Alienware 16 Aurora เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คเรือธงจาก DELL รุ่นใหม่ ดีไซน์มินิมอลกับสเปคแรงเอาเรื่อง!

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คระดับเรือธงจาก Dell อย่าง Alienware เป็นซีรีส์หนึ่งซึ่งเกมเมอร์หลายคนเฝ้าฝันจะเป็นเจ้าของของกัน อย่าง Alienware 16 Aurora รุ่นล่าสุดนี้ก็ถูกปรับแต่งสเปคให้ทันสมัย ใส่ Intel Core Series 2 ใหม่ กับจีพียู NVIDIA GeForce RTX 50 Series จับคู่กับชุดระบายความร้อน Cyro-Tech ใหม่แบบ Cyro-Chamber เพื่อช่วยระบายความร้อนได้ดีขึ้น แม้จะรันเต็มกำลังก็ไม่มีปัญหาแถมเสียงก็ไม่ดังรบกวนเจ้าของแม้แต่น้อย ประกอบกับหน้าจอขนาดใหญ่ 16 นิ้ว ความละเอียดสูงและขอบเขตสีกว้าง ได้สีสันสวยงามสมจริงยิ่งขึ้น
นอกจากเรื่องสเปคแรงทรงพลัง องค์ประกอบเพิ่มเติมอย่างการเชื่อมต่อก็ไม่แพ้โน๊ตบุ๊คเรือธงรุ่นอื่น ด้านหลังเครื่องติดตั้ง USB-C DisplayPort กับ Power Delivery มาอย่างละช่องให้ใช้งานได้สะดวก มีคีย์ลัดเลือกเปลี่ยนโหมดได้ทั้งเล่นเต็มประสิทธิภาพหรือ Stealth mode ให้เบาไม่รบกวนผู้อื่นหรือจะรีดศักยภาพออกมาให้เต็มกำลังและเรียกใช้ฟีเจอร์เพิ่มเติมก็มี Alienware Command Center โปรแกรมสำหรับรีดประสิทธิภาพของ Alienware 16 Aurora ให้ออกมาเต็มกำลัง ยิ่งถ้าใครใช้เกมมิ่งเกียร์ในเครือก็สามารถปรับแต่งในซอฟท์แวร์นี้ได้ด้วย

