ใครว่าของใช้ฟรีใช้ดีไม่มีในโลก? ในปี 2025 นี้ คุณสามารถหาผู้ช่วย เพื่อใช้โปรแกรมวาดรูป สร้างสรรค์ผลงานตั้งแต่มือใหม่ ไปจนถึงวัยทำงานและเป็นโปรแกรมฟรี เรารวบรวม 5 เครื่องมือวาดรูปฟรี ใช้งานง่าย เป็นกันเอง แต่มีฟีเจอร์ครบครัน และได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ทั่วโลก สำหรับติดตั้งและใช้งานบนคอมพิวเตอร์ เตรียมเวลาและเครื่องมืออย่าง เมาส์ ปากกาสไตลัสของคุณให้พร้อม แล้วไปดูกันว่ามีโปรแกรมใด ที่จะมาเป็นผู้ช่วยมือหนึ่งในการสร้างงานของคุณบ้าง!
5 โปรแกรมวาดรูปฟรีบนพีซีปี 2025 ใช้งานง่าย
1. Krita
ถ้าคุณกำลังมองหาโปรแกรมวาดรูปที่เป็นโปรแกรมฟรีแต่ใช้งานได้ดี Krita คือตัวเลือกที่ผมอยากแนะนำมากๆ เลยครับ มันเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่พัฒนาโดยชุมชนศิลปินสำหรับศิลปินโดยเฉพาะ เน้นการวาดภาพดิจิทัลและอนิเมชันแบบมืออาชีพ ในปี 2025 นี้ Krita ยังคงอัพเดตอย่างสม่ำเสมอ ด้วยฟีเจอร์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ brush engine ที่ยืดหยุ่นสูง ช่วยให้คุณสร้างแปรงแบบกำหนดเองได้ง่ายๆ ไปจนถึงเครื่องมือ animation ที่ช่วยจัดการเฟรมและเลเยอร์ได้ลื่นไหล ทำให้เหมาะกับทั้งมือใหม่และโปร
จุดเด่นที่ทำให้ Krita แตกต่างคือความฟรี 100% ไม่มีโฆษณาหรือ subscription แต่มีเครื่องมือเทียบชั้นโปรแกรมเสียเงินอย่าง Photoshop เช่น layer blending modes, vector tools, และ stabilizers สำหรับวาดเส้นตรงสวยงาม แถมยังรองรับแท็บเล็ตวาดรูปได้ดีเยี่ยม ทำงานเร็วแม้บนเครื่องสเปคต่ำ RAM 4GB ก็ไหว แต่บางคนอาจเจอปัญหาคราบบ่อยถ้าทำงานอนิเมชันหนักๆ ซึ่งแก้ได้ด้วยการอัพเดตเวอร์ชันล่าสุด
การใช้งาน Krita ถ้าคุณคุ้นเคยกับโปรแกรมวาดรูปทั่วไป ก็เริ่มจากสร้าง canvas ใหม่ เลือก brush จาก library กว่า 100 แบบ แล้ววาดได้เลย มันมี shortcut ปรับแต่งได้และ plugin เพิ่มเติมจากชุมชน เช่น สำหรับ comic หรือ 3D texturing ทำให้ workflow เร็วขึ้น แต่สำหรับมือใหม่ UI อาจดูซับซ้อนหน่อย
โปรแกรมเหมาะมากกับนักวาดภาพดิจิทัล นักทำอนิเมชันอิสระ หรือนักออกแบบที่อาจจะงบจำกัด ช่วยให้การสร้างงานที่มีคุณภาพได้ แบบไม่มีค่าใช้จ่าย แถมยังมี Community ทั้งบน forum และ Discord ให้ถาม-ตอบปัญหาได้ตลอด
อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตคือ Animation tools อาจจะยังไม่สมบูรณ์เท่าโปรแกรมเฉพาะทางอย่าง Clip Studio Paint และอาจ crash บนเครื่องเก่า แต่ด้วยอัพเดตบ่อยๆ ในปี 2025 มันดีขึ้นมาก ถ้าคุณอยากลองโปรแกรมวาดรูปฟรีที่จริงจัง Krita คือจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ และถ้าคุณชอบใจ ใช้ถนัด ก็สามารถ Donate เป็นกำลังใจให้กับผู้พัฒนาได้
จุดเด่นที่น่าสนใจ
- มี Brush Engine ที่เป็นฟังก์ชั่นใช้งานสะดวก: มีให้เลือกใช้หลากหลาย และยังปรับแต่งได้ละเอียด สามารถสร้าง Texture ที่ไม่เหมือนใครได้
