
การจะเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ หรือทำงานสายมัลติมีเดีย ตัดคลิป แต่งภาพในยุคนี้ ถ้าเป็นงานสเกลระดับมืออาชีพ ต้องการผลงานระดับจริงจัง หนึ่งในอุปกรณ์ที่ควรมีก็คือคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง ที่จะทำให้สามารถจัดการกับคลังฟุตเทจปริมาณมาก ไฟล์ภาพที่ต้องมีการตกแต่งโดยใช้หลายเลเยอร์ หรืออาจจะรวมถึงการใช้ AI ช่วยเสริมการทำงาน และถ้าหากต้องการเพิ่มความคล่องตัว โน้ตบุ๊กคืออุปกรณ์ที่น่าจะตอบโจทย์ที่สุด ซึ่งในบทความนี้เราก็จะมาแนะนำโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์ 3 รุ่นน่าใช้งานที่ใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen AI 300 series ในราคาไม่เกิน 50,000 บาทให้ไว้ใช้ประกอบการตัดสินใจของหลาย ๆ ท่านกัน
โดยตัวเลขราคา 50,000 บาทถือว่าเป็นกลุ่มของโน้ตบุ๊กที่มีประสิทธิภาพ หน้าจอ และการออกแบบที่เหมาะสำหรับการใช้งานสายครีเอทีฟในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป สามารถใช้จบงานส่วนใหญ่ได้ในตัว ไม่ว่าจะใช้ตัดคลิปลง YouTube ทำคลิปสั้นลง TikTok ไปจนถึงใช้ประกอบการไลฟ์สดก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ส่วนการเลือกชิปประมวลผลในตระกูล AMD Ryzen AI 300 ก็เนื่องมาจากความสามารถของตัวชิปเองที่ครบครันสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน เริ่มจากฝั่งของส่วนประมวลผลหลักหรือ CPU ก็ได้เป็นสถาปัตยกรรม Zen 5 ที่มีการผสมผสานระหว่างคอร์ Zen 5 ที่มีสมรรถนะสูง รองรับงานหนักได้ดี ทำงานร่วมกับคอร์ Zen 5c ที่มีชุดคำสั่งเหมือนกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า ความเร็วลดหลั่นลงมาเล็กน้อย ออกแบบมาเพื่อการประมวลผลงานเบา ๆ งานเซอร์วิสที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง จุดประสงค์ก็คือเพื่อลดความร้อนและการกินไฟของระบบลง ด้านของ iGPU แบบออนชิปก็จะเป็นสถาปัตยกรรม RDNA 3.5 ที่สามารถใช้งานทั่วไปได้ดี ใช้เล่นเกมก็พอไหว แม้โน้ตบุ๊กทั้งสามรุ่นที่แนะนำในบทความนี้จะมาพร้อมชิปกราฟิกแยกก็ตาม แต่กราฟิกออนชิปเองก็จะมีบทบาทสำคัญในระหว่างการใช้งานพื้นฐาน ด้วยประสิทธิภาพที่สูงและการกินไฟต่ำ ทำให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้นด้วย

และปิดท้ายอีกส่วนที่ทำให้ AMD Ryzen AI 300 series เหมาะกับการนำมาใช้ในโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์ก็คือด้านพลังประมวลผล AI จาก NPU ในตัวที่ใช้สถาปัตยกรรม XDNA 2 ซึ่งมีพลังในการคำนวณชุดคำสั่งด้าน AI สูงสุดถึง 50 TOPS ทำให้สามารถใช้ช่วยในการทำงานของ AI ได้อย่างหลากหลาย โดยจุดที่น่าจะเห็นผลชัดเจนสุดในขณะนี้ก็คือการที่ทำให้โน้ตบุ๊กในกลุ่มนี้รองรับแพลตฟอร์ม Copilot+ PC ของ Microsoft ด้วย ทำให้สามารถใช้งานฟีเจอร์ด้าน AI ต่าง ๆ ใน Windows 11 ได้แบบไม่ต้องลุ้น