NBS Verdicts

Alienware 16 Aurora ใหม่นี้พลิกดีไซน์ขนานใหญ่ จากรูปลักษณ์ภายนอกล้ำหน้ากว่าเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คจากแบรนด์คู่แข่งอื่นๆ ให้กลับมาดูเรียบง่ายไม่หวือหวา ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อสังเกตในเวลาเดียวกัน ด้วยความสวยเรียบง่ายทำให้ดูเรียบง่ายมินิมอลและหยิบออกมาใช้ได้ทุกโอกาส ไม่เป็นเป้าสายตามาก กลับกันถ้าเป็นแฟนคลับ Alienware ตั้งแต่อดีตจะไม่คุ้นกับรูปลักษณ์อันเรียบง่ายแบบนี้แน่นอนและคิดว่ามันควรจะดูล้ำสมัยกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คหลายรุ่นในปัจจุบันใส่ใจเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยมากขึ้นเรื่อยๆ จึงคาดหวังว่าในรุ่นต่อไปทาง Alienware จะติดตั้งเซนเซอร์สแกนใบหน้าหรือลายนิ้วมืออย่างใดอย่างหนึ่งเพิ่มมาด้วย
สเปครุ่นเรือธงได้ซีพียู Intel Core 9 270H กับการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5070 และ RAM 32GB DDR5 ประกบชุดระบายความร้อน Cyro-Tech ทำให้ระบายความร้อนได้ดี เล่นเกมได้ต่อเนื่องไม่เจอปัญหาความร้อนสูงจนเครื่องหน่วงก็จริงและยังอัปเกรด RAM, SSD ได้อย่างละ 2 ช่องด้วย ได้ปุ่มเร่งประสิทธิภาพเครื่องอย่าง Performance mode หรือตัดเข้าโหมดทำงานลดเสียงพัดลมรบกวนอย่าง Stealth mode ให้ใช้ นอกจากนี้ยังมีปุ่มมาโคร M1-M3 ให้ตั้งค่าคีย์ลัดได้ ว่าถ้ากดแล้วจะให้เป็นคำสั่งอะไรก็ตั้งได้ตามสะดวก
อย่างไรก็ตาม Alienware 16 Aurora แม้จะตั้งราคาไว้ 85,990 บาท ให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ในกลุ่มเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้มีการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงอยู่ จึงหวังว่าทาง Dell จะปรับสเปคพื้นฐานให้ดีกว่านี้ เช่น เพิ่มรุ่นการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 5070 Ti หรือ GeForce RTX 5080 เข้ามาก็จะดีมาก ปรับแต่งคีย์บอร์ดจากสีขาวอย่างเดียวให้เป็น 4-Zone RGB หรือถ้าทำ Per-Key RGB ไปเลยก็จะดีมาก
ข้อดีของ Alienware 16 Aurora
- ซีพียู Intel Core 9 270H มีคอร์เธรดเยอะ ใช้ทำงานและเล่นเกมได้ลื่นไหลดี
- จีพียู NVIDIA GeForce RTX 5070 ใช้เล่นเกมได้ลื่นไหล มี Multi Frame Generation
- ชุดระบายความร้อน Cyro-Tech ระบายความร้อนได้ดี ไม่ร้อนจนลดกำลังประมวลผล
- อุณหภูมิตลอดตัวเครื่องสูงสุดราว 35 องศาเซลเซียสเท่านั้น ใช้งานได้สะดวกไม่ร้อนไป
- หน้าจอมีขอบเขตสีกว้าง 100% sRGB แสดงสีสันได้สวยงามสมจริง
- มีช่องเพื่อติดตั้ง RAM, SSD มาให้อย่างละ 2 ช่อง เพิ่มความจุได้อีกพอสมควร
- มีพอร์ต USB-C DisplayPort มาถึง 2 ช่อง ให้ต่อหน้าจอแยกเพิ่มพื้นที่ Desktop ได้
- มีปุ่มมาโคร M1-M3 สามารถตั้งค่าคีย์ลัดเพื่อใช้งานได้ตามสะดวก
- โปรแกรม Alienware Command Center ใช้ตั้งค่าเครื่องเร่งประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้รวดเร็วและเสถียรผ่านทาง Wi-Fi 7 และรองรับ Bluetooth 5.4
- บานหน้าจอกางได้แบนราบ 180 องศา ขนานไปกับพื้นโต๊ะ แชร์หน้าจอให้คู่สนทนาดูได้
- แบตเตอรี่มีความจุ 96Whr มากพอให้ใช้งานได้นานร่วม 5 ชม.
- มีประกัน Alienware Care ดูแลหลังการขายและให้บริการแบบ Onsite service
- ติดตั้ง Microsoft Office Home 2024 มาให้พร้อมใช้งาน ไม่ต้องซื้อเพิ่ม
ข้อสังเกตของ Alienware 16 Aurora
- ดีไซน์ตัวเครื่องดูเหมือนโน๊ตบุ๊คทำงานมากกว่า รุ่นถัดควรปรับดีไซน์ให้มีเอกลักษณ์กว่านี้
- สเปคสูงสุดเป็น Intel Core 9 270H กับ GeForce RTX 5070 เท่านั้น ควรให้สเปคสูงกว่านี้
- แป้นคีย์บอร์ดเป็นแบบภาษาอังกฤษอย่างเดียว ไม่ได้สกรีนตัวอักษรไทยเพิ่มเข้ามา
รีวิว Alienware 16 Aurora
- Specification
- Hardware & Design
- Screen & Speaker
- Keyboard & Touchpad
- Connector, Thin & Weight
- Inside & Upgrade
- Performance & Software
- Battery & Heat & Noise
- User Experience
- Conclusion & Award
- Gallery
Specification
Alienware 16 Aurora เป็นเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ล่าสุดจาก Dell ซึ่งนอกจากปรับสเปคให้ใหม่ทันสมัยแล้วยังอัปเกรดเพิ่มหน่วยความจำภายในเครื่องได้อีกพอควร ซึ่งปัจจุบันมีวางจำหน่ายให้เลือกซื้อได้ 3 สเปค โดยมีรายละเอียดดังนี้
| สเปค / รายละเอียด | Alienware 16 Aurora Gaming-OAC16250I901 | Alienware 16 Aurora Gaming-OAC16250I703 | Alienware 16 Aurora Gaming-OAC16250I701 |
| CPU | Intel Core 9 270H แบบ 14 คอร์ 20 เธรด (6P+8E) ความเร็วสูงสุด 5.8GHz TDP 45W Intel DL Boost | Intel Core 7 240H แบบ 10 คอร์ 16 เธรด (6P+4E) ความเร็วสูงสุด 5.2GHz TDP 45W Intel DL Boost | Intel Core 7 240H แบบ 10 คอร์ 16 เธรด (6P+4E) ความเร็วสูงสุด 5.2GHz TDP 45W Intel DL Boost |
| GPU | NVIDIA GeForce RTX 5070 VRAM 8GB GDDR7 | NVIDIA GeForce RTX 5060 VRAM 8GB GDDR7 | NVIDIA GeForce RTX 4050 VRAM 6GB GDDR6 |
| Storage | M.2 NVMe SSD 1TB PCIe 4.0 x4 มีช่องรองเพื่ออัปเกรดเพิ่ม 1 ช่อง | M.2 NVMe SSD 1TB PCIe 4.0 x4 มีช่องรองเพื่ออัปเกรดเพิ่ม 1 ช่อง | M.2 NVMe SSD 1TB PCIe 4.0 x4 มีช่องรองเพื่ออัปเกรดเพิ่ม 1 ช่อง |
| Memory | 32GB DDR5 บัส 5600MHz | 16GB DDR5 บัส 5600MHz | 16GB DDR5 บัส 5600MHz |
| Display | 16″ WQXGA (2560*1600) พาเนล WVA Refresh Rate 120Hz 100% sRGB ComfortView Plus | 16″ WQXGA (2560*1600) พาเนล WVA Refresh Rate 120Hz 100% sRGB ComfortView Plus | 16″ WQXGA (2560*1600) พาเนล WVA Refresh Rate 120Hz 100% sRGB ComfortView Plus |
| Software | Windows 11 Home Microsoft Office Home 2024 | Windows 11 Home Microsoft Office Home 2024 | Windows 11 Home Microsoft Office Home 2024 |
| Connectivity | USB-A 3.2*2 USB-C 3.2 DisplayPort*1 USB-C 3.2 Power Delivery*1 HDMI 2.1*1 LAN*1 Audio combo*1 Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be Bluetooth 5.4 | USB-A 3.2*2 USB-C 3.2 DisplayPort*1 USB-C 3.2 Power Delivery*1 HDMI 2.1*1 LAN*1 Audio combo*1 Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be Bluetooth 5.4 | USB-A 3.2*2 USB-C 3.2 DisplayPort*1 USB-C 3.2 Power Delivery*1 HDMI 2.1*1 LAN*1 Audio combo*1 Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be Bluetooth 5.4 |
| Weight | 2.57 กก. | 2.57 กก. | 2.57 กก. |
| Price | 85,990 บาท (iTrinity) | 54,590 บาท (iTrinity) | 50,990 บาท (iTrinity) |
Hardware & Design





ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็น Alienware แล้ว ใครๆ ก็น่าจะคิดถึงเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คดีไซน์แปลกแหวกแนว ดูล้ำสมัยเหมือนกับเครื่องมือของมนุษย์ต่างดาว แต่ Alienware 16 Aurora กลับฉีกภาพจำเดิมๆ ให้เป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งดีไซน์เรียบง่าย เน้นดีไซน์ภายนอกมินิมอลคล้ายกับโน๊ตบุ๊คทำงานมากขึ้น ใช้สีเครื่องเป็นน้ำเงินกรมท่าแบบเข้มจนเกือบเป็นสีดำ ส่วนเหนือคีย์บอร์ดมีช่องนำอากาศเข้าติดมาเป็นแถบยาว ด้านแท่นวางข้อมือทั้งสองฝั่งจะมีสติกเกอร์ Intel Core 200 Series ติดมาตรงมุมขวาล่างเท่านั้น ขอบบานหน้าจอดีไซน์ให้เฉียงโดยให้ส่วนด้านฝาหลังสูงสุดเพื่อให้กางหน้าจอได้สะดวกและใช้นิ้วเดียวดึงเปิดหน้าจอได้ทันที