- เครื่องมือสำหรับอนิเมชัน: มีเครื่องมือทำอนิเมชันในแบบ Frame-by-frame ได้ในตัว หาได้ยากในเหล่าโปรแกรมฟรี
- ระบบจัดการเลเยอร์ขั้นสูง: มี Layer Styles, Group Layers, และ Masking เหมือนกับโปรแกรมเสียเงินราคาแพง
- Wrap-around Mode: โหมดสำหรับสร้างลวดลายหรือ Texture ได้ทำดีทีเดียว
- รองรับไฟล์ PSD: สามารถเปิดและบันทึกไฟล์จาก Adobe Photoshop ได้ ทำให้ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ง่าย
- ข้อสังเกต: อาจจะต้องใช้เวลาเรียนรู้เล็กน้อยสำหรับมือใหม่ เนื่องจากมีเครื่องมือจำนวนมาก
2. GIMP (GNU Image Manipulation Program)
ถ้าคุณกำลังมองหาโปรแกรมแก้ไขภาพฟรีที่มีฟังก์ชั่นน่าใช้ และไม่มีค่าใช้จ่าย GIMP (GNU Image Manipulation Program) เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่อยากแนะนำ ในปี 2025 นี้ ยังคงได้รับการอัพเดตอย่างสม่ำเสมอ ด้วยฟีเจอร์ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวาดภาพ การรีทัช และการจัดการเลเยอร์ที่ยืดหยุ่น ทำให้เหมาะกับทั้งมือใหม่และมือโปรที่อยากประหยัดงบแต่ได้งานคุณภาพสูง
จุดเด่นที่ทำให้ GIMP แตกต่างคือความฟรีและโอเพ่นซอร์ส 100% ไม่มีโฆษณาหรือข้อจำกัด ทำให้คุณดาวน์โหลดและใช้งานได้ทันทีบน Windows, macOS หรือ Linux โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลิขสิทธิ์ มันมีเครื่องมือเทียบชั้น Photoshop เช่น clone stamp, healing tool และ path tool ที่ช่วยรีทัชภาพได้ละเอียด ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ โดยเฉพาะสำหรับเหล่า freelancer ที่ไม่อยากจ่ายรายเดือน แต่ข้อสังเกตคือ อินเทอร์เฟสอาจดูเก่าและซับซ้อนสำหรับมือใหม่ ทำให้ต้องใช้เวลาเรียนร้อยู่บ้าง
ฟีเจอร์น่าสนใจของ GIMP ในเวอร์ชันล่าสุดคือ Brush system ที่ปรับแต่งได้ละเอียด รองรับ tablet วาดรูปแบบ pressure-sensitive และมี plugin มากมายจากชุมชน เช่น สำหรับ HDR merging หรือ color correction ที่ช่วยให้ภาพดูมืออาชีพ มันยังมี layer masks, channels และ selection tools ที่ยืดหยุ่นสูง เหมาะกับงานกราฟิกและการออกแบบ นอกจากนี้ ยังรองรับไฟล์หลากหลายอย่าง PSD, TIFF และ RAW ทำให้ทำงานร่วมกับโปรแกรมอื่นได้สะดวก
ถ้าคุณคุ้นเคยกับโปรแกรมแก้ไขภาพทั่วไป เริ่มจากเปิดไฟล์ใหม่ ปรับ canvas แล้วเลือก tool จาก toolbar ด้านซ้าย เช่น pencil สำหรับวาดหรือ blur สำหรับรีทัช มันมี shortcut ที่ปรับแต่งได้และ Dockable windows เพื่อจัด layout ตามชอบ แต่สำหรับมือใหม่ UI อาจดูยุ่งเหยิง แนะนำให้ดู tutorial บนเว็บทางการเพื่อเริ่มต้นเร็วๆ เพราะหลังจากที่คุ้นเคยแล้ว คุณจะทำงานลื่นไหล แม้บนเครื่องสเปคคอมที่ไม่สูงมากนัก
