Snapdragon X Plus มีสมรรถนะการประมวลผล AI ถึง 45 TOPS เวลาสั่งอะไร ปัญญาประดิษฐ์ก็ตอบสนองได้รวดเร็ว และยังมี Prism Emulator ใน Windows 11 ให้ซอฟท์แวร์ทั่วไปรันบนชิปเซ็ต ARM ได้เหมือนตอนใช้งานกับซีพียู x86 ตามปกติ ไม่มีปัญหามากวนใจนักแต่ได้เปรียบตรงประหยัดแบตเตอรี่มากจนแทบไม่ต่างกับแท็บเล็ตเลย
ข้อดีของ Swift Go 14 AI เริ่มจากราคาถูกเพียง 18,990 บาท ผิดกับโน๊ตบุ๊ค Snapdragon ที่ใช้ชิปเซ็ตรุ่นเดียวกันร่วมหมื่นบาทแล้ว ยังได้อุปกรณ์ใช้งานติดมาเกินตัวทั้งเซนเซอร์อินฟาเรดสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวก่อนปลดล็อคเครื่องให้ใช้งานบนหน้าจอขนาด 14″ ขอบเขตสี 100% sRGB รวมน้ำหนักทั้งหมดแล้วเบาเพียง 1.33 กก. ได้พอร์ต USB-C 4.0 Full Function คู่ ไว้ต่อ USB Hub แปลงเป็นพอร์ตต่างๆ ให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น พร้อมหน่วยความจำ RAM 16 GB LPDDR5X กับ M.2 NVMe SSD 512 GB ติดตั้ง Windows 11 Home กับ Microsoft Office Home 2024 มาครบ แค่เปิดเครื่องตั้งค่าและ Sign in ให้เสร็จก็ใช้งานได้แล้ว

นอกจากฮาร์ดแวร์แล้ว NPU ในชิปเซ็ต Snapdragon X Plus ยังช่วยให้รันโปรแกรมและส่วนเสริม AI ได้ดี จะเรียกใช้โปรแกรม system timestamp อย่าง Microsoft Recall ดึงโปรแกรมก่อนหน้านี้ขึ้นมาใช้งานได้, เปิด Live Captions ให้แปลคำพูดของคู่สนทนาเวลาประชุมงานออนไลน์ มี Studio Effects เอาไว้เบลอฉากหลังตอนประชุมงานออนไลน์ได้โดยไม่กระทบกับกำลังประมวลผลจากคอร์หลัก ยังไม่รวมถึงส่วนเสริม AI ในโปรแกรมชั้นนำอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อลัดขั้นตอนยุ่งยากร้อยแปดได้ด้วย
NBS Verdicts

ผู้ใช้ส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ติดใจว่าโน๊ตบุ๊ค Snapdragon กับชิปเซ็ตสถาปัตยกรรม ARM อย่าง Acer Swift Go 14 AI จะใช้งานได้ดีแค่ไหน แต่ใส่ใจว่าจะเปิดโปรแกรมสำคัญขึ้นมาทำงานได้เหมือนซีพียู x86 หรือเปล่า ซึ่ง Prism Emulator ของ Microsoft ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ทั้งใช้งานได้เหมือนปกติแล้วยังทำงานดีไม่แพ้ซีพียู x86 แม้แต่น้อย ถึงบางโปรแกรมจะมีบั๊กจิปาถะอยู่ก็ยังแก้ได้ไม่ร้ายแรงนัก แถม Qualcomm ก็รวมโปรแกรมที่รันบนชิปเซ็ตนี้ได้ให้ผู้สนใจเช็คก่อนเปลี่ยนมาใช้โน๊ตบุ๊คชิปเซ็ต ARM ด้วย จะได้ติดตั้งโปรแกรมแล้วทำงานต่อเลย
เรื่องน่าประทับใจของ Acer Swift Go 14 AI นอกจากราคาน่าเป็นเจ้าของ ซื้อมาลองใช้งานดูได้แล้ว ฮาร์ดแวร์กับซอฟท์แวร์ก็ครบเครื่องทั้งเซนเซอร์สแกนใบหน้าเพื่อป้องกันคนอื่นแอบมายุ่งกับคอมโดยพลการและยังปลดล็อคได้รวดเร็วหรือจะใช้ยืนยันตัวออนไลน์กับระบบ Passkey ได้ด้วย ช่วยลดโอกาสการโดนแฮ็คบัญชีไปได้มาก ประกอบกับพอร์ต USB-C Full Function คู่ไว้ต่อ USB Hub แปลงเป็นพอร์ตอื่นๆ เวลานั่งโต๊ะทำงานและตอนพกไปพบลูกค้านอกออฟฟิศก็ต่อ Hub เข้ากับอุปกรณ์อื่นใช้งานได้สะดวกขึ้นแถมน้ำหนักเครื่องก็เบาเพียง 1.33 กก. ตามมาตรฐานโน๊ตบุ๊คบางเบา เรื่องแบตเตอรี่ถ้าใช้เปิดเบราเซอร์ดูเว็บไซต์, ทำงานเอกสารหรือประชุมงานด่วนก็สบายมาก แบตเตอรี่ 75Whr สามารถใช้ได้จนจบหรือข้ามวันอย่างแน่นอน
จุดน่าสนใจของชิป Snapdragon X Plus ถึงจะได้คะแนนจากการ Benchmark น้อยกว่าเหล่าชิปเซ็ต x86 ก็จริง แต่การใช้งานตามจริงถือว่าดีทีเดียว อย่างการเรนเดอร์ภาพปรับแต่งแล้วจากโปรแกรม Adobe Lightroom Classic ร่วม 90 ภาพ ที่ใช้ในรีวิวนี้นอกจากทำได้เร็วและไม่ค้างแล้ว พัดลมระบายความร้อนก็แทบไม่ส่งเสียงดังออกมาเลย ถ้าเปิดเบราเซอร์ทำงานด้วยเว็บแอพฯ ก็แทบไม่ได้ยินเสียงพัดลมสักนิดถึงจะเปิด Performance mode ก็ตาม ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าชิปเซ็ตจะร้อนจนลดกำลังประมวลผลก็ได้