ก้านบานพับหน้าจอจะเป็นแบบสันทรงกลมเดินแนวยาวตลอดตัวเพื่อรับก้านบานพับของหน้าจอ ทำให้กางหน้าจอได้แบนราบเสมอไปกับพื้นโต๊ะ ทำให้แชร์หน้าจอให้เพื่อนร่วมงานดูก็ได้หรือจะขึ้นแท่นวางโน๊ตบุ๊คก็ปรับองศาหน้าจอให้มองเห็นได้สะดวกมองเห็นชัดเจนและบานหน้าจอจะติดตั้งแบบแยกชั้นกับแท่นตัวเครื่องด้วย นอกจากเรื่องกางหน้าจอก็ทำให้ลมจากช่องระบายความร้อนไม่โดนกับบานหน้าจอไม่ให้เกิดความเสียหายหรือเสื่อมสภาพเร็ว


จุดที่บอกความเป็น Alienware คือโลโก้อลูมิเนียมแบบสะท้อนแสงเป็นสีรุ้งรูปหน้าเอเลี่ยนบนฝาหลังอันเรียบง่ายไม่มีลวดลายใดๆ ติดเข้ามา มีเส้นขอบบนหน้าจอติดเข้ามาให้เพื่อจับได้ถนัดขึ้นเท่านั้น ดีไซน์จึงดูเรียบง่ายกว่ารุ่นก่อนหน้าพอควร



ด้านใต้เครื่องมีแถบยางกันลื่นแยกเป็น 3 ส่วน เป็นตัว “C” คู่ แบบปกติและกลับด้านอยู่ตรงแท่นกลาง ด้านล่างเป็นแถบยางเส้นยาว สังเกตว่า Alienware 16 Aurora จะไม่มีช่องนำอากาศเย็นตัดช่องเป็นแผงขนาดใหญ่เหมือนแบรนด์อื่น แต่ทำเป็นช่องนำลมเข้าแบบซี่เล็กตรงขอบล่างกับบนแทน จึงดูเรียบง่ายมากแต่ก็ระบายความร้อนได้ดี มีลวดลายพิเศษของทางแบรนด์ติดเพิ่มมาให้ตรงกลางแท่นยกด้วย ฝาด้านใต้ขันล็อคเอาไว้ด้วยน็อตหัวแฉก Philips Head 10 ดอก ไว้ให้ประกบเป็นชิ้นเดียวกัน
Screen & Speaker







หน้าจอขนาด 16 นิ้ว ของ Alienware 16 Aurora มีความละเอียด QHD (2560*1440) พาเนล WVA เทียบเท่ากับ IPS ได้ มีค่า Refresh Rate 120Hz ขอบเขตสี 100% sRGB แสดงสีสันได้สวยงามและมีองศาการแสดงผลกว้าง มองจากมุมอื่นไม่ว่าจะแนวตั้งหรือนอนก็เห็นได้ชัดเจน สีสันบนหน้าจอไม่เพี้ยนหรือเกิดเงาทาบอย่างแน่นอน เวลาใช้งานในห้องหรือออฟฟิศสามารถลดความสว่างเหลือ 50-60% ก็มองเห็นชัดเจน หรือเร่งเพิ่มเวลาใช้งานนอกสถานที่หรือมีแสงอาทิตย์ทาบหน้าจอได้เช่นกัน
ตัวบานหน้าจอรีดกรอบด้านข้างให้บางลงเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มพื้นที่แสดงผล ส่วนขอบบนจะหนาขึ้นระดับหนึ่งเพื่อติดตั้งกล้องเว็บแคมและไมโครโฟนเอาไว้ ขอบล่างเป็นจุดติดตั้งชุดพาเนลจอ ตรงกลางกรอบหน้าจอสลักโลโก้ Alienware เอาไว้เพื่อบอกรุ่น





ลำโพงคู่ของ Alienware 16 Aurora เมื่อเร่งเสียงให้ดังสุดแล้ววัดด้วยเครื่องวัดเสียงจะได้ความดังราว 81dB อยู่ในระดับทั่วไปไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ในท้องตลาด สามารถเปิดเพลงหรือดูหนังได้เสียงดังชัดเจน แต่ฟังเพลงเนื้อเสียงยังติดโทน Flat ได้ยินเสียงนักร้องและเครื่องดนตรีชัดเจน แต่เบสไม่ค่อยมีแรงปะทะเท่าที่ควร ดังนั้นถ้าฟังเพลงแนะนำให้ต่อลำโพงแยกออกไปจะดีกว่ามาก ส่วนเสียงเวลาเล่นเกมถือว่าได้ยินชัดเจนและแยกทิศทางเสียงได้พอควร เหมาะกับการเล่นเกมหลากหลายแบบ
Keyboard & Touchpad