GIMP เหมาะมากกับนักศึกษาศิลปะ นักวาดภาพฟรีแลนซ์ หรือคนทำงานกราฟิกงบน้อยที่ไม่อยากจ่ายค่าซอฟต์แวร์ มันช่วยให้สร้างงานคุณภาพสูงโดยไม่เสียเงิน แถมชุมชนแข็งแกร่ง มี forum และ Discord ให้ปรึกษา ถ้าคุณชอบปรับแต่ง และเน้นฟีเจอร์เฉพาะทาง โปรแกรมนี้ตอบโจทย์สุดๆ
จุดเด่นที่น่าสนใจ
- เครื่องมือแก้ไขภาพขั้นสูง: มีเครื่องมือ Selection, Curves, Levels, และฟิลเตอร์ต่างๆ ที่เทียบเท่าโปรแกรมระดับโปร
- ปรับแต่งได้เต็มที่: สามารถปรับแต่งหน้าตาโปรแกรม (UI), เพิ่มปลั๊กอิน, และสร้างสคริปต์เพื่อทำงานอัตโนมัติได้
- รองรับไฟล์หลากหลาย: เปิดและแก้ไขไฟล์ได้แทบทุกนามสกุล
- แปรงและ Texture: มีชุดแปรงพื้นฐานที่ดีและสามารถดาวน์โหลดเพิ่มเติมจาก Community ผู้ใช้งานได้
- ข้อสังเกต: หน้าตาโปรแกรม (User Interface) อาจจะดูซับซ้อนอยู่บ้างในช่วงแรก และการวาดภาพอาจจะไม่ใช่จุดแข็งที่สุด แต่ก็ตอบโจทย์การวาดรูปได้สะดวกมากๆ
3. MediBang Paint Pro
MediBang Paint Pro คือโปรแกรมวาดรูปตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่กำลังมองหาโปรแกรมวาดรูปที่ฟรี ใช้งานง่าย เป็นเวอร์ชันอัพเกรดจาก MediBang Paint ดั้งเดิม เน้น interface ที่สะอาดตาและ user-friendly โดยเฉพาะบน iPad และแท็บเล็ต ทำให้วาดได้ลื่นไหล มาพร้อม brushes กว่า 1,000 แบบที่ปรับแต่งได้ และ materials ฟรีใน Community ช่วยให้มือใหม่เริ่มต้นได้เร็วโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องมือเพิ่ม
การเน้นไปที่ Community และระบบ Cloud sync ช่วยให้การแชร์งานกับผู้ใช้ทั่วโลกได้ง่าย แบบไม่มีโฆษณารบกวนในเวอร์ชั่น Pro รองรับการทำงานร่วมกันแบบ real-time อีกฟีเจอร์ที่น่าสนใจอย่าง Comic panel tools ช่วยสร้างเลย์เอาท์วาดมังงะได้ง่ายดายมากขึ้น พร้อมฟิลเตอร์ที่มีถึง 15 แบบที่คล้าย Ibis Paint เช่น Lens blur หรือ Mosaic สำหรับเอฟเฟกต์พิเศษ
ถ้าคุณคุ้นเคยกับแอปวาดรูปทั่วไป เริ่มจากสร้าง canvas ใหม่ เลือก brush จาก library แล้ววาดได้เลย มันรองรับ pressure sensitivity สำหรับ stylus และมี undo/redo ไม่จำกัดครั้ง ช่วยแก้ไขงานได้สะดวก แต่สำหรับมือใหม่ UI อาจดูยุ่งเหยิงหน่อยเพราะเครื่องมือเยอะ แนะนำให้ลองดูคำแนะนำในเว็บไซต์หรือผู้ใช้ที่มารีวิวในช่องทางต่างๆ
โปรแกรม MediBang Paint Pro นี้เหมาะมากกับนักวาดมังงะ มือสมัครเล่น หรือศิลปินงบน้อยที่อยากได้เครื่องมือโปรโดยไม่เสียเงิน มันช่วยให้สร้างงานคุณภาพสูงโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แถมยังมี Community ที่แข็งแกร่ง เช่นเดียวกับการมี Forum และ Discord ให้คำปรึกษา ซึ่งหากคุณชอบฟีเจอร์เฉพาะทางอย่าง Comic templates หรือ Cloud storage สำหรับแชร์งาน ไม่ควรพลาดโปรแกรมนี้
จุดเด่นที่น่าสนใจ
- เครื่องมือสร้างช่องการ์ตูน (Comic Panel Tool): สามารถสร้างและแบ่งช่องการ์ตูนได้อย่างง่ายดาย