อย่างไรก็ตามถึง Prism Emulator ของ Windows 11 จะทำงานได้ดี โปรแกรมไม่รวนหรือปิดตัวกะทันหัน แต่ปัญหาจะมาจากฝั่งเจ้าของซอฟท์แวร์ได้ อย่าง Adobe Lightroom Classic ยังเจอบั๊กเวลา Import ภาพเข้ามา ถ้าโหลดจาก SSD ในเครื่องจะใช้ได้ตามปกติ แต่ถ้าดึงจาก External SSD จะทำไม่ได้ เวลาใช้งานเสร็จแล้วปิดโปรแกรมทิ้งไปจะเหลือ Background process อยู่ ต้องใช้ Task Manager ปิดบ้าง บางโปรแกรมกดเลือกแล้วจะเกิดการหน่วงอยู่เสี้ยววินาทีก่อนจะทำงาน กรณีใช้งานตามปกติไม่มีปัญหายกเว้นตั้งใจจะจับสังเกตถึงจะเจอ หรือถ้าต่อสายชาร์จเข้า USB Hub ค่อยเข้าตัวเครื่อง ระบบปฏิบัติการจะแจ้งว่ากำลังไฟน้อยจะชาร์จช้าลงระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่น่าเป็นห่วงนักเพราะชิปเซ็ต ARM จัดการพลังงานได้ดีมากเป็นทุนเดิม ถึงจะชาร์จช้าได้ไฟคืนมาน้อยก็ไม่น่ากังวลนัก
ถัดจากข้อสังเกตของซอฟท์แวร์แล้ว ฮาร์ดแวร์ยังมีจุดให้พัฒนาต่อได้และคาดหวังว่า Acer จะปรับแต่งสเปครุ่นต่อไปให้น่าประทับใจกว่านี้ เริ่มต้นจากเพิ่มความละเอียดหน้าจอจาก WUXGA (1920*1200) เป็น 2.5K เพื่อให้ภาพคมชัดยิ่งขึ้น ราคาอาจเพิ่มสักหน่อยก็ยังพอรับได้และอยากให้ติดพอร์ตอื่นๆ เพิ่มเข้ามาสัก 1 ช่อง อาจเป็น SD Card reader หรือ HDMI เผื่อให้เจ้าของต่ออุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ ได้สะดวกขึ้น
ข้อดีของ Acer Swift Go 14 AI
- ราคาถูกมากเพียง 18,990 บาท ก็ซื้อ Copilot+ PC มาใช้งานได้แล้ว
- ชิปเซ็ตเป็น Snapdragon X Plus แบบ 8 คอร์ ประมวลผล AI ได้ดี มีสมรรถนะ 45 TOPS
- มีหน่วยความจำ M.2 NVMe SSD 512 GB กับ RAM 16 GB LPDDR5X ใช้งานได้ดี
- ชุดคำสั่ง Prism Emulator ของ Windows 11 ประสานงานกับชิปได้ดี ทำงานได้ลื่นไหล
- หน้าจอมีขอบเขตสีกว้าง 100% sRGB แสดงสีสันได้สวยงามสมจริง
- หน้าจอมีค่า Refresh Rate 120Hz แสดงภาพได้ลื่นไหลต่อเนื่อง
- ขาบานพับหน้าจอดีไซน์ให้กางจอได้กว้าง 180 องศา ราบไปกับพื้นโต๊ะได้
- การจัดการพลังงานทำได้ยอดเยี่ยม ทำให้แบตเตอรี่ 75Whr ใช้งานได้ร่วม 17 ชม.
- แม้ตอนทำงานเต็มกำลังเสียงพัดลมระบายความร้อนก็ดังสุดเพียง 50dB เท่านั้น
- มี USB-C 4.0 Full Function ติดตั้งมา 2 ช่อง ต่อพ่วงเป็นพอร์ตต่างๆ ได้อีกพอควร
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ลื่นไหลและเสถียรด้วย Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be
- น้ำหนักเครื่องเบาเพียง 1.33 กก. เท่านั้น พกพาง่ายไม่หนักมาก
- กล้องเว็บแคมมีความละเอียด 1440p ใช้ประชุมออนไลน์ได้ภาพคมชัดพร้อมบานชัตเตอร์
- มีกล้องอินฟาเรดไว้ใช้สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่องและทำงานกับ Windows Passkey ได้
- ปุ่ม Power เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ สามารถปลดล็อคเครื่องได้รวดเร็ว
- เรียกใช้ system snapshot อย่าง Microsoft Recall ไว้เรียกใช้โปรแกรมที่เคยเปิดได้
- ติดตั้ง Microsoft Office Home 2024 มาให้พร้อมใช้งาน ไม่ต้องซื้อเพิ่ม
ข้อสังเกตของ Acer Swift Go 14 AI
- ใช้งานกับซอฟท์แวร์บางตัวยังมีบั๊กประปราย โดยเฉพาะ Adobe Suite
- ถ้าหน้าจอมีความละเอียด 2.5K จะดีมาก ได้ภาพคมชัดยิ่งขึ้น
- พอร์ต USB-C 4.0 Full Function ถ้าต่อ Hub ต้องใช้อะแดปเตอร์ 100W ถึงจะชาร์จเร็วปกติ
- มีเพียง USB-C, USB-A เท่านั้น ควรซื้อ USB Hub มาต่อพ่วงเพิ่มจะใช้งานสะดวกขึ้น
รีวิว Acer Swift Go 14 AI
- Specification
- Hardware & Design
- Screen & Speaker
- Keyboard & Touchpad
- Connector, Thin & Weight
- Inside & Upgrade
- Performance & Software
- Battery & Heat & Noise
- User Experience
- Conclusion & Award
- Gallery
Specification

Acer Swift Go 14 AI นับเป็นโน๊ตบุ๊ค Snapdragon รุ่นคุ้มค่าได้อย่างไม่ต้องสงสัย จากสเปคจะเห็นว่าซีพียูก็เป็น Snapdragon X Plus ซีรีส์รองท็อปสมรรถนะดีไม่ว่าจะใช้งานทั่วไปหรือรัน AI ก็ไหลลื่น ขนาดเครื่องใหญ่กำลังดีพกพาง่ายแถมมีเซนเซอร์สแกนใบหน้าติดตั้งมาให้ด้วย สเปคโดยละเอียดจะเป็นเช่นนี้
| CPU | Qualcomm Snapdragon X Plus X1P-42-100 แบบ 8 คอร์ ความเร็วสูงสุด 3.2 GHz |
| GPU | Qualcomm Adreno |
| NPU | Qualcomm Hexagon NPU 45 TOPS |
| Storage | M.2 NVMe SSD 512 GB |
| Memory | 16 GB LPDDR5X บัส 8448 MHz |
| Display | 14″ WUXGA (1920*1200) พาเนล IPS Refresh Rate 120Hz 100% sRGB |
| Software | Windows 11 Home Microsoft Office Home 2024 |
| Connectivity | USB-A 3.2 Gen1*2 USB-C 4.0 Full Function*2 Audio combo*1 Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be Bluetooth 5.4 |
| Weight | 1.33 กก. |
| Price | 18,990 บาท (BaNANA) |
Hardware & Design





จากนโยบายการรักษ์โลกของ Acer จะเน้นใช้พลาสติก PCR (Post-Consumer Resin) จากการรีไซเคิลขยะพลาสติกมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มต้นจากตระกูล VERO เป็นครั้งแรกก่อนจะเป็นบอดี้สีเทาเข้มดีไซน์เรียบง่ายของ Acer Swift Go 14 AI คล้ายกับรุ่นก่อนหน้า บอดี้ไม่มีเส้นนำสายตาอะไรเป็นพิเศษ จากด้านบนจะเห็นโลโก้ของบริษัทอยู่ตรงกลางเครื่องเหนือคีย์บอร์ดพอดีกับ DTS:X ฝั่งขวาเหนือปุ่ม Power ซึ่งปรับจูนลำโพงให้
แท่นวางข้อมือฝั่งซ้ายมีมีสติกเกอร์ซีพียู Snapdragon X Plus สีเงินอยู่เหนือสติกเกอร์การรับประกันซ่อมด่วนใน 3 ชม. ด้านฝั่งขวาจะรวมคุณสมบัติเด่นไว้ ทั้งบอกความละเอียดหน้าจอระดับ WUXGA (1920*1200) 120Hz 3ms และคุณสมบัติเด่นของ Swift Go 14 AI






ก้านบานพับติดทำมุมฉากกับบานหน้าจอล็อคเข้ากับฐานโลหะด้านใน มองจากด้านข้างจะเห็นว่าขอบล่างจะเลยขอบหลังเครื่องออกมาพอดีจึงกางจอได้ราว 170 องศา เกือบราบเสมอไปกับพื้นโต๊ะ ช่วยให้ปรับมุมหน้าจอได้มากขึ้นไม่ว่าจะวางบนโต๊ะคอม, ขึ้นแท่นวางโน๊ตบุ๊คหรือจะกดให้ราบแล้วแชร์หน้าจอให้เพื่อนร่วมงานดูก็ได้ บาลานซ์ตัวเครื่องดีจึงใช้นิ้วเดียวดึงเปิดจอได้เลย





เหตุผลของการกางหน้าจอได้ง่ายทั้งการจัดตำแหน่งชิ้นส่วนภายในเครื่องได้ดี ขอบบนของหน้าจอจะมีแนวสันสูงขึ้นเล็กน้อยให้ดึงเปิดได้สะดวกขึ้น บนฝาหลังเรียบง่ายไม่มีลวดลายพิเศษใดๆ ติดมา ยกเว้นโลโก้ AI มุมบนซ้ายกับโลโก้ของทางบริษัทฝั่งขวาเท่านั้น การวางโลโก้ตามมุมเช่นนี้ชวนให้คิดถึงโน๊ตบุ๊คตระกูล TravelMate ในอดีตอยู่พอควร
ถ้าสังเกตส่วนขอบล่างจะมีก้านพลาสติกขนาดเล็กติดเสริมมาช่วยตอนกางหน้าจอจนเลยแถบยางใต้เครื่อง ก้านคู่นี้จะแตะพื้นโต๊ะแล้วยกเครื่องขึ้นเล็กน้อยป้องกันขอบจอโดนพื้นโดยตรง ลดความเสียหายและรอยขนแมวได้ระดับหนึ่ง