ทีนี้ก็พอทราบถึงข้อมูลคร่าว ๆ แล้ว เรามาดูกันดีกว่าว่าโน้ตบุ๊กครีเตอร์ 3 รุ่นที่จะแนะนำในครั้งนี้จะมีรุ่นใดบ้าง

Gigabyte AERO X16 (1VH93THC94AH)
ราคา 47,990.-
- AMD Ryzen™ AI 7 350 มี 8 คอร์ (4x Zen 5 + 4x Zen 5c) ความเร็วสูงสุด 5 GHz
- RTX 5060 8GB GDDR7 มี MUX Switch
- แรม 16GB DDR5-5600 สามารถเพิ่มแรมได้เป็นสูงสุด 64GB
- SSD 1TB
- จอ IPS 16” 16:10 QHD+ (2560×1600) 165Hz 100% sRGB
- Windows 11 Home
- 1x USB4 Type-C + 3x USB-A + LAN + HDMI 2.1
- น้ำหนัก 1.9 กิโลกรัม
- ข้อมูลเพิ่มเติม / Gigabyte
ด้วยสเปคก็ต้องบอกว่า Gigabyte AERO X16 เครื่องนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ทั้งเป็นโน้ตบุ๊กสำหรับครีเอเตอร์ที่ต้องการหน้าจอขนาดใหญ่ ประสิทธิภาพกำลังดีในน้ำหนักไม่ถึง 2 กิโลกรัม ไปจนถึงผู้ที่ต้องการเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่ตัวเครื่องมีความบางเบาพอสมควรเมื่อเทียบกับขนาด ด้วยการที่มาพร้อมชิปกราฟิกแยกระดับกลางรุ่นใหม่ ที่สามารถใช้ในการเล่นเกมได้สบาย ๆ รวมถึงยังสามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมสายกราฟิกหลายตัวได้ด้วย เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ส่วนพลังประมวลผลหลักจะเป็น AMD Ryzen AI 7 350 ซึ่งเป็นหนึ่งในชิปรุ่นยอดนิยมของกลุ่มโน้ตบุ๊กที่รองรับการใช้งานได้หลากหลาย
หน้าจอได้เป็นพาเนล IPS ที่มีค่าขอบเขตสีในระดับ 100% sRGB ขนาด 16” สามารถใช้งานกราฟิกสำหรับเผยแพร่แบบออนไลน์ได้ดี ความละเอียดหน้าจอสูง ทำให้มีพื้นที่แสดงผลที่กว้าง สามารถจัดวางหน้าจอย่อยในโปรแกรมได้ง่าย รีเฟรชเรตสูงสุด 165Hz ทำให้การเลื่อนไทม์ไลน์ ไถหน้าเอกสาร ไปจนถึงการเล่นเกมเป็นไปได้อย่างไหลลื่น ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อก็จัดว่าให้พอร์ตมาครบถ้วนดี ไม่ว่าจะเป็น USB-C ที่รองรับการเชื่อมต่อความเร็วสูงสุดระดับ USB4 และมี USB-A มาให้อีกถึง 3 พอร์ตที่ความเร็วแตกต่างกันไป ตรงนี้ก็น่าเสียดายนิดนึงตรงที่มี USB-C มาให้เพียงช่องเดียว เมื่อมองจากอุปกรณ์เสริมในปัจจุบัน ไปจนถึงสายชาร์จมือถือที่ตอนนี้ก็นิยมใช้แบบ USB-C to C กันเยอะแล้ว แต่สำหรับพอร์ตอื่นก็น่าสนใจตรงที่ให้ช่อง LAN RJ-45 มาด้วย และมี HDMI 2.1 มาให้ตามมาตรฐานของโน้ตบุ๊กยุคใหม่ ทำให้ Gigabyte AERO X16 