- คลังสกรีนโทนและวัสดุฟรี: มีสกรีนโทน, พื้นหลัง, และวัตถุต่างๆ ให้เลือกใช้ฟรีบนคลาวด์มากกว่า 800 ชนิด
- ฟอนต์การ์ตูนฟรี: มีฟอนต์สำหรับใช้ในการ์ตูนให้เลือกใช้จำนวนมาก
- ระบบ Cloud Saving: สามารถบันทึกงานไว้บน Cloud และทำงานต่อบนอุปกรณ์อื่นได้ (มีเวอร์ชันมือถือและแท็บเล็ต)
- เครื่องมือสำหรับทำงานร่วมกัน (Collaboration): สามารถชวนเพื่อนมาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานในโปรเจกต์เดียวกันได้
- ข้อสังเกต: โปรแกรมมีโฆษณาแทรกอยู่บ้างในเวอร์ชันฟรี และฟีเจอร์บางอย่างอาจจะถูกจำกัดไว้สำหรับเวอร์ชันเสียเงิน
4. Clip Studio Paint (เวอร์ชันทดลองใช้ฟรี)
ใครที่เป็นนักวาดภาพ และกำลังมองหาโปรแกรมวาดรูปที่มีความสะดวกในการใช้งาน งานมังงะ อนิเมชัน และภาพประกอบ Clip Studio Paint คือตัวเลือกที่อยากแนะนำ เครื่องมือที่ครอบคลุมตั้งแต่ brush สำหรับวาดเส้นละเอียด ไปจนถึง animation tools ที่ช่วยจัดการเฟรมและเลเยอร์ได้ลื่นไหล ทำให้เหมาะกับทั้งมือใหม่และโปรที่อยากสร้างงานคุณภาพ
จุดเด่นของโปรแกรมนี้อยู่ที่ ความเสถียรและความเร็วในการรัน แม้กับไฟล์ขนาดใหญ่ก็ไม่กระตุก ผู้ใช้ส่วนใหญ่ให้คะแนนตรงที่ช่วยให้ Workflow เร็วขึ้น ด้วยการมี Brushes และ Materials ที่สามารถดาวน์โหลดฟรีจาก Community และยังรองรับ Stylus pressure-sensitive หรือแรงกดจากปากกาสไตลัสที่มีส่วนสำคัญในการวาดรูปได้ดีอีกด้วย เช่นเดียวกับฟีเจอร์อย่าง 3D models สำหรับ Pose reference ที่ช่วยนักวาด ลงรายละเอียดท่าทางตัวละครได้แม่นยำ แต่ข้อเสียคือเวอร์ชันฟรีนั้นจะมีข้อจำกัดอยู่พอสมควร
อีกสิ่งที่น่าสนใจอย่าง Comic panel tools และ stabilizers ช่วยวาดเส้นตรงสวยงาม ทำให้โปรแกรมนี้เหมาะกับการสร้างคอมมิคหรือมังงะ ยังมี Cloud sync เพื่อแชร์งานข้ามอุปกรณ์ และ plugin เพิ่มเติมจาก Community ได้ การใช้งาน Clip Studio Paint ถ้าคุณพอจะคุ้นกับ Photoshop เริ่มจากสร้าง Canvas ใหม่ เลือก Brush จาก Library ที่มีกว่า 1,000 แบบ แล้ววาดได้เลย รองรับเลเยอร์ไม่จำกัดและ Undo/Redo ย้อนหลังได้ไกล ช่วยแก้ไขงานได้สะดวก แต่สำหรับมือใหม่ UI อาจดูยุ่งเหยิงหน่อยเพราะเครื่องมือเยอะ
Clip Studio Paint เหมาะสำหรับนักวาดมังงะ อนิเมเตอร์ หรือศิลปินฟรีแลนซ์ ที่อยากได้เครื่องมือโปรโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมากนัก ช่วยให้สร้างงานคุณภาพสูงด้วยฟีเจอร์เฉพาะทางอย่าง Perspective rulers หรือ Material library แต่ถ้าต้องการงานกราฟิกทั่วไป อาจต้องใช้คู่กับโปรแกรมอื่นๆ บ้าง เพื่อความสะดวก
จุดเด่นที่น่าสนใจ
- ความรู้สึกในการวาดที่เป็นธรรมชาติ: เส้นปากกาและการตอบสนองของแปรงทำได้ดี ให้ความรู้สึกเหมือนวาดบนกระดาษจริง
- โมเดล 3D ช่วยวาด: มีโมเดล 3D ของคนและวัตถุให้สามารถนำมาจัดท่าทางและใช้เป็นไกด์ในการวาดได้