ฝาด้านใต้ Acer Swift Go 14 AI จะมีแถบยางกันลื่นคู่ยาวติดเอาไว้ทั้งส่วนเหนือคีย์บอร์ดและรองใต้ข้อมือผู้ใช้ให้วางมือพิมพ์งานได้สะดวกมั่นคง มีช่องนำลมเข้าสองทางขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon X Plus มีความร้อนน้อยจึงไม่ต้องเจาะช่องระบายความร้อนใหญ่นัก ฝาหลังถูกล็อคด้วยน็อตหัว Torx แฉกดาว 10 ดอก เพื่อยึดเข้ากับเครื่อง
สังเกตฝั่งขวาของช่องนำอากาศเข้ามีรูกับรูปแบตเตอรี่ เรียกว่า Internal Battery Reset ใช้เวลาเปิดเครื่องไม่ติดหรือแบตเตอรี่ลดเร็วผิดสังเกต วิธีใช้งานมีขั้นตอนดังนี้
- ดับเครื่องและถอดปลั๊กชาร์จให้เรียบร้อย รอเครื่องดับสนิทก่อน
- นำคลิปหนีบกระดาษมาสอดและกดปุ่มในช่องนี้ราว 5 วินาที
- ปล่อยเครื่องไว้ไม่เปิดใช้ราว 5 นาที จึงกดเปิดเครื่องใช้งานต่อ
เมื่อทำตามครบทุกขั้นตอนก็จะกลับมาใช้งานได้ตามปกติ ยกเว้นว่าปัญหาไม่ได้มาจากโปรแกรมก็ให้ส่งเข้าศูนย์บริการให้ช่างผู้ชำนาญการดำเนินการซ่อมแซมต่อไปจะดีสุด
Screen & Speaker







หน้าจอของ Acer Swift Go 14 AI ขนาด 14 นิ้ว เป็นอัตราส่วน 16:10 ขอบหน้าจอบางสามด้านทั้งด้านข้างเพื่อเพิ่มพื้นที่การมองเห็นให้มากขึ้นกับขอบบนจะหนาขึ้นกว่าส่วนอื่นโดยเฉพาะตรงกลางเพื่อติดตั้งสายไฟเข้ากับชุดกล้องหน้าและเซนเซอร์อินฟาเรดสแกนใบหน้า มีก้านปิดกล้องหน้าให้สไลด์ปิดแล้วรูกล้องจะเป็นจุดสีแดง ขอบล่างหน้าจอจะหนากว่าขอบบนเล็กน้อยและไม่มีโลโก้ Acer ติดเอาไว้เหมือนรุ่นก่อนแล้วเพราะย้ายมาอยู่ขอบเหนือคีย์บอร์ดแทน





ความละเอียดหน้าจอ 14″ เป็นระดับ WUXGA (1920*1200) อัตราส่วน 16:10 พาเนล IPS อัตรา Refresh Rate 120Hz แสดงภาพได้ลื่นไหล เคลมขอบเขตสีหน้าจอ 100% sRGB ให้ดูสวยงามสมจริง ความลึกของสี 8-bit เทียบเท่าจอโน๊ตบุ๊คทั่วไปในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามจอนี้สีจะอ่อนเขียวไปบ้าง เวลาจะเกลี่ยสีบนจอนี้ให้เร่งสีเขียวเพิ่มสักหน่อยจะช่วยได้ ความสว่างเวลาเร่งสูงสุดวัดได้ 335.50 cd/m2 พอให้ใช้ได้หลายสถานการณ์ตั้งแต่ในอาคารหรือนอกสถานที่แล้วมีแสงแดดส่องทาบจอก็เร่งเพิ่มลดเงาทาบจอได้
ขอบเขตสีหน้าจอจากการทดสอบกับ DisplayCal 3 และ Calibrite Display Pro HL วัดขอบเขตสีจริง (Gamut coverage) ได้ 98.9% sRGB, 72.4% Adobe RGB, 74.5% DCI-P3 ขอบเขตสีองค์รวม (Gamut volume) ได้ 105.6% sRGB, 72.8% Adobe RGB, 74.8% DCI-P3 ค่าความเที่ยงตรงสี Delta-E 0.13~0.78 ตรงตามเคลมหน้าสเปคไม่มีผิด ดังนั้นจะใช้แต่งสีทำงานกราฟิคบ้างก็ไม่มีปัญหาแค่ต้องระวังเรื่องสีเขียวอ่อนกว่าโทนอื่นก็ช่วยได้มาก





ลำโพงคู่กำลังขับดอกละ 2W รวม 4W ของ Acer Swift Go 14 AI สังเกตตำแหน่งติดตั้งจะเลยขึ้นมาจากแถบยางกันลื่นพอควรแถมหันดอกลำโพงออกด้านข้างไม่ได้อัดลงพื้นโต๊ะ เสียงเพลงจึงดังและก้องเน้นโทนใสเป็นพิเศษโดยเฉพาะเสียงเครื่องดนตรีกับเสียงนักร้องจะได้ยินชัดเจน เสริมด้วยเสียงเบสระดับหนึ่งแต่ไม่เด่นมากจึงเหมาะกับการฟัง Podcast หรือดูคลิป YouTube มาก เวลาเร่งเสียงเต็มกำลังจะดังได้ถึง 90dB ได้ยินชัดเจนทั่วห้องขนาดไม่เกิน 20 ตร.ม. ได้สบาย แต่ถ้าชอบเสียงโทนอื่นจะต่อลำโพงแยกไปก็ได้
Keyboard & Touchpad








คีย์บอร์ดของ Acer Swift Go 14 AI เป็นแบบ Tenkeyless (TKL) มีปุ่มใช้งานติดมาครบถ้วนทั้งปุ่มหลักและ Function key ต่างๆ ครบเหมือนกับ Acer Swift Go รุ่นก่อน มีไฟ LED Backlit สีขาวติดมาให้ปรับความสว่างได้จากสว่างสุดจนดับไป และพอเข้าเงื่อนไขเป็น Copilot+ PC ก็เปลี่ยนปุ่ม Ctrl ฝั่งขวาเป็นไอคอน Microsoft Copilot ไว้เรียกใช้ปัญญาประดิษฐ์ได้รวดเร็ว
ฟังก์ชั่นน่าสนใจของ Swift Go 14 AI ยังไม่ต่างจากรุ่นก่อนมาก ไม่ว่าจะติดปุ่ม Home, End, Page Up/Down ไว้กับลูกศรทั้งสี่มุมเรียกใช้ได้สะดวกรวดเร็ว มีปุ่ม Delete กับคำสั่ง Insert ไว้ให้สายออฟฟิศกดใช้ได้ง่าย ปุ่ม Power เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ แต่ BIOS ตั้งต้นจะไม่ได้ติดตั้งเฟิร์มแวร์มาให้จึงใช้กดเปิดปิดเครื่องเท่านั้น ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชั่นปี 2025 เดือนพฤษภาคมเสียก่อนถึงจะเปิดใช้งานได้ตามปกติ เรื่องวิธีการทำจะระบุไว้ในหัวข้อ Performance & Software
สัมผัสการพิมพ์ของคีย์บอร์ดนี้เทียบกับ Acer Swift Go แล้ว สปริงปุ่มจะแข็งขึ้นเล็กน้อย ตอบสนองได้เร็วและเสียงไม่ดังรบกวนผู้อื่น เลย์เอ้าท์พิมพ์ได้ถนัดไม่ต้องปรับตัวมากโดยเฉพาะคนใช้ปุ่ม Alt+Shift หรือ Win+Spacebar เพื่อเปลี่ยนภาษา หากใช้ปุ่ม Grave Accent (`) จะยากขึ้นเล็กน้อยเพราะขนาดปุ่มเล็กกว่าปกติครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นปกติของซีรีส์นี้อยู่แล้ว