เครื่องนี้น่าจะเป็นโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์ที่ตอบโจทย์การทำงานได้รอบด้านมาก ๆ รุ่นหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยสเปคที่รองรับการเล่นเกมได้ มีการ์ดจอแยก หน้าจอใหญ่ 16” แต่มีน้ำหนักไม่ถึง 2 กิโลกรัมเท่านั้น แต่ถ้ามีงบ 50,000 บาท ก็แนะนำว่าเพิ่มแรมเป็น 32GB ไปเลยก็จะดีครับ เพราะแรม 16GB นั้นจัดว่าน้อยไปหน่อยถ้าจะใช้งานสายครีเอทีฟและเล่นเกม

MSI Prestige A16 AI+ (A3HMG-052TH)
ราคา 47,990.-
- AMD Ryzen™ AI 9 365 มี 10 คอร์ (4x Zen 5 + 6x Zen 5c) ความเร็วสูงสุด 5 GHz
- AMD Radeon 880M
- แรม 32GB LPDDR5x-7500 ออนบอร์ด
- SSD 1TB NVMe PCIe Gen 4
- จอ IPS 16” 16:10 QHD+ (2560×1600) 165Hz 100% DCI-P3
- Windows 11 Home + MS Office H&S 2021
- WiFi 7 (Qualcomm FastConnect 7800)
- 2x USB4 Type-C/Thunderbolt 4 + 1x USB-A + HDMI 2.1
- น้ำหนัก 1.9 กิโลกรัม
- ข้อมูลเพิ่มเติม / MSI / Advice / BaNANA
แม้โน้ตบุ๊กในซีรีส์ Prestige ของ MSI จะได้รับการออกแบบมาให้เป็นเครื่องสำหรับงานธุรกิจเป็นหลักก็ตาม แต่ถ้าพิจารณาจากสเปคเครื่อง ต้องบอกว่าก็สามารถใช้เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับสายงานสร้างสรรค์ได้ดีไม่แพ้กัน จากการเลือกใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen AI 9 365 ที่มี 10 คอร์ช่วยกันทำงาน ได้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับในกลุ่ม AMD Ryzen AI 300 ที่ไม่มีรหัส HX รองรับงาน AI แบบเต็มสูบด้วย NPU ในตัวที่มีพลังประมวลผลสูงสุด 50 TOPS รวมทั้งชิปสูงสุด 73 TOPS ส่วนพลังกราฟิกจะได้ใช้เป็นแบบออนชิป AMD Radeon 880M ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นยอดนิยมของเจ็นก่อนหน้าอย่าง Radeon 780M อยู่ประมาณ 30% ตามผลการทดสอบที่มีระบุในหน้าเว็บไซต์ MSI เอง ซึ่งสำหรับในแง่การใช้งานจริง ก็จัดว่าเป็น iGPU ที่รองรับการทำงานทั่วไปได้เป็นอย่างดี งานสายครีเอเตอร์ทำได้สบาย หรือจะใช้เล่นเกมก็เอาอยู่ โดยอาจจะต้องปรับระดับกราฟิกให้ต่ำลงมานิดนึง แล้วอาศัยเทคโนโลยีของ AMD ช่วย เช่นการใช้ FSR และ AFMF เพื่ออัปสเกลภาพและเพิ่มเฟรมเรตในกรณีที่เกมรองรับ ส่วนของแรมก็จะให้มาเป็นแบบฝังบอร์ด 32GB ทำให้พร้อมใช้งานได้ทุกรูปแบบทันที ทั้งยังเป็นแรมความเร็วสูง ช่วยให้สามารถรีดประสิทธิภาพของทั้งระบบออกมาได้เป็นอย่างดี จะติดก็ตรงที่ไม่มีช่องให้ใส่แรมเพิ่มแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับโน้ตบุ๊กธุรกิจที่เน้นความบางเบาเพื่อให้สะดวกกับการพกพา ทำงานร่วมกับ SSD ความจุ 1TB ซึ่งสามารถถอดเปลี่ยนได้ หากจำเป็นต้องทำงานร่วมกับฟุตเทจวิดีโอจำนวนมากในเครื่อง ก็อาจพิจารณาเปลี่ยนเป็น SSD ที่ความจุสูงขึ้นได้