- เครื่องมือ Vector จำนวนมาก: เหมาะสำหรับงานลายเส้นที่ต้องการความคมชัดสูง
- Clip Studio ASSETS: คลัง Object ขนาดใหญ่ ที่ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดและแชร์สิ่งต่างๆ ร่วมกันได้
- ฟีเจอร์ AI: มีฟีเจอร์ AI ช่วยลงสีและทำงานอื่นๆ ที่น่าสนใจ
- ข้อสังเกต: เป็นเวอร์ชันทดลองใช้ฟรีที่มีวันหมดอายุ หากต้องการใช้ต่อ ต้องซื้อเวอร์ชันเต็ม
5. Autodesk Sketchbook
Autodesk Sketchbook เป็นอีกโปรแกรมวาดรูปที่ใช้ฟรี ง่าย และเน้นความเป็นธรรมชาติเหมือนวาดภาพบนกระดาษ ด้วยอินเทอร์เฟส ที่สะอาดตาและมินิมอล ทำให้โฟกัสที่การวาดได้เต็มที่ มาพร้อม Brushes กว่า 190 แบบที่ปรับแต่งได้ละเอียด และช่วยวาดมุมมองได้แม่นยำ ช่วยให้ศิลปินมือใหม่เริ่มต้นได้เร็วโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องมือเพิ่ม.
จุดเด่นที่ทำให้ Autodesk Sketchbook แตกต่างคือ ไม่มีค่าใช้จ่าย และไม่มี in-app purchase อีกด้วย แต่มีเครื่องมือเทียบชั้นโปรแกรมเสียเงิน ที่ช่วยให้ Workflow ลื่นไหล อีกทั้งรองรับ Stylus pressure-sensitive ได้ดี และมีฟีเจอร์อย่าง Predictive stroke ที่ช่วยให้เส้นวาดเรียบเนียน แต่ข้อสัง้เกตคือ ไม่มี Animation tools เต็มรูปแบบ ซึ่งอาจต้องใช้โปรแกรมอื่นเสริม.
ฟีเจอร์น่าสนใจอย่าง scan sketch ที่นำภาพสเก็ตช์จากกระดาษมาปรับแต่งต่อดิจิทัลได้ง่าย และ layer blending modes ที่หลากหลายสำหรับเอฟเฟกต์พิเศษ ยังมี Time-lapse recording เพื่อบันทึกกระบวนการวาดและแชร์บนโซเชียล
การใช้งาน Autodesk Sketchbook เริ่มจากสร้าง canvas ใหม่ แล้ววาดได้เลย รองรับ Unlimited layers และแก้ไขงานได้สะดวก แต่สำหรับมือใหม่ UI อาจดูเรียบง่าย หลายคนที่ใช้บอกว่าหลังจากเริ่มคุ้นเคยแล้ว ก็จะทำงานลื่น
Autodesk Sketchbook เหมาะมากกับนักวาดภาพสเก็ตช์ นักออกแบบกราฟิกมือสมัครเล่น งบน้อย แต่อยากได้เครื่องมือโปรโดยไม่เสียเงิน ช่วยให้สร้างงานคุณภาพ ด้วยฟีเจอร์เฉพาะทางที่แม่นยำ Autodesk Sketchbook เป็นการเริ่มต้นที่น่าใจ
จุดเด่นที่น่าสนใจ
- Minimalist Interface: หน้าจอที่เรียบง่ายทำให้จดจ่อกับการวาดภาพได้อย่างเต็มที่
- เครื่องมือวาดภาพที่จำเป็นครบครัน: มีแปรง, ดินสอ, ปากกา, และ Airbrush ให้เลือกใช้หลากหลาย
- Predictive Stroke: เครื่องมือช่วยทำให้ลายเส้นที่วาดด้วยมือมีความเรียบเนียนและสวยงามขึ้น
- Symmetry Tools: เครื่องมือช่วยวาดภาพสมมาตรที่ใช้งานง่าย
- ทำงานได้ดีบนอุปกรณ์ทัชสกรีน: ออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับเมาส์ปากกาและจอสัมผัสโดยเฉพาะ
- ข้อสังเกต: เครื่องมืออาจจะไม่ซับซ้อนเท่า Krita หรือ GIMP และไม่เหมาะกับงานแก้ไขภาพถ่ายที่ต้องการความละเอียดสูง
FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมวาดรูป
1. โปรแกรมวาดรูปฟรีที่ดีที่สุดคืออะไร?