บรรทัดบนสุดของคีย์บอร์ดนอจากปุ่ม F1~F12 แล้ว จะมีคำสั่ง Hotkeys ติดมาให้ใช้งานด้วย ถ้าเทียบกับ Acer Swift Go รุ่นก่อนหน้าจะเรียงคำสั่งเหมือนกันเกือบทั้งหมด ยกเว้นแค่ปุ่ม F12 จากที่เคยปล่อยว่างไว้ถูกใส่คำสั่ง Snipping Tool เข้ามา ถัดไปเป็นปุ่ม AcerSense ตัวอักษร “a” เหมือนโลโก้บริษัท จะใช้เรียกโปรแกรมตั้งค่าเครื่องขึ้นมาแทน ค่ามาตรฐานโรงงานถ้ากดจะเข้าคำสั่ง Hotkeys ก่อน หากจะใช้ Function F1~F12 ตามปกติต้องเปลี่ยนใน BIOS แทน ในแต่ละปุ่มจะมีคำสั่งดังนี้
- F1~F3 – ปิด, ลด/เพิ่มเสียงลำโพง
- F4 – ปิดหรือเปิดไมโครโฟน ถ้าปิดจะมีไฟสีขาวสว่าง
- F5~F6 – ลด/เพิ่มความสว่างหน้าจอ
- F7 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและเสริม
- F8 – ปุ่ม Log out กดเพื่อล็อคหน้าจอเหมือน Win+L
- F9 – Airplane Mode
- F10 – ปิดการทำงานทัชแพด
- F11 – ปุ่มปรับความสว่างไฟ LED Backlit
- F12 – Snipping Tool บันทึกภาพหน้าจอ
- ปุ่ม “a” – ปุ่ม AcerSense เรียกโปรแกรมตั้งค่าเครื่องขึ้นมาใช้งาน



คีย์ลัดเปลี่ยนโหมดตัวเครื่อง นอกจากกดใน AcerSense ก็ใช้ปุ่ม Fn+F เหมือนรุ่นอื่นในเครือได้ กดแล้วขอบบนหน้าจอจะมีภาพแสดงโหมดการทำงานติดขึ้นมา ได้แก่ Sleep เน้นประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ลดช้า, Normal ใช้งานตามปกติเน้นสมดุลกำลังประมวลผลประหยัดพลังงานดี และ Performance เน้นกำลังประมวลผลนำประหยัดแบตเตอรี่เป็นรอง แนะนำให้กดใช้งานเวลาต่ออะแดปเตอร์ไว้จะดีสุด ถ้าถอดปลั๊กใช้งานอยู่โหมด Normal ก็ทำงานได้ดีแล้ว





แป้นทัชแพดของ Acer Swift Go 14 AI ทั้งรองรับ Touch gesture ของ Windows 11 ยังมีขนาดใหญ่จากริมปุ่ม Spacebar ไปจนถึงปุ่ม Copilot ด้านขวาจึงลากเคอร์เซอร์จากมุมหนึ่งไปจนสุดอีกมุมได้สะดวกทำงานได้เร็ว สังเกตจะมีโลโก้รูป AI ติดมาเพื่อบอกว่าถ้า NPU ทำงานอยู่ ไฟจะกระพริบในแนวนอนและแนวตั้งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหน่วยประมวลผลนี้หยุดลง เป็นลูกเล่นเล็กๆ ซึ่งน่าสนใจดี แต่ถ้าเลือกได้อยากให้ Acer ติดคำสั่ง Multimedia control ไว้ควบคุมสื่อต่างๆ แทนแล้วลดขนาดไอคอน AI ตัวนี้ลงสักครึ่งหนึ่งจะดีกว่า
Connector, Thin & Weight



พอร์ตเชื่อมต่อของ Acer Swift Go 14 AI ทั้งสองฝั่งสังเกตว่าจะมีเฉพาะ USB แบบ Type-C กับ Type-A เท่านั้น ตัดพอร์ต HDMI ออกแล้วให้เป็น USB-C to HDMI แทน ถึงจะพอแก้ปัญหาได้ แต่ยังแนะนำให้ซื้อ USB-C Hub มาพ่วงเพิ่มเป็นพอร์ตอื่นๆ จะสะดวกกว่า แต่ละฝั่งจะมีพอร์ตดังนี้
- ฝั่งซ้ายจากซ้ายมือ – USB-A 3.2 Gen1, USB-C 4.0 Full Function*2
- ฝั่งขวาจากซ้ายมือ – Audio combo, USB-A 3.2 Gen1
- การเชื่อมต่อไร้สาย – Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be รองรับ Bluetooth 5.4







น้ำหนักของ Acer Swift Go 14 AI ไม่ว่าจะในหน้าสเปค 1.32 กก. หรือบนตาชั่ง 1.33 กก. ก็นับว่าเบาพกพาง่ายมาก ถึงรวมกับชุดอะแดปเตอร์กับสายไฟอีก 65W เข้าไปอีก 286 กรัม ก็เบาเพียง 1.62 กก. เท่านั้น แถมตัวเครื่องยังบางเพียง 17 มม. เท่านั้น จึงพกใส่กระเป๋าได้ง่ายไม่กินพื้นที่เก็บของชิ้นอื่นนัก เหมาะกับสายเดินทางเป็นพิเศษแถมพอเป็นชิปเซ็ต Snapdragon X series ยิ่งไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่จะหมดระหว่างวันแม้แต่น้อย
Inside & Upgrade




วิธีการเปิดฝาอัปเกรด Acer Swift Go 14 AI เริ่มต้นจากการขันน็อต Torx ทั้ง 10 ดอก แล้วเอาการ์ดแข็งแกะขอบด้านข้างเครื่องแล้วไล่รอบตัวก็จะเปิดฝาออกได้ไม่ยากนัก จุดควรระวังคือตรงขอบด้านบนใกล้ก้านบานพับแนะนำให้เป็นมุมสุดท้ายแล้วใช้วิธีดึงออกเบาๆ จนฝาคลายออกเอง เขี้ยวล็อคจะยังอยู่ครบไม่แตกเสียหายนัก
เมนบอร์ดของ Swift Go 14 AI จะคล้ายกับ Swift Go รุ่นก่อน ทั้งฮีตไปป์เส้นเดียวทาบชิปเซ็ตตรงมายังซิ้งค์หน้าพัดลมโบลวเวอร์คู่ดันลมออกนอกเครื่อง ถัดลงมาใต้ซีพียูจะเป็นเม็ด RAM LPDDR5X แทนช่อง M.2 NVMe SSD ใต้สายแพต่อบอร์ดรองฝั่งซ้ายจะมี M.2 NVMe SSD ตัวหลักความจุ 512 GB อยู่ ถ้าเป็นรุ่นก่อนจะเป็นช่อง SSD ตัวรอง อย่างไรก็ตามในฐานะโน๊ตบุ๊คบางเบาแทนที่จะเปลี่ยน SSD เพิ่มความจุก็แนะนำให้ซื้อ External SSD มาใช้ร่วมกันจะดีกว่า
กรณีใช้งานมาระยะหนึ่งแล้วไดรฟ์เริ่มเสื่อมสภาพหรือเสียหายจะเปลี่ยน SSD เป็นตัวใหม่แล้ว ก็ดาวน์โหลด Windows 11 Arm64 สำหรับโน๊ตบุ๊ค Snapdragon X series มาใส่แฟลชไดรฟ์แล้วติดตั้งระบบปฏิบัติการกลับมาใช้งานได้เหมือนปกติ
Performance & Software