คีย์บอร์ดของ Alienware 16 Aurora เป็นแบบ Full size พร้อมแป้น Numpad แต่คีย์บอร์ดเป็นปุ่มภาษาอังกฤษอย่างเดียวและไฟ LED Backlit เป็นสีขาว ไม่ได้เป็น 4-Zone หรือ Per-Key RGB เหมือนเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คเรือธงรุ่นอื่น จึงน่าเสียดายและคาดหวังว่าทางบริษัทจะปรับให้เอฟเฟคแสงสีดูมีเอกลักษณ์กว่านี้ก็จะดีมากและเพิ่มตัวอักษรไทยเข้ามาด้วย ด้านปุ่ม Numpad จะมีขนาดกับเลย์เอ้าท์เหมือนกับตัวเต็มของแป้นคีย์บอร์ดแยก สังเกตว่าเลขศูนย์, เครื่องหมายบวก, Enter มีขนาดเหมือนแป้นคีย์บอร์ดตัวเต็ม ทำให้กดตัวเลขได้ง่าย เหมาะกับคนทำงานกับตัวเลขเป็นประจำ
ปุ่มฟังก์ชั่นถูกตั้งค่ารวมกับปุ่มอื่นๆ บนคีย์บอร์ดให้กดเรียกใช้งานได้โดยใช้คำสั่งของปุ่ม F11-F12 และถัดออกมาเป็น Insert, Delete ส่วน Page Up/Down จะอยู่กับปุ่มลูกศรสี่ทิศทาง เหนือปุ่ม Numpad มีปุ่มเพิ่มลดและปิดเสียงลำโพงติดเข้ามาให้เป็นปุ่มเฉพาะติดกับปุ่ม Power ซึ่งควรแยกเป็นเอกเทศไปเลยไม่ให้ผู้ใช้เผลอกดผิดปิดเครื่องโดยไม่ตั้งใจ
ปุ่มคำสั่งต่างๆ บนคีย์บอร์ดจะมีคำสั่งเพื่อใช้เล่นเกมเสริมเข้ามาพอควร แต่ยังขาดปุ่ม Win Lock และยังเซ็ตปุ่มคีย์ลัดมาไม่ลงตัว สังเกตว่าปุ่ม Home, End กินเข้ามายัง F11-F12 ซึ่งเอาไปรวมกับ Page Up/Down ก็ได้ นอกจากนี้ปุ่ม Print screen ก็หายไปแล้วไปใช้โปรแกรม Snipping Tool แทน ซึ่งจริงๆ ควรใส่มาให้ทั้งสองอย่างเลย นอกจากนี้ก็ควรรวบเอา Insert ไว้กับ Delete ไว้ด้วยกันและเอาปุ่มปิดการทำงานทัชแพดมาใส่กับ F11 ตามด้วยปุ่มโลโก้ Alienware เพื่อเรียก Alienware Command Center จะเหมาะกว่ามาก




ปุ่ม Hotkeys ในบรรทัด F1-F12 จะรวมคำสั่งเพื่อการทำงานและเล่นเกมเอาไว้อย่างละครึ่ง แต่ก็ยังมีจุดต้องปรับปรุงอย่างที่กล่าวไปข้างต้น โดยคำสั่งทั้งหมดจะมีดังนี้
- F1-F3 – มาโคร M1-M3
- F4-F5 – ลดหรือเพิ่มความสว่างหน้าจอ
- F6 – ปุ่มเปิดใช้ High performance mode
- F7 – ปุ่มเปิดใช้ Stealth mode ถ้ากดในเบราเซอร์จะเป็น Caret mode
- F8 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและเสริม
- F9 – ปุ่มปรับความสว่างไฟ LED Backlit
- F10 – เรียกโปรแกรม Snipping Tool มาใช้งาน
- F11 – คำสั่ง Home
- F12 – คำสั่ง End
- Insert – T-PAD ปิดหรือเปิดการทำงานทัชแพด
- Esc – Fn Lock สลับเลเยอร์ระหว่าง F1-F12 กับ Hotkeys


แป้นทัชแพดของ Alienware 16 Aurora จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก เว้นพื้นที่ระหว่างขอบบนล่างไว้ราว 1 ซม. ทั้งสองฝั่ง รองรับ Touch gesture ของ Windows 11 ครบถ้วน เวลาวางมือเล่นเกมแล้ว สันมือบริเวณแม่โป้งจะทาบริมแป้นเล็กน้อยแต่ไม่มีปัญหาว่าตัวแป้นตรวจจับการใช้งานผิดแล้วทำงานโดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ต้องการใช้ก็กด Fn+Insert เพื่อปิดการทำงานก็ได้
Connector, Thin & Weight






พอร์ตและการเชื่อมต่อของ Alienware 16 Aurora จะมีพอร์ตอยู่ด้านหลังและฝั่งซ้ายของเครื่อง ส่วนฝั่งขวามือจะมีแต่ช่องระบายความร้อนเท่านั้น ซึ่งแต่ละพอร์ตกับการเชื่อมต่อจะเป็นดังนี้
- ด้านหลังจากซ้าย – USB-A 3.2, USB-C 3.2 DisplayPort*2 (iGPU), HDMI 2.1, DC-in
- ด้านซ้ายจากซ้าย – RJ45 LAN, USB-A 3.2, Audio combo
- การเชื่อมต่อไร้สาย – Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be รองรับ Bluetooth 5.4
สังเกตว่าพอร์ตเชื่อมต่อของเครื่องนี้มีติดมาให้ครบเครื่อง เน้นให้พอร์ตด้านหลังเป็นแบบต่อทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน เช่น DC-in, HDMI 2.1 รวมถึง USB-C 3.2 DisplayPort คู่ด้วย แต่ควรสลับเอา LAN ไปใส่แทน USB-A ด้านหลังมากกว่า จะได้ร้อยเก็บสายได้สะดวกเป็นหมวดหมู่ยิ่งขึ้น
อีกจุดสังเกตเรื่องการต่อหน้าจอแยก ถึงจะต่อได้ 3 จอพร้อมกันก็จริง แต่พอร์ต USB-C จะเชื่อมเข้ากับ iGPU เรียกใช้งาน Intel Graphics แทน ไม่ใช่การ์ดจอ NVIDIA เหมือน HDMI ดังนั้นเวลาจะเลือกพอร์ตเพื่อต่อใช้งานให้เอาจอเล่นเกมไปเข้ากับ HDMI และให้จอเสริมอื่นๆ ไปพ่วงกับ USB-C แทน จะได้ใช้งานได้เหมาะกับความต้องการ
ถึงจะติดตั้งพอร์ต USB-C DisplayPort มาให้ 2 ช่องจะดีก็จริง แต่คาดหวังว่าทาง Dell จะให้พอร์ต Thunderbolt 4 มาสักช่องให้ชาร์จไฟด้วยพาวเวอร์แบงค์หรืออะแดปเตอร์ 100W ได้ด้วย จะได้ไม่ต้องพึ่งอะแดปเตอร์ DC ประจำตัวเสมอไป