โปรแกรมวาดรูปฟรีที่น่าใช้ ส่วนใหญ่มักจะแนะนำเป็น GIMP หรือ Krita ตามรีวิวจากค่ายต่างๆ เมนชั่นว่าเป็นโอเพ่นซอร์สด้วยกันทั้งคู่ ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ให้เครื่องมือเกือบครบครัน เช่น brush ที่ปรับแต่งได้และ layer blending modes. Clip Studio Paint เวอร์ชันฟรีก็เหมาะสำหรับมือใหม่ที่อยากวาดมังงะ เพราะมี templates มาในตัว. แต่ถ้าคุณต้องการงาน Production สูงๆ การอัพเกรดเวอร์ชันตัวเต็ม ก็จะได้ฟีเจอร์เพิ่มเติม เช่น animation tools ใน Krita. โดยรวมแล้ว ถ้าคุณงบน้อย ลองเริ่มจาก GIMP เพราะรองรับไฟล์ PSD และทำงานได้ลื่นบนเครื่องสเปคที่ไม่แรงนัก
2. โปรแกรมวาดรูปไหนเหมาะสำหรับมือใหม่?
สำหรับมือใหม่ แนะนำเป็น Clip Studio Paint หรือ Autodesk Sketchbook เพราะ interface เรียบง่าย ไม่ยุ่งเหยิง และมีสอนใช้งานเบื้องต้นในตัวที่สอนพื้นฐานการวาด และเครื่องมือที่ช่วยให้มือใหม่วาดเส้นตรงสวยงามได้ง่ายขึ้น ส่วน Krita ก็น่าใช้ เพราะมี Community support แต่ UI อาจดูซับซ้อนหน่อยในช่วงแรก. สุดท้าย อยากให้ลองเริ่มด้วยเวอร์ชันฟรีเพื่อฝึกก่อน แล้วค่อยอัพเกรดถ้าต้องการฟีเจอร์โปรมากขึ้น
3. ความแตกต่างระหว่าง Raster และ Vector ในโปรแกรมวาดรูปคืออะไร?
Raster software อย่าง Photoshop หรือ GIMP ทำงานกับพิกเซล เหมาะกับการวาดภาพและรีทัชเพราะให้รายละเอียดสูง แต่ขยายภาพแล้วอาจเบลอได้ ในขณะที่ vector software อย่าง Illustrator ใช้เส้นที่ขยายได้ไม่เสียคุณภาพ เหมาะกับการทำโลโก้หรือกราฟิกที่ต้องการความคมชัด สำหรับ Raster จะดีสำหรับ digital painting เพราะให้เส้น Brush เหมือนจริง แต่ Vector เข้ากันได้ดีกับงานพิมพ์
4. การใช้โปรแกรมวาดรูป ต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?
สำหรับการใช้โปรแกรมวาดรูป คุณต้องการแท็บเล็ตสำหรับวาดรูป อย่างเช่น Wacom หรือ XP-Pen เพื่อมีจอที่รองรับแรงกด Pressure sensitivity ซึ่งจะช่วยให้ได้เส้นหนาบางตามน้ำหนักมือ คอมพิวเตอร์สเปคเริ่มต้นแรม 8GB ขึ้นไปก็เพียงพอ สำหรับโปรแกรมฟรีอย่าง Krita แต่ถ้าใช้แนว Photoshop อาจจะต้องใช้ GPU ดีๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ นอกจากนี้แนะนำ Stylus pen และหน้าจอ IPS เพื่อให้ได้สีที่แม่นยำ. ส่วนถ้างบจำกัด อาจเริ่มจากเมาส์ปกติ ก็ยังพอไหว แต่ถ้าได้แท็บเล็ตดีๆ ก็จะช่วยให้วาดสนุกและได้งานที่มีคุณภาพดีขึ้น