ชิปเซ็ต Snapdragon X Plus ใน Acer Swift Go 14 AI ตามรหัสท้าย X1P-42-100 ในสเปคจะมีทั้งหมด 8 คอร์ 8 เธรด ความเร็ว 3.2 GHz เร่งความเร็วแบบ Single-core ได้ถึง 3.4 GHz สถาปัตยกรรมชิปเซ็ต 64-bit มี Qualcomm Hexagon NPU สมรรถนะ 45 TOPS ช่วยให้รัน generative AI ได้ดีขึ้น มี RAM 16 GB LPDDR5X ติดตั้งมาให้ใช้เปิดโปรแกรมทำงานต่างๆ ได้ไหลลื่น ไม่เกิดปัญหาหน่วยความจำเต็ม

จีพียู Qualcomm Adreno มี Shaders 1,536 Unified รองรับ DirectX 12 API พร้อมกับ OpenCL, OpenGL 4.6, DirectCompute, DirectML, Vulkan เท่านั้น ไม่รองรับเอนจิ้นยุคเก่าอย่าง PhysX แล้ว ดังนั้นถ้ารันโปรแกรมเก่าอาจทำงานได้ไม่เต็มที่นัก อาจสังเกตว่ามันไม่รองรับ Ray Tracing ด้วย ดังนั้นในแง่การเรนเดอร์กราฟิคจำลองแสงเงายังไม่โดดเด่นนัก
กลับกันชิปเซ็ตนี้รองรับการเข้ารหัสไฟล์ AV1 สามารถต่อหน้าจอ 4K ได้พร้อมกัน 3 จอ ด้านการส่งไฟล์เสียงไร้สายรองรับ “Snapdragon Sound” เวลาเชื่อมต่อลำโพงหรือหูฟังไร้สายเสียงจะคมชัดไม่เสียรายละเอียดนัก ซึ่งข้อดีข้างต้นยกมาจากรุ่นเรือธงอย่าง Snapdragon X Elite แค่ด้อยกว่าเล็กน้อยเท่านั้น

Device Manager ของ Acer Swift Go 14 AI จะมีชิปรักษาความปลอดภัยทั้ง TPM 2.0 และ Microsoft Pluton เพื่อป้องกันการโดนเจาะระบบเข้ามาขโมยข้อมูลในเครื่องได้ ทำงานร่วมกับเซนเซอร์สแกนใบหน้าและลายนิ้วมือได้เป็นอย่างดี ทั้งปลดล็อคเครื่องเร็วแถมไม่สามารถเอาภาพถ่ายสองมิติมาสแกนเพื่อปลดล็อคได้

กรณีใครซื้อ Acer Swift Go 14 AI มาแล้วระบบไม่โชว์เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือปุ่ม Power มีแต่กล้องสแกนใบหน้าอย่างเดียวจะต้องแฟลช BIOS ให้เป็นเวอร์ชั่นปี 2025 เดือนพฤษภาคมเสียก่อนถึงจะใช้งานได้เต็มระบบ วิธีคือ เข้าเว็บไซต์ Acer Support เลือกหัวข้อ Drivers and Manuals จะเข้าสู่หน้าตรวจสอบ Serial number หรือ SNID ให้เลือก “ดาวน์โหลดยูทิลิตี้การตรวจหาหมายเลขซีเรียล…” มาติดตั้ง ระบบจะดึงตัวเลขขึ้นมาให้ Copy แล้ว Paste ในช่องข้างบนในภาพ แล้วระบบจะดึงหน้าดาวน์โหลดไดรเวอร์ขึ้นมาให้ดาวน์โหลด BIOS มาได้
เวลาติดตั้ง BIOS ให้เสียบปลั๊กของอะแดปเตอร์ติดเครื่องไว้จนเสร็จสิ้นกระบวนการ แล้วเริ่มรันโปรแกรมอัปเดตได้ทันที ไม่นานเครื่องจะรีบูตและเข้าสู่หน้าโลโก้ Acer พร้อมแถบบอกการติดตั้งว่ารันไปถึงระดับใดแล้ว เมื่อเสร็จระบบจะรีบูตกลับมายังหน้า Log in จึงใช้ต่อตามปกติ

ระบบการเชื่อมต่อไร้สายของ Acer Swift Go 14 AI เป็น Qualcomm FastConnect 7800 เป็นรุ่นใหม่รองรับ Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be และ Bluetooth 5.4 มีความเร็วรับส่งข้อมูลสูงถึง 5.8 Gbps สามารถเชื่อมต่อคลื่น 2.4 GHz / 5 GHz / 6 GHz ได้ รองรับเทคโนโลยี 4K-QAM แบนด์วิดท์ 320 MHz รองรับฟีเจอร์ Qualcomm aptX กับ Snapdragon Sound ในตัว
ความเร็วเมื่อเชื่อมต่อเราเตอร์ Wi-Fi 6 และตั้งเครื่องห่างจากจุดกระจายสัญญาณ 10 เมตร มีประตูไม้อัดกั้น 1 บาน ใช้ Microsoft Edge เชื่อมต่อเว็บไซต์ Speedtest by Ookla มีความเร็ว Download 825.92 Mbps และ Upload 828.88 Mbps ถือว่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้รวดเร็วมาก โดยเฉพาะตอนเรนเดอร์หน้าเว็บไซต์ขึ้นมาใช้งานทั้งรวดเร็วต่อเนื่องมากไม่เจออาการจอขาวแล้วยังขึ้นไอคอนโหลดหน้าเว็บไซต์ค้างอยู่เลย เร็วพอกับการเปิดผ่านสมาร์ทโฟนไม่มีผิด

M.2 NVMe SSD ของ Acer Swift Go 14 AI เป็น Micron 2550 ความจุ 512 GB เป็น OEM SSD สำหรับโน๊ตบุ๊คทั่วไป จุดเด่นคือชิป TLC NAND 232-layer จึงประหยัดไฟและทำงานดี มีเทคโนโลยี HBM (Host Memory Buffer) ไว้ใช้ประโยชน์จากระบบ DMA (Direct Memory Access) ของอินเทอร์เฟส PCI Express โดยใช้พื้นที่ RAM พีซีบางส่วนช่วยพักไฟล์ทำให้ SSD ยังตอบสนองได้ดีเช่นเดิมแม้จะเป็น DRAM-less SSD ก็ตาม ตามสเปคแล้วไดรฟ์นี้เป็นอินเทอร์เฟส PCIe 4.0 x4 รองรับการเขียนอ่านไฟล์ลงไดรฟ์ 300 TBW
ผลจากการทดสอบกับ CrystalDiskMark 9.0.1 เทียบกับสเปคจากโรงงานซึ่งเคลมความเร็ว Sequential Read / Write ไว้ 5,000 / 4,000 MB/s แล้วได้ผลตามกราฟข้างต้นยังน่ากังขาพอควร ซึ่งปกติความเร็ว Sequential Write ควรอยู่ช่วง 3,800~3,900 MB/s แต่กลับทำได้เท่านี้ก็คิดว่าต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์ของ SSD เสียก่อนถึงจะได้ความเร็วตามปกติ
กรณีของ Swift Go 14 AI แทนที่จะเปลี่ยน M.2 NVMe แล้วต้องมาไล่ติดตั้ง Windows 11 ใหม่นั้น อยากแนะนำในทางกลับกันว่าปล่อยให้ Micron 2550 เป็นไดรฟ์ติดตั้งโปรแกรมแล้วเรียกใช้งานจาก External SSD แทนจะเหมาะกว่า ยิ่งในตอนนี้ราคาก็ไม่แพงมากแถมได้ความจุเยอะขึ้นก็ดีกว่าแน่นอน


การทดสอบเรนเดอร์ 3D ด้วยโปรแกรม CINEBENCH 2 เวอร์ชั่น นับว่าชิปเซ็ต Snapdragon X Plus หลังจากอัปเดตเฟิร์มแวร์ต่างๆ มาระยะหนึ่งแล้ว ถือว่ากำลังประมวลผลของชิปเซ็ตนี้ดีพอจะใช้ทำงานกราฟิคต่างๆ ได้ดีพอควร โดยผลลัพธ์จะเป็นดังนี้
- R23 – ใช้ทดสอบพลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก มีความละเอียดและแม่นยำสูง ได้คะแนน Multi Core 6,284 pts และ Single Core อีก 1,067 pts
- R20 – ใช้ทดสอบกำลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก ได้คะแนน CPU 2,481 pts