น้ำหนักของ Alienware 16 Aurora บนตาชั่งวัดได้ 2.53 กก. ไล่เลี่ยกับ 2.47 กก. บนหน้าสเปค พอรวมอะแดปเตอร์ 180W เข้าไป 697 กรัมแล้ว จะมีน้ำหนักรวม 3.2 กก. มีความหนา 2.2-3 ซม. ด้วยน้ำหนักและขนาดตัวเครื่องใหญ่เช่นนี้ แนะนำว่าเวลาจะพกเครื่องไปไหนให้ใส่กระเป๋าเป้สำหรับโน๊ตบุ๊คขนาด 17 นิ้ว จะดีมากและแนะนำให้หารุ่นมีซับไหล่หนาสักนิด จะได้แบ่งเบาน้ำหนักเวลากดทับลงมาบนบ่าทั้งสองข้างไปได้พอสมควร
Inside & Upgrade






วิธีการอัปเกรด Alienware 16 Aurora เริ่มต้นจากขันน็อตหัวแฉก Philips Head ทั้ง 10 ดอกแล้ว ให้เอาการ์ดแข็งกรีดไล่กรอบรอบตัวเครื่องได้ทันที โดยจุดที่อัปเกรดได้จะมี RAM DDR5 ทั้งสองช่อง ซึ่งตั้งต้นมีความจุ 32GB มาให้พอใช้เล่นเกมได้แล้ว แต่ถ้าเพิ่มก็รองรับได้ถึง 96GB ตามสเปคของซีพียู ส่วน M.2 NVMe SSD มี 2 จุด โดยฝั่งขวาจะเป็นไดรฟ์หลักขนาด M.2 2242 และมีจุดรองรับน็อตเพื่อใส่ไดรฟ์ขนาดมาตรฐานอย่าง M.2 2280 ได้ทั้งสองฝั่งด้วย
Performance & Software




ซีพียูใน Alienware 16 Aurora เป็น Intel Core 9 270H แบบ 14 คอร์ 20 เธรด แยกเป็น 6 Performance-cores และ 8 Efficient-cores มีความเร็วสูงสุด 5.8 GHz รองรับชุดคำสั่งพื้นฐานต่างๆ ครบถ้วน จึงใช้งานกับโปรแกรมทำงานและเล่นเกมได้เป็นอย่างดี โดยตัวแล้วชิปเซ็ตนี้อยู่ในรหัสพัฒนา Raptor Lake นับเป็นตัวรองจาก Intel Core Ultra 200 Series ดังนั้นเรื่องกำลังประมวลผลต่อคอร์จะน้อยกว่าบ้าง แต่ในแง่การใช้งานจริงไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
RAM ตั้งต้นมีความจุ 32GB DDR5 บัส 5600MHz ค่า CL46 ผลิตจากโรงงานของ SK Hynix มีความจุมากพอให้ใช้ทำงานและเล่นเกมได้สบายมาก รองรับการอัปเกรดได้มากสุด 96GB DDR5 เท่าที่ซีพียู Intel รองรับได้

รุ่นสเปคสูงสุดจะได้จีพียู NVIDIA GeForce RTX 5070 มี VRAM 8GB GDDR7 ค่า TGP 85W มาให้ใช้งาน มีระบบ Dynamic Boost และ WhisperMode ไว้ให้ปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานระหว่างการ์ดจอแยกและออนบอร์ดได้โดยอัตโนมัติ มี CUDA 4608 Unified ไว้ประมวลผลกราฟิคต่างๆ ได้ดีขึ้น รองรับชุดคำสั่ง DirectX 12 API, OpenCL, OpenGL 4.6, CUDA, DirectCompute, DirectML, Vulkan, Ray Tracing ในตัว ยกเว้น PhysX ซึ่ง GeForce RTX 50 Series ไม่รองรับแล้วเท่านั้น

ชิ้นส่วนภายในเครื่องจากหน้า Device Manager จะเห็นว่า Alienware 16 Aurora มีชิป TPM 2.0 ติดตั้งมาให้เพื่อรักษาความปลอดภัย แต่ยังต้องพิมพ์รหัสผ่านเพื่อปลดล็อคเครื่องเท่านั้น ถ้ารุ่นต่อไปมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือหรือใบหน้าติดตั้งมาให้ก็จะดีกว่านี้

การเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be เป็นชิปของ MediaTek MT7925 หรือ MediaTek Filogic 360 รองรับ 4K-QAM, MLO, MRU และแบนด์วิดท์กว้าง 160MHz เชื่อมต่อ Wi-Fi 6 / 5 / 2.4 GHz ได้หมด เมื่อทดสอบกับเว็บไซต์ Speedtest by Ookla แล้ว จะมีความเร็ว Download 652.41 Mbps และ Upload 721.08 Mbps ถือว่าทำงานได้เร็วพอควร

M.2 NVMe SSD ความจุ 1TB ใน Alienware 16 Aurora รหัส SK Hynix PVC10 เป็น M.2 2242 นับเป็นไดรฟ์ขนาดเล็กกว่าขนาด M.2 2280 ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานในปัจจุบัน มีข้อดีว่าใช้พลังงานต่ำ อินเทอร์เฟสเป็น PCIe 4.0 x4 ใช้ชิป 3D V8 NAND ให้รับส่งข้อมูลได้รวดเร็ว แต่เวลาติดตั้งเกมหรือเก็บไฟล์งานเข้าไปเกิน 80% เมื่อไหร่ คอนโทรลเลอร์จะทำงานช้าลง ซึ่งสเปคจากโรงงานเทียบกับการทดสอบกับ CrystalDiskMark 9.0.1 แล้วได้ผลดังนี้
| สเปค / การทดสอบ | Read (MB/s) | Write (MB/s) |
| สเปคโรงงาน | 6,500 | 5,500 |
| Sequential | 6,557.24 | 1,672.66 |
| RND4K | 786.01 | 850.74 |