หนึ่งในจุดเด่นที่ทำให้ MSI Prestige รุ่นนี้น่าสนใจสำหรับการเป็นโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์ก็คือหน้าจอขนาด 16” ความละเอียดระดับ QHD+ รีเฟรชเรต 165Hz ที่ได้ค่าขอบเขตสีกว้างระดับ 100% ตามมาตรฐาน DCI-P3 ทำให้สามารถใช้ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้แทบทุกรูปแบบ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแม่นยำของเฉดสีในระดับหนึ่ง หรือจะใช้ดูหนังในเครื่องก็ทำได้ดี ส่วนพาเนลจะเป็นแบบ IPS ที่มีจุดเด่นในด้านมุมมองภาพกว้างและไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องจอเบิร์นเมื่อใช้งานเป็นระยะเวลานาน อีกข้อได้เปรียบก็คือตัวเครื่องจะมาพร้อมพอร์ต USB-C สองช่อง รองรับทั้ง USB4 และ Thunderbolt 4 เลย ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วได้สบาย ๆ เพราะจะได้แบนด์วิธที่กว้าง รับส่งข้อมูลได้รวดเร็ว รวมถึงยังสามารถใช้ต่อจอนอกผ่าน DisplayPort ได้ด้วย แต่ก็จะมีพอร์ต USB-A มาให้เพียงช่องเดียวเท่านั้น รองรับการเชื่อมต่อระดับ USB 3.2 Gen 2 และช่องอ่านการ์ดจะเป็นแบบ MicroSD เลยอาจจะทำให้สายช่างภาพที่ใช้การ์ด SD อาจต้องใช้งาน card reader แยกแทนการใช้ช่องอ่านการ์ดของตัวโน้ตบุ๊กเอง ส่วนการเชื่อมต่อ WiFi จะรองรับมาตรฐาน WiFi 7 มาเลย ซึ่งเหมาะกับเซ็ตอัพในบ้านหรือในออฟฟิศยุคใหม่ที่หลาย ๆ แห่งเริ่มวางระบบใหม่โดยใช้อุปกรณ์ WiFi 7 กันแล้ว เพราะจะสามารถใช้งานแบนด์วิธได้อย่างเต็มที่

Lenovo Yoga Pro 7 14ASP9 (83HN000STA)
ราคา 49,990.-
- AMD Ryzen™ AI 9 365 มี 10 คอร์ (4x Zen 5 + 6x Zen 5c) ความเร็วสูงสุด 5 GHz
- AMD Radeon 880M
- แรม 32GB LPDDR5x-7500 ออนบอร์ด
- SSD 1TB M.2 2242 NVMe PCIe Gen 4
- จอ OLED 14.5” 2.8K (2880×1800) 120Hz 100% DCI-P3 100% sRGB
- Windows 11 Home + MS Office H&S 2021
- ลำโพง 4 ตัว
- 1x USB4 Type-C + 1x USB-C 3.2 Gen 2 + 1x USB-A 3.2 Gen 1 + HDMI 2.1
- น้ำหนัก 1.54 กิโลกรัม
- ข้อมูลเพิ่มเติม / Lenovo (รหัสรุ่นนี้ที่ขายในไทย) / Advice / BaNANA
และโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์ในงบ 50,000 รุ่นสุดท้ายที่จะแนะนำในบทความนี้ก็คือ Lenovo Yoga Pro 7 ในรหัสสี่ตัวท้าย 0STA ที่ถ้าหากค้นหาในเว็บไซต์ PSREF ของเลอโนโวเองจะใช้เป็นรหัส 83HN0017TA มาพร้อมกับสเปคที่ตรงกับ MSI รุ่นก่อนหน้านี้หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผลหลักที่ใช้เป็น AMD Ryzen AI 9 365 ที่มี 10 คอร์เหมือนกัน กราฟิกใช้แบบ iGPU ออนชิปเป็น AMD Radeon 880M ซึ่งให้ประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่สูงเมื่อเทียบกับกลุ่มออนชิปด้วยกันเอง รองรับการใช้งานร่วมกับโปรแกรมด้านกราฟิกได้ดี เล่นเกมก็ยังไหว แต่ยังคงมีการใช้พลังงานที่ต่ำ ทำให้เหมาะกับโน้ตบุ๊กที่ต้องการระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน เพื่อให้สามารถทำงานได้ในทุกเวลาที่ต้องการ ตัวเครื่องมาพร้อมกับการเป็น Copilot+ PC ทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้งานร่วมกับ Windows 11 และฟีเจอร์ด้าน AI ของ Microsoft ได้อย่างเต็มที่ ส่วนของแรมจะเป็นแบบออนบอร์ด LPDDR5x-7500 จำนวน 32GB ไม่สามารถเพิ่มได้ จะมีเพียง SSD ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ แต่อาจจะหาซื้อยากกว่าปกตินิดนึง เนื่องจากเป็นแบบ M.2 แบบ 2242 ที่ไม่ค่อยมีวางขายตามร้านทั่วไปเท่าไหร่
ด้านของหน้าจอต้องบอกว่าใส่มาให้เหมาะกับการเป็นโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์มาก ๆ เพราะจะได้เป็นจอ OLED กระจก AGC Dragontrail ขนาด 14.5” ความละเอียดระดับ 2.8K รีเฟรชเรต 120Hz ให้ค่าสีได้ระดับ 100% DCI-P3 และ 100% sRGB รวมถึงยังผ่านการคาลิเบรตโดย X-Rite มาจากโรงงานอีกด้วย รองรับการแสดงภาพตามมาตรฐาน Dolby Vision และ DisplayHDR True Black 500 ทำให้เหมาะมากสำหรับการใช้สร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพสูงเพื่อให้รองรับกับการแสดงผลบนจอทีวียุคใหม่ ๆ ไปจนถึงโน้ตบุ๊กสเปคสูงที่หน้าจอรองรับ Dolby Vision เพื่อที่จะทำให้สามารถถ่ายทอดสีสันและอารมณ์ได้เต็มที่อย่างที่ครีเอเตอร์ต้องการ ส่วนการเลือกใช้พาเนล OLED ก็จะมีข้อดีตรงสีสันที่เต็มอิ่ม คอนทราสต์สูงและสามารถสู้แสงได้ดี และด้วยตัวเครื่องหน้าจอขนาด 14.5” ก็น่าจะทำให้ Lenovo Yoga Pro 7 เครื่องนี้เหมาะสำหรับใช้เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับครีเอเตอร์ที่เน้นการพกพา ใช้ทำงานนอกสถานที่ จะตัดงาน เช็คไฟล์ก็ทำได้สบายมาก จุดอื่นที่น่าสนใจของเครื่องนี้ก็คือภายในจะมีลำโพงมาให้ 4 ตัว แบ่งเป็นซับ 2 ทวีตเตอร์ 2 ทำให้ได้เสียงที่ทรงพลังสำหรับโน้ตบุ๊กด้วยกันเองทั้งย่านต่ำและสูง ส่วนไมโครโฟนในตัวก็ให้มา 4 จุด ทำให้สามารถใช้ในการประชุมงานได้ดี พอร์ตเชื่อมต่อก็มี USB-C มาสองช่องและ USB-A อีกหนึ่งช่อง ต่อจอนอกได้ทั้งผ่าน USB-C และ HDMI ขนาดเต็มที่ให้มา จะน่าเสียดายนิดนึงตรงที่ตัวเครื่องจะไม่มีช่องอ่านการ์ดมาให้เลย ทำให้ถ้าหากต้องใช้งาน SD หรือ MicroSD ก็จะต้องหา care reader มาใช้ผ่านพอร์ต USB แทน