หากเน้นงานเรนเดอร์โมเดล 3D ด้วย Blender ถึงจะพอทำได้แต่ก็ไม่เร็วนัก สังเกตว่าแต่ละการทดสอบจะเรนเดอร์โมเดลได้ไม่มาก ยิ่งถ้ามีรายละเอียดมากยิ่งกินเวลาเยอะขึ้นจึงไม่แนะนำให้เอา Acer Swift Go 14 AI มาทำงานประเภทนี้เท่าไหร่




การทดสอบกับโปรแกรมกลุ่ม Geekbench กับคอร์ประมวลผลของ Snapdragon X Plus ว่าทำงานได้รวดเร็วหรือไม่ ซึ่งคะแนนจากแต่ละการทดสอบนับว่าสูงพอไล่เลี่ยกับ Snapdragon X Elite ช่วงเปิดตัวแรกๆ แล้ว คาดว่าเพราะแพทช์เวอร์ชั่นใหม่ช่วยให้การประมวลผลดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลการทดสอบแต่ละเวอร์ชั่นเป็นเช่นนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าซีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบคำนวน vector integer ได้รวดเร็วหรือไม่ ถ้าเป็น Single-Core ทำได้ 2,387 คะแนน และ Multi-Core ได้ 11,149 คะแนน
- Geekbench ML ทดสอบด้วย ONNX CPU – ใช้ทดสอบว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นสามารถใช้งานโปรแกรม Machine Learning ได้ดีหรือไม่ ในส่วนนี้ทำได้ 2,471 คะแนน
- Geekbench AI – คำนวณว่าซีพียูสามารถรันการทำงานกับโปรแกรม AI ต่างๆ ได้แม่นยำหรือรวดเร็วหรือไม่ แบ่งเป็น Single Precision เน้นความเที่ยงตรง, Half precision เน้นความเร็วมากขึ้นและลดความแม่นยำลง และ Quantized Score เน้นความเร็วแต่ไม่แม่นยำนัก
- ONNX ได้คะแนน Single Precision 1,881 คะแนน, Half precision 3,173 คะแนน และ Quantized Score 7,054 คะแนน
- ONNX ร่วมกับ QNN ได้ Single Precision 1,632 คะแนน, Half precision 16,295 คะแนน และ Quantized Score 37,220 คะแนน



คะแนนการทดสอบกับ Qualcomm Adreno GPU จะได้คะแนนดังนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าจีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- OpenCL, Windows AArch64 ชุดคำสั่งเสริมสำหรับรันบนชิปเซ็ต ARM64 ทำได้ 9,621 คะแนน
- Vulkan, Windows AArch64 ชุดคำสั่งเสริมสำหรับรันบนชิปเซ็ต ARM64 ทำได้ 14,008 คะแนน
- Geekbench ML ทดสอบด้วย ONNX DirectML – ใช้ทดสอบว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นสามารถใช้งานโปรแกรม Machine Learning ได้ดีหรือไม่ ในส่วนนี้ทำได้ 1,829 คะแนน
เรื่องผลคะแนนการทดสอบทำงาน ถือว่า Snapdragon X Plus ใน Acer Swift Go 14 AI มีสมรรถนะการทำงานสูงพอควรไม่แพ้กับซีพียู x86 แม้แต่น้อย สามารถประมวลผลงานให้เสร็จได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าใช้งานกับ generative AI จะทำงานได้ดีทีเดียว








ด้านการเล่นเกมด้วยชิปเซ็ต Snapdragon X Plus แม้จะเล่นได้แต่คะแนนจากการทดสอบกับ 3DMark แต่ละเวอร์ชั่นจะเห็นว่าคะแนนของคอร์ซีพียูทำได้ดีมาก กลับกันกำลังของจีพียูจะพอให้เล่นเกมได้ระดับหนึ่ง จากประสบการณ์ตรงมันจะเหมาะกับความละเอียด 1080p ตั้งค่ากราฟิค Medium ถึงจะเล่นได้และควรเป็นเกมสร้างจากเอนจิ้น Unity จะดีมาก หรือถ้าเกมนั้นถูกพอร์ตมาให้รันบนสถาปัตยกรรม ARM ได้ก็ไม่มีปัญหา โดยแต่ละการทดสอบได้ผลลัพธ์ดังนี้
- Fire Strike (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด Full HD ใช้ DirectX 11 API) – คะแนนเฉลี่ย 3,610 คะแนน แยกเป็น Graphics score 3,704 คะแนน, Physics score 12,654 คะแนน, Combined score 1,597 คะแนน
- Fire Strike Extreme (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด QHD ใช้ DirectX 11 API) – คะแนนเฉลี่ย 1,748 คะแนน แยกเป็น Graphics score 1,724 คะแนน, Physics score 12,690 คะแนน, Combined score 799 คะแนน
- Fire Strike Ultra (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด UHD ใช้ DirectX 11 API) – คะแนนเฉลี่ย 911 คะแนน แยกเป็น Graphics score 869 คะแนน, Physics score 12,625 คะแนน, Combined score 451 คะแนน
- Time Spy (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด QHD ใช้ DirectX 12 API) – คะแนนเฉลี่ย 1,064 คะแนน แยกเป็น CPU score 5,685 คะแนน Graphics score 931 คะแนน
- Time Spy Extreme (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด UHD ใช้ DirectX 12 API) – คะแนนเฉลี่ย 517 คะแนน แยกเป็น CPU score 3,675 คะแนน Graphics score 449 คะแนน
- Solar Bay (ทดสอบการเรนเดอร์ Ray Tracing ว่ารันได้ดีต่อเนื่องหรือไม่ แต่ละ section การทดสอบจะเพิ่มรายละเอียดให้ใช้กำลังจีพียูมากขึ้น) – คะแนนเฉลี่ย 5,987 คะแนน, Graphics test 22.76 FPS / Section 1 ได้ 25.56 FPS / Section 2 ได้ 22.69 FPS / Section 3 ได้ 19.82 FPS
- Steel Nomad Light (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด QHD ใช้ DirectX 12 API) – คะแนนเฉลี่ย 1,084 คะแนน ได้ Graphics test 8.04 FPS
- Steel Nomad (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด UHD ใช้ DirectX 12 API) – คะแนนเฉลี่ย 227 คะแนน ได้ Graphics test 2.27 FPS




นอกจากการใช้งานทั่วไปโน๊ตบุ๊คทำงานของ Acer ทุกรุ่นรวมถึง Swift Go 14 AI ก็มีโปรแกรมตั้งค่าและอัปเดตเฟิร์มแวร์เครื่องอย่าง AcerSense ติดตั้งมาให้ จะเปิดใช้งานตามปกติหรือกดปุ่ม “a” ข้างขวาปุ่ม F12 ก็ได้ทั้งคู่ ข้อดีคือหน้า UI เรียบง่ายและจัดหมวดหมู่ฟังก์ชั่นได้ดี เอาสิ่งสำคัญอย่างจุดอัปเดตเฟิร์มแวร์และการปรับโหมดตัวเครื่องไว้หน้าแรกสุดและแยกฟังก์ชั่นใช้งานเอาไว้แท็บถัดไป แถมยังโหลดมาใส่โน๊ตบุ๊ค Acer รุ่นเก่าก่อนหน้านี้ได้ด้วย
Battery & Heat & Noise


แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของ Acer Swift Go 14 AI มีความจุ 65Whr วัดแบบ Typical capacity ได้ 5,570mAh และ Rated capacity ได้ 5,407mAh วางตัวใกล้ลำโพงฝั่งซ้ายมือห่างจากฝั่งขวาเล็กน้อย สังเกตจะเห็นว่าเว้นพื้นที่ให้ช่องถ่านกระดุม CR2032 ไว้จ่ายไฟเลี้ยง BIOS แต่ในโน๊ตบุ๊คชิปเซ็ต ARM จะไม่มีติดมาให้จึงเว้นเป็นช่องว่างไว้