คะแนนจากการทดสอบเล่นเกมกับโปรแกรม 3DMark ทั้งหมด 5 แบบ จะเห็นว่าคะแนนของ Alienware 16 Aurora ก็ทำคะแนนในแต่ละการทดสอบได้ค่อนข้างดี โดยตัวของจีพียู NVIDIA GeForce RTX 5070 ก็ใช้เล่นเกมได้ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้านผลคะแนนจากการทดสอบแต่ละแบบจะเป็นดังนี้
- Fire Strike Ultra (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด UHD ใช้ DirectX 11 API) – คะแนนเฉลี่ย 7,656 คะแนน แยกเป็น Graphics score 7,430 คะแนน, Physics score 31,797 คะแนน, Combined score 4,007 คะแนน
- Time Spy (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด QHD ใช้ DirectX 12 API) – คะแนนเฉลี่ย 12,436 คะแนน แยกเป็น CPU score 12,198 คะแนน Graphics score 13,983 คะแนน
- Time Spy Extreme (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด UHD ใช้ DirectX 12 API) – คะแนนเฉลี่ย 5,839 คะแนน แยกเป็น CPU score 5,748 คะแนน Graphics score 6,417 คะแนน
- Solar Bay (ทดสอบการเรนเดอร์ Ray Tracing ว่ารันได้ดีต่อเนื่องหรือไม่ แต่ละ section การทดสอบจะเพิ่มรายละเอียดให้ใช้กำลังจีพียูมากขึ้น) – คะแนนเฉลี่ย 50,541 คะแนน, Graphics test 192.17 FPS / Section 1 ได้ 188.9 FPS / Section 2 ได้ 198.92 FPS / Section 3 ได้ 185.56 FPS
- Steel Nomad (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด UHD ใช้ DirectX 12 API) – คะแนนเฉลี่ย 2,565 คะแนน ได้ Graphics test 25.66 FPS


สเปคของ Alienware 16 Aurora ก็นับได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงพอให้เล่นเกมต่างๆ ได้ดีพอควร ถึงจะปรับตั้งค่ากราฟิคเอาไว้ระดับสูงสุดแล้วเล่นบนหน้าจอความละเอียด 2.5K ก็ยังได้เฟรมเรทเฉลี่ยเกิน 60 FPS แทบทุกเกม ยกเว้นเกมไหนต้องการแรมการ์ดจอ (VRAM) มากเป็นพิเศษ เช่น Monster Hunter Wilds จำเป็นต้องลด Texture จากระดับสูงสุดลงมาหนึ่งระดับ โดยประสบการณ์เล่นของแต่ละเกมเป็นดังนี้
- Red Dead Redemption II – ถึงจะเก่าแต่ถ้าปรับกราฟิคสูงสุดเมื่อไหร่ก็กินกำลังเครื่องมากพอตัว ข้อดีคือเกมนี้ยังไม่ได้ต้องการ VRAM มหาศาลและผ่านการ Optimize มาพอควรแล้ว ทำให้เวลาเล่นโดยไม่ใช้ NVIDIA DLSS ภาพก็ยังไหลลื่นดี ปรับเป็น DLSS Quality ภาพจะต่อเนื่องและเฟรมเรทเพิ่มขึ้น
- Monster Hunter Wilds – ตัวเกมขาดการ Optimize และใช้ VRAM มหาศาล เวลาปรับตั้งค่ากราฟิคสูงสุดเมื่อไหร่ ตัวเกมจะแจ้งว่า VRAM 8GB GDDR7 รองรับ Texture ระดับ Highest ไม่ไหว ถ้าเปิด NVIDIA DLSS อย่างเดียวไม่ใช้ Frame Generation ก็ยังเล่นได้บ้างแต่ไม่ลื่นไหล ต้องลด Texture ลงมาระดับ High และใช้ DLSS Quality กับ Frame Generation ช่วยกันถึงจะเล่นได้ ต้องรอผู้พัฒนาเกมปรับแต่งตัวเกมอีกพอควรถึงจะเล่นได้ดี
- God of War – ตัวเกมเล่นได้ลื่นไหลแม้ไม่เปิด NVIDIA DLSS ก็ตาม แต่ถ้าเปิดจะช่วยให้เฟรมเรทต่ำสุดลดลงไปไม่เยอะเวลาเจอ Texture ต้องประมวลผลหนักๆ และทำให้ภาพเวลาเล่นเกมไหลลื่นขึ้นมาก
- Black Myth: Wukong – ตัวเกมยังไม่ได้ Optimize ให้ดี ไม่ว่าจะใช้กำลังประมวลผลของจีพียูอย่างเดียวหรือเปิด DLSS Quality ก็ไม่ได้ช่วยเร่งเฟรมเรทเพิ่มมากนัก ยกเว้นว่าใช้ Frame Generation จึงจะเล่นได้ดีซึ่งตัวเกมก็แทบจะให้ผู้เล่นเปิดใช้เป็นค่ามาตรฐานอยู่แล้ว ถ้าไม่ซีเรียสว่าเป็นการเร่งเฟรมเรทด้วย AI ก็ไม่มีปัญหา กลับกันก็เป็นพฤติกรรมผักชีโรยหน้าของผู้พัฒนาเกมเช่นกันว่าไม่ Optimize เกมให้เล่นได้ดีโดยไม่ใช้ Upscalling
- Call of Duty: Modern Warfare II – ตัวเกมได้รับการ Optimize มาต่อเนื่องทำให้เล่นได้ดีแม้จะไม่ใช้ NVIDIA DLSS เสริมก็ตาม ถ้าใช้ก็ได้เฟรมเรทเพิ่มขึ้นและไม่เจอปัญหาเรื่อง Input Lag เวลาเล่นนัก เข้าปะทะเจอฉากระเบิดก็ไม่มีปัญหา
- Forza Horizon 5 – เปิดเล่นได้เป็นอย่างดี แม้จะเจอฉากมี Texture รายละเอียดมากก็ไม่มีปัญหา สามารถควบคุมรถได้รวดเร็วต่อเนื่อง แม้จะเจอแสงเงาหรือน้ำในฉากระหว่างแข่งอยู่ก็เล่นได้ดีมาก

ถ้าใครจะใช้ Alienware 16 Aurora ไว้ทำงานครีเอเตอร์ ตัดต่อภาพนิ่งและวิดีโอก็ได้เหมือนกัน จากการทดสอบกับ PCMark 10 โปรแกรมจำลองการทำงานได้คะแนนเฉลี่ย 7,124 คะแนน ด้านการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเปิดเว็บไซต์, ประชุมงานออนไลน์หรือทำงานเอกสารก็ไม่มีปัญหา เรื่องงานครีเอเตอร์จะเด่นตรงการตัดต่อภาพนิ่งและทำโมเดล 3D มาก ส่วนการตัดต่อวิดีโอ 4K ก็ได้เช่นกัน