ข้อควรพิจารณาในการเลือกซื้อโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์ 2025
โดยหลักแล้วก็แน่นอนว่าควรมองจากสเปคจุดที่สำคัญสำหรับการใช้งาน โดยเริ่มจากหน้าจอที่เหมาะสมกับรูปแบบการทำงาน อย่างถ้าต้องการเน้นพกพา เน้นทำงานนอกสถานที่ เน้นความคล่องตัวสูง การเลือกโน้ตบุ๊กหน้าจอ 14” อาจจะเหมาะสม แต่ถ้าไม่ได้พกเครื่องไปนอกสถานที่บ่อย หรือมีที่เก็บของ โน้ตบุ๊กจอ 16” ก็น่าสนใจ เพราะจะได้พื้นที่ทำงานที่เต็มตากว่า มองจุดละเอียด ๆ ในเนื้องานได้ง่าย แต่ที่สำคัญเลยคือต้องมีคุณภาพของพาเนลสูง มีค่าความแม่นยำของสีสันขั้นต่ำ 100% sRGB เอาไว้ก่อน เพื่อจะได้สามารถควบคุมคุณภาพของผลงานได้ดี เอาไปเปิดที่จอไหนก็ได้สีสันที่สวย และตรงกับภาพที่ตั้งใจจะสื่อสารออกไปที่สุด
ต่อมาก็คือเรื่องของสมรรถนะเครื่อง ถ้าเป็นในยุคนี้ก็ควรเลือกชิปประมวลผลที่มีประสิทธิภาพสูง รองรับการทำงานแบบมัลติทาสก์ได้ดี เพื่อให้สามารถใช้หลายโปรแกรมพร้อมกันได้สะดวก สลับไปมาได้แบบไม่มีสะดุด เพราะการทำงานของครีเอเตอร์ส่วนใหญ่ก็อาจจะต้องเปิดหลายโปรแกรมพร้อมกันทิ้งไว้ หรือแม้จะใช้โปรแกรมหลักเพียงโปรแกรมเดียว แต่ก็อาจจะต้องมีการเปิดหลายหน้าต่างย่อยหรือเปิดคลิปหลายฟุตพร้อมสำหรับการดูพรีวิว เพื่อเลือกช็อตที่เหมาะสมสำหรับการตัดต่อ ทำให้ชิปประมวลผลที่มีหลายคอร์จะได้เปรียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคอร์ที่ไม่มีการลดทอนชุดคำสั่งลง ซึ่งก็คือข้อที่ทำให้ AMD Ryzen AI 300 series ได้เปรียบในการทำงานแบบมัลติคอร์ นอกจากนี้ยังมีกราฟิกออนชิปที่ทรงพลัง และมี NPU สำหรับการประมวลผล AI ประสิทธิภาพสูงมาให้อีกด้วย จึงเหมาะมาก ๆ สำหรับการใช้เป็นโน้ตบุ๊กสำหรับครีเอเตอร์ในยุคนี้
และสิ่งสำคัญข้อสุดท้ายก็คือเรื่องการเชื่อมต่อทั้งแบบมีสายและไร้สาย ที่ควรเลือกให้เหมาะสมกับงานที่จะใช้ อย่างถ้าต้องมีการใช้งานร่วมกับ SD Card บ่อย ๆ การเลือกโน้ตบุ๊กที่มีช่องอ่าน SD ก็น่าจะช่วยเพิ่มความสะดวกได้มาก หรือถ้ามีการใช้งานอุปกรณ์ Thunderbolt 4 อยู่ ก็ควรเลือกโน้ตบุ๊กที่มี USB-C Thunderbolt 4 เพื่อจะทำให้สามารถใช้งานอุปกรณ์เสริมที่มีอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพที่สุด เป็นต้น สำหรับใครที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์ที่ใช้ AMD Ryzen AI 300 series อยู่ สามารถเข้าไปดูข้อมูลรุ่นที่วางขายในไทยได้จากหน้าค้นหาของเราได้เลย หรือถ้าต้องการดูข้อมูลอย่างละเอียดของชิปประมวลผลแต่ละรุ่น ก็สามารถเข้าไปดูได้จากหน้าเว็บไซต์ AMD ครับ