แม้ความจุจะน้อยกว่าโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายรุ่นในปัจจุบันซึ่งมีความจุ 75Whr เป็นมาตรฐานแล้ว แต่ข้อดีของสถาปัตยกรรม ARM นอกจากทำงานออฟฟิศทั่วไปได้ดีแล้ว ยังประหยัดพลังงานมาก จากการตั้งค่าเพื่อทดสอบตามมาตรฐานทั้งลดความสว่างหน้าจอเหลือ 50% เปิดเสียงลำโพงเพียง 10% ใช้โหมด Silent เพื่อประหยัดพลังงานแล้วดูคลิปใน YouTube เต็มหน้าจอด้วย Microsoft Edge นาน 30 นาที ก็ใช้งานได้นาน 16 ชม. 36 นาที หากคิดตาม Office Hour วันละ 8 ชม. ตามปกติแล้ว Acer Swift Go 14 AI สามารถเปิดหน้าจอทำงานได้นานร่วม 2 วัน โดยไม่ต้องชาร์จไฟก็ยังได้ ไม่พอถ้าแบตเตอรี่ใกล้หมดก็ชาร์จด้วยพาวเวอร์แบงค์หรืออะแดปเตอร์ GaN 65W เข้าพอร์ต USB-C ได้ทันที






นอกจากระยะเวลาใช้งานยาวนาน อุณหภูมิตัวเครื่องเวลาใช้งานตามปกติก็ไม่สูงมากค่อนข้างเงียบและเย็นเสียด้วยซ้ำ ยกเว้นเปิด Performance mode และรันโปรแกรมทดสอบเต็มกำลังจะเห็นว่าอุณหภูมิตัวพื้นผิวเครื่องส่วนมือสัมผัสก็จะอยู่ในระดับจับใช้งานได้ตามปกติ อย่างมากแค่รู้สึกอุ่นขึ้นเล็กน้อยไม่รบกวนหรือจับเครื่องไม่ได้ ด้านช่องระบายความร้อนเหนือคีย์บอร์ดจะมีอุณหภูมิระดับ 51 องศาเซลเซียสก็ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าดูใน CPUID HWMonitor จะเห็นว่า SSD ซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิภายในเครื่องก็ยังมีความร้อนสูงสุดเพียง 58 องศาเซลเซียสและตอนใช้งานจริงก็ลงมาเหลือ 45~50 องศาเท่านั้น


เสียงจากช่องระบายความร้อนเวลาทำงานเต็มกำลังจากการวัดด้วยเครื่องวัดเสียง ไม่ว่าจะด้านหน้าหรือหลังก็เบามากเพียง 50dB เท่านั้น เทียบแล้วเท่ากับเสียงสภาพแวดล้อมในห้องเงียบเท่านั้น เบากว่าเสียงพูดคุยของมนุษย์หรือเสียงกิจกรรมภายในออฟฟิศด้วยซ้ำไปจึงไม่ต้องห่วงว่าเสียงพัดลมระบายความร้อนจะรบกวนผู้อื่นสักนิดเดียว
User Experience

จุดแข็งอย่างแรกของ Acer Swift Go 14 AI ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นเรื่องน้ำหนักเบาพกง่าย ซึ่งรุ่นนี้ยังเบาเพียง 1.33 กก. ไล่เลี่ยกับรุ่นก่อนหน้าและบางจึงประหยัดพื้นที่ใส่ของในกระเป๋าไปได้มากพอควร ยิ่งถ้าใครมีเอกสารหรืออุปกรณ์เสริมเพื่อทำงานไปด้วยเสมอจะรู้สึกได้ทันทีว่าใส่แฟ้มเอกสารหรือพาวเวอร์แบงค์แล้วกระเป๋าเป้ไม่หนักเกินไป และระยะเวลาใช้งานก็ยาวนานมากร่วม 2 วันตามระยะเวลาออฟฟิศปกติได้จริงกรณีใช้งานทั่วไป ถ้าใช้งานหลายโปรแกรมก็ยังอยู่ได้จนจบวันไม่ลำบากนัก แต่พบจุดสังเกตหนึ่งคือถ้าต่ออะแดปเตอร์ 65W เข้ากับเครื่องจะชาร์จเร็วตามปกติแต่ถ้าผ่าน USB-C Hub เมื่อไหร่ระบบจะแจ้งเตือนชาร์จช้าไปโดยปริยาย สันนิษฐานว่าตัวระบบดึงไฟไปใช้เกิน 30 วัตต์อย่างแน่นอน ซึ่งจุดนี้ถ้าใช้งานในโหมด Desktop ก็ไม่น่ากังวลนัก แม้จะชาร์จช้าแต่พอถอดสายตอนจบวันแบตฯ ก็เต็มอยู่ดี
ประเด็นถัดมาเรื่องซอฟท์แวร์ก็ยังกังขาผู้ใช้หลายคนอยู่ว่าถ้าย้ายมาใช้ Windows 11 Arm64 แล้วจะยังเปิดใช้งานได้หรือเปล่า ณ จุดนี้ต้องแยกเป็น 2 ประเด็น คือ Native application ซึ่ง Qualcomm กับผู้ผลิตซอฟท์แวร์เจ้าชั้นนำต่างก็พอร์ตโปรแกรมมาเป็นเวอร์ชั่น ARM มากพอตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้สบาย ยิ่งถ้าเป็นของ Microsoft ก็ใช้ได้ทุกตัว ส่วนใครต้องการเช็คว่าโปรแกรมของเรามีเวอร์ชั่น Native หรือเปล่าก็ดูในลิ้งค์นี้ได้
กรณีไม่มีเวอร์ชั่น Native ก็ไม่น่ากังวลนักเพราะ Microsoft มี Prism Emulator ใน Windows 11 เอาไว้จัดการปัญหานี้ ไว้ใช้แปลงโปรแกรม x86 ให้ทำงานบนโน๊ตบุ๊ค Snapdragon X Plus ได้ ซึ่งจากการใช้งานมันมาร่วมสองสัปดาห์ Acer Swift Go 14 AI สามารถเปิดโปรแกรมทั่วไปได้โดยไม่มีปัญหา ตอบสนองรวดเร็วเหมือนปกติแม้อาจจะมีบั๊กจุกจิกอยู่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ สามารถแก้ปัญหาได้เองไม่ยากมาก โดยเฉพาะ Adobe Suite จะเจอบั๊กประปรายอยู่แต่ไม่ทำให้เสียงานแน่นอน หากใครห่วงว่า Windows 11 Arm64 จะเจอปัญหาเรื่องโดนล็อคช่องทางดาวน์โหลดโปรแกรมไว้ให้อยู่กับ Microsoft Store ก็ไม่ต้องกังวล เพราะผู้เขียนดาวน์โหลดโปรแกรมส่วนใหญ่ในเครื่องจากหน้าเว็บไซต์อันคุ้นเคยมาใช้งานเป็นหลักและมีจาก Store เพียง 1-2 ตัวเท่านั้น จึงไม่มีปัญหาดังกล่าวแน่นอน