ผลการทดสอบเรนเดอร์กราฟิคกับโปรแกรมตระกูล CINEBENCH ทั้ง 3 เวอร์ชั่น จะได้คะแนนการทดสอบดังนี้
- 2024 – ใช้ทดสอบประสิทธิภาพของซีพียูกับจีพียูอย่างหนักพร้อมกันโดยใช้เอนจิ้น Redshift สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนต์ ได้ CPU (Multi-Core) 916 pts และ CPU (Single Core) 108 pts
- R23 – ใช้ทดสอบพลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก มีความละเอียดและแม่นยำสูง ได้คะแนน Multi Core 16,493 pts และ Single Core อีก 1,618 pts
- R20 – ใช้ทดสอบกำลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก ได้คะแนน CPU 5,681 pts


ถ้าเน้นปั้นโมเดล 3D จะเห็นว่า Alienware 16 Aurora ก็เรนเดอร์โมเดลตัวอย่างออกมาได้เยอะพอควร ซึ่งผลการทดสอบกับ Blender Benchmark ว่าภายใน 1 นาที ซีพียูกับจีพียูจะเรนเดอร์โมเดลได้กี่ Sample ยิ่งทำได้มากยิ่งดี ก็จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
| Test / Sample (ยิ่งมากยิ่งดี) | Intel Core 9 270H | NVIDIA GeForce RTX 5070 |
| monster | 108 | 1,614 |
| junkshop | 73 | 903 |
| classroom | 51 | 879 |




การทดสอบกับโปรแกรมตระกูล Geekbench เพื่อเช็คว่าชิปเซ็ตใน Alienware เครื่องนี้มีประสิทธิภาพดีหรือไม่ เริ่มต้นจากซีพียูจะได้คะแนนดังนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าซีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบคำนวน vector integer ได้รวดเร็วหรือไม่ ถ้าเป็น Single-Core ทำได้ 2,953 คะแนน และ Multi-Core ได้ 15,116 คะแนน
- Geekbench ML ทดสอบด้วย ONNX CPU – ใช้ทดสอบว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นสามารถใช้งานโปรแกรม Machine Learning ได้ดีหรือไม่ ในส่วนนี้ทำได้ 3,938 คะแนน
- Geekbench AI – คำนวณว่าซีพียูสามารถรันการทำงานกับโปรแกรม AI ต่างๆ ได้แม่นยำหรือรวดเร็วหรือไม่ แบ่งเป็น Single Precision เน้นความเที่ยงตรง, Half precision เน้นความเร็วมากขึ้นและลดความแม่นยำลง และ Quantized Score เน้นความเร็วแต่ไม่แม่นยำนัก
- ONNX ได้คะแนน Single Precision 4,109 คะแนน, Half precision 1,602 คะแนน และ Quantized Score 7,593 คะแนน
- OpenVINO ได้ Single Precision 4,542 คะแนน, Half precision 4,206 คะแนน และ Quantized Score 10,034 คะแนน





จีพียู Intel Graphics จะได้คะแนนดังนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าจีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- OpenCL, Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบ vector integer ด้วย OpenCL framework ทำได้ 16,423 คะแนน
- Vulkan, Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบคำนวน vector integer ด้วย Vulkan framework ทำได้ 126,964 คะแนน
- Geekbench ML ทดสอบด้วย ONNX DirectML – ใช้ทดสอบว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นสามารถใช้งานโปรแกรม Machine Learning ได้ดีหรือไม่ ในส่วนนี้ทำได้ 2,544 คะแนน
- Geekbench AI ทดสอบว่าสามารัน AI ได้ดีหรือไม่
- ONNX DirectML – Single Precision 3,252 คะแนน, Half precision 3,232 คะแนน และ Quantized Score 1,989 คะแนน
- OpenVINO – Single Precision 5,220 คะแนน, Half precision 7,078 คะแนน และ Quantized Score 10,786 คะแนน




สุดท้ายเป็น NVIDIA GeForce RTX 5070 จะได้คะแนนจากการทดสอบแต่ละแบบดังนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าจีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- OpenCL, Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบคำนวน vector integer ด้วย OpenCL framework ทำได้ 130,250 คะแนน
- Vulkan, Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบคำนวน vector integer เป็นหลักด้วย Vulkan framework ทำได้ 21,844 คะแนน
- Geekbench ML ทดสอบด้วย ONNX DirectML – ใช้ทดสอบว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นสามารถใช้งานโปรแกรม Machine Learning ได้ดีหรือไม่ ในส่วนนี้ทำได้ 15,714 คะแนน
- Geekbench AI ทดสอบว่าสามารัน AI ได้ดีหรือไม่
- ONNX DirectML – Single Precision 19,894 คะแนน, Half precision 36,663 คะแนน และ Quantized Score 15,443 คะแนน
โดยสรุปแล้ว Alienware 16 Aurora ก็มีประสิทธิภาพดีพอให้เกมเมอร์ที่ชื่นชอบแบรนด์นี้ซื้อไว้ใช้เล่นเกมต่างๆ ได้ลื่นไหล เหมาะกับการเล่นเกมบนความละเอียด Full HD มาก หรือจะขึ้นมาเป็น QHD ก็ดี แต่เพราะมี VRAM 8GB GDDR7 เท่านั้น จึงปรับ Texture ในเกมได้ระดับ High และ Ultra ในบางเกมเท่านั้น ถ้ามากเกินไปก็จะกินกำลังประมวลผลจนเฟรมเรทตกได้และควรใช้ NVIDIA DLSS กับ Frame Generation ร่วมกันถึงจะเล่นได้ไหลลื่น
กรณีเป็นโน๊ตบุ๊คทำงานครีเอเตอร์ ด้วยซีพียู Intel Core 9 กับ NVIDIA GeForce RTX 5070 ก็ใช้งานได้ค่อนข้างดี สามารถตัดต่อคลิปความละเอียดสูง 4K ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าใส่เอฟเฟคเข้าไปอาจจะต้องใช้เวลาเรนเดอร์อยู่บ้าง ส่วนงานปั้นและพรีวิวโมเดล Blender ก็ทำได้เช่นกัน