โปรแกรมที่ดาวน์โหลดมาติดตั้งแทบทั้งหมดผู้เขียนจะเน้นดาวน์โหลดจากหน้าเว็บไซต์มาใช้เพื่อให้เหมือนวิธีใช้งานตามปกติ มีเพียง CapCut จะดาวน์โหลดจาก Microsoft Store เท่านั้น ซึ่งแต่ละโปรแกรมมีดังนี้
- Google Chrome – มีเวอร์ชั่น ARM Native แล้ว สามารถใช้งานได้ตามปกติและ Sync กับสมาร์ทโฟนรวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ได้เหมือนเวอร์ชั่น x86
- โปรแกรมติดต่อสื่อสารอย่าง Line, Discord – ใช้งานได้ปกติ ฟังก์ชั่นครบเหมือนของ x86
- Logi Option+ – ไม่มีเวอร์ชั่น ARM Native แต่ทำงานร่วมกับ Logitech MX Master 3 ได้ตามปกติ ฟังก์ชั่นทำงานมาครบและโปรแกรมตอบสนองได้รวดเร็ว
- Affinity Photo / Designer – โปรแกรมทั้งสองตัวเป็นเวอร์ชั่นแรก ไม่ได้เป็นเวอร์ชั่น 2 ซึ่งเป็น ARM Native ก็ติดตั้งและเปิดใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีบั๊กรบกวนระหว่างทำงานแม้แต่น้อยและ Export ภาพมาใช้งานได้ตามปกติ
- Adobe Lightroom Classic – ใช้งานได้แต่ยังเจอบั๊กประปราย ได้แก่ Import รูปจาก External SSD โดยตรงไม่ได้ ต้องย้ายมาใส่ในเครื่องก่อน, Catalog error เหมือนเวอร์ชั่น x86 ถ้าแก้วิธีของ Adobe ก็ใช้งานได้เช่นเดิม, ปิดโปรแกรมแล้วจะเกิด Backgroup process อยู่ ให้ใช้ Task manager ปิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากและอาจพบเจอในโปรแกรมอื่นๆ ได้ด้วย
- Hoyoplay – Game launcher ของ miHoYo ผู้เขียนดาวน์โหลด Honkai: Star Rail มาเล่นได้เหมือนปกติ แต่สมรรถนะของ Snapdragon X Plus เหมาะกับกราฟิค 1080p Medium ถึงจะเล่นได้ดี เลือกเปิด 60 FPS ได้ ตัวเกมเล่นได้ตามปกติไม่หลุดจากเกมกะทันหันและเฟรมเรทไม่ลดวูบวาบแม้แต่น้อย
- Potplayer (โปรแกรมเล่นไฟล์วิดีโอ) – เปิดดูคลิปวิดีโอได้ตามปกติ ไม่เกิดอาการเสียงดีเลย์หรือภาพช้าใดๆ เรียกใช้ฟังก์ชั่นภายในโปรแกรมได้เหมือนปกติ
- OBS Studio – ติดตั้งและเรียกใช้งานได้ตามปกติ ตัวโปรแกรมมีเวอร์ชั่น ARM Native แล้ว
- CapCut – ผู้เขียนดาวน์โหลดผ่านทาง Microsoft Store สามารถตัดต่อและเรนเดอร์วิดีโอได้เหมือนเวอร์ชั่น x86 ทุกอย่าง เรียกใช้ Footage, ใส่เอฟเฟค, แก้เสียง ฯลฯ ได้ตามปกติ เรนเดอร์คลิปมาใช้ได้ไม่ต่างจากเวอร์ชั่นมาตรฐาน
- โปรแกรมใน Windows 11 จาก Microsoft – ใช้งานได้ปกติไม่พบบั๊กระหว่างใช้งานและเสถียรมาก

ด้านการเชื่อมต่อด้วยสายต้องยกความดีให้พอร์ต USB-C 4.0 Full Function คู่ เวลาต่อ USB Hub หรือจอคอม USB-C ก็จะมีพอร์ตใช้งานเพิ่มขึ้นอีก จะแปลงเป็น USB-A, HDMI, Card reader ฯลฯ ก็ทำได้สะดวก แต่พบจุดสังเกตว่าถ้าต่อปลั๊กโน๊ตบุ๊คหัว USB-C 65W เข้า Hub เมื่อไหร่ ระบบ Windows 11 จะแจ้งว่ากำลังไฟน้อยไม่พอใช้แต่ถ้าตรงเข้า Acer Swift Go 14 AI ก็จะชาร์จเร็วตามปกติ สันนิษฐานว่าระบบต้องการกำลังไฟสูงพอควรและทาง Acer ก็ไม่มีพอร์ต HDMI ติดมาแม้จะมีอะแดปเตอร์ USB-C to HDMI แถมมาก็จริง หากทางบริษัทติดพอร์ตนี้มากับเครื่องเลยก็คงจะดี
การเชื่อมต่อไร้สายต้องยกความดีให้ Qualcomm FastConnect 7800 ตัวการ์ดรองรับ Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be และ Bluetooth 5.4 ที่รับสัญญาณได้กว้างและเสถียรมาก เปิดโหลดหน้าเว็บไซต์ได้รวดเร็วและเสถียรมาก ถือว่าน่าประทับใจ
ข้อสังเกตของ Acer Swift Go 14 AI นอกจากซอฟท์แวร์บางตัวเกิดบั๊กกับชิปเซ็ต ARM แล้ว ยังมีเรื่องการอัปเดต BIOS ซึ่งได้อธิบายไปข้างต้นแล้วว่าต้องทำเพื่อให้เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใช้งานได้ สิ่งที่หวังให้ Acer เพิ่มให้ Swift Go รุ่นต่อไป คือ เลือกหน้าพาเนลความละเอียด 2.5K มาเลย แม้จะใช้แบตเตอรี่เพิ่มขึ้นสักนิดและค่าตัวเพิ่มสัก 1-2 พันบาทก็ยังรับได้ เพราะองค์ประกอบทั้งหมดก็เข้าข่ายเป็นโน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมแล้ว ขอแค่หน้าจอคุณภาพสูงสักนิดกับราคาเข้าถึงง่ายสไตล์ Acer ก็ช่วยให้ตัดสินใจสะดวกขึ้นมากแล้ว
Conclusion & Award

Acer Swift Go 14 AI เป็น Copilot+ PC ชิปเซ็ต Snapdragon X series ที่ราคาเพียง 18,990 บาทเท่านั้น เป็นโน๊ตบุ๊คชิปเซ็ต ARM ราคาถูกและฟีเจอร์ใช้งานครบเครื่องจนเกือบเท่าโน๊ตบุ๊คพรีเมี่ยมในปัจจุบันแต่ตั้งราคามาขับเคี่ยวกับโน๊ตบุ๊คคุ้มค่า เป็นทางเลือกเพื่อคนต้องการลองใช้งานชิปเซ็ตประเภทนี้ดูได้โดยไม่ต้องจ่ายแพงมาก ยิ่งตอนนี้ Qualcomm กับ Microsoft ก็จับมือกันทำให้ผู้ใช้ยังดาวน์โหลดโปรแกรมทำงานในชีวิตประจำวันมาติดตั้งใช้งานได้ ถ้าเป็นแบบ ARM Native ก็รันได้ปกติหรือถ้ายังเป็น x86 ก็ได้ Prism Emulator มาช่วยจึงเปิดโปรแกรมใช้งานได้ตามปกติไม่ต่างจากที่เคยแม้แต่น้อย หากได้ลองไม่แน่ว่าโน๊ตบุ๊ค Snapdragon อาจกลายเป็นคอมประจำตัวเครื่องใหม่ก็เป็นได้
Award

ปกติโน๊ตบุ๊คชิปเซ็ต Snapdragon X Plus จะมีราคาสูงช่วง 25,000 บาทขึ้นไป มีฟีเจอร์ค่อนข้างจำกัดโดยเฉพาะระบบยืนยันตัวด้วย Biometric แต่ Acer Swift Go 14 AI ได้ฟีเจอร์ครบในงบประมาณไม่เกิน 20,000 บาท ถือว่าน่าสนใจมาก

ระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่ในหน้าโปรแกรม BatteryMon กับการใช้งานจริงยาวนานมากเกิน 10 ชม. ลากจนจบวันได้สบายๆ และยังเหลือแบตเตอรี่ไว้ใช้ทำงานออฟฟิศในวันถัดไปได้ด้วย นับว่าชิปเซ็ต ARM จัดการพลังงานได้เยี่ยมยอด

Acer Swift Go 14 AI บางเพียง 17 มม. และเบา 1.33 กก. เท่านั้น สมฐานะโน๊ตบุ๊คบางเบาประจำแบรนด์ สามารถพกพาได้ง่ายไม่กินพื้นที่ในกระเป๋าไม่ถ่วงไหล่จนหนักมาก หากใครต้องเดินทางไปไหนมาไหนบ่อยก็มั่นใจว่าจะตอบโจทย์แน่นอน
Gallery

