ถ้าจะดึงประสิทธิภาพหรือปรับแต่ง Alienware 16 Aurora ให้ทำงานได้ดีขึ้น จะมีโปรแกรม Alienware Command Center ให้ปรับแต่งฟังก์ชั่นต่างๆ ไม่ว่าจะมาโคร M1-M3, เซ็ตโปรไฟล์, เปิดฟังก์ชั่น Overlay ไปจนปรับโหมดโดยรวมของตัวเครื่องก็ได้ รวมถึงระบบอัปเดตเฟิร์มแวร์ได้ด้วย แนะนำว่าใครซื้อไปใช้งานก็ให้ทดลองใช้และปรับแต่งตัวเครื่องด้วยโปรแกรมนี้เป็นระยะๆ จะช่วยดึงศักยภาพตัวเครื่องออกมาได้ดีขึ้น
Battery & Heat & Noise

แบตเตอรี่ของ Alienware 16 Aurora เป็นแบบลิเธียมไอออน ความจุ 96Whr ไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งระดับเรือธงของแบรนด์ชั้นนำในปัจจุบัน มากพอให้ใช้งานโดยไม่ต้องต่อสายชาร์จได้นานหลายชั่วโมง

ระยะเวลาใช้งานตามเกณฑ์การทดสอบ โดยลดความสว่างหน้าจอเหลือ 50% เปิดเสียงลำโพงเพียง 10% ใช้โหมดประหยัดพลังงานของ Alienware Command Center และใช้ Microsoft Edge ดูคลิป YouTube นาน 30 นาที จะใช้งานได้นาน 4 ชม. 48 นาที พอให้พกเข้าห้องประชุมหรือเลคเชอร์ได้อย่างแน่นอนแต่จะอยู่ได้ไม่จบวัน ดังนั้นควรมีอะแดปเตอร์ 180W ของ Alienware 16 Aurora ติดกระเป๋าเวลานำเครื่องติดตัวไปไหนหรือตั้งใช้งานในออฟฟิศก็ตาม





ระบบระบายความร้อนของ Alienware 16 Aurora เป็นระบบ Cyro-Tech ของทางบริษัทซึ่งเป็น Cyro-Chamber ข้อดีของระบบนี้คือระบายความร้อนดีมากและตัวเครื่องเวลาทำงานเต็มกำลัง จะมีเสียงพัดลมค่อนข้างเบา จะเห็นว่าตัวเพลตประกบชิปเซ็ตจะมีขนาดใหญ่และมีฮีตไปป์ 3 เส้น นำความร้อนไปยังฮีตซิ้งค์ 4 ช่องหน้าพัดลมโบลวเวอร์คู่ แม้ชุดระบายความร้อนจะไม่เยอะมากนัก แต่ก็ระบายความร้อนได้ดี







ยิ่งเช็คจากเลเซอร์วัดอุณหภูมิหรือกล้องอินฟาเรด จะเห็นว่าอุณหภูมิพื้นผิวเครื่องสูงสุดราว 35 องศาเซลเซียสเท่านั้น แม้แต่ช่องระบายความร้อนด้านหลังเครื่องตอนทำงานเต็มกำลังยังอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่วนภายในเครื่องเมื่อเช็คผ่านทาง CPUID HWMonitor จะเห็นว่าซีพียูมีอุณหภูมิสูงสุดแตะ 100 องศาเซลเซียสก็จริง แต่ขึ้นไปแตะเพียงไม่นานก็กลับลงมาอยู่ในช่วงอุณหภูมิ 85-95 องศาเซลเซียสเท่านั้น โดยแต่ละส่วนจะมีอุณหภูมิดังนี้
| อุณหภูมิ / ชิ้นส่วน | อุณหภูมิสูงสุด (เซลเซียส) | อุณหภูมิต่ำสุด (เซลเซียส) |
| CPU (Package) | 36 | 100 |
| CPU (P-Cores) | 35 | 100 |
| CPU (E-Cores) | 39 | 100 |
| GPU (Chipset) | 33.5 | 67.3 |
| GPU (Memory) | 36 | 64 |
| RAM (1) | 30.5 | 63.8 |
| RAM (2) | 30 | 49.8 |
| SSD | 28 | 52 |


เสียงของชุดระบายความร้อน Cyro-Tech เวลาทำงานเต็มกำลังก็ยังพอได้ยินเสียง แต่ไม่รบกวนผู้ใช้เกินไปนัก วัดเสียงจากด้านหน้าเครื่องจะมีความดังราว 56dB และด้านหลังเครื่องตรงหน้าช่องระบายความร้อนได้ 65dB เทียบแล้วเสียงจะพอกับความดังของมนุษย์คุยกันตามปกติเท่านั้น ในฐานะเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คถือว่าเสียงไม่ดังเกินไปใช้งานเต็มประสิทธิภาพก็ไม่รบกวนผู้อื่นมากนัก
User Experience

แค่ได้ยินชื่อ Alienware เกมเมอร์หลายคนก็เฝ้าฝันอยากเป็นเจ้าของสักครั้ง เช่น Alienware 16 Aurora รุ่นนี้ซึ่งตั้งราคามาเข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น โดยรุ่นเรือธงสเปคสูงสุดในรีวิวนี้ก็มีราคาเพียง 85,990 บาทเท่านั้น แลกกับดีไซน์ซึ่งเรียบง่ายลงไปมากและมีโลโก้ Alienware ตรงฝาหลังจุดเดียว, ไฟคีย์บอร์ดเป็น LED Backlit สีขาวสีเดียว ทำให้แฟนคลับแบรนด์นี้ตั้งแต่อดีตจะรู้สึกผิดจากที่คิดไปบ้าง แต่ก็ยังนำมาใช้งานได้โดยไม่เป็นเป้าสายตาเกินไปด้วย
ด้านสเปครุ่นสูงสุดเป็น Intel Core 9 270H จับคู่ NVIDIA GeForce RTX 5070 และได้ RAM 32GB DDR5 กับ SSD 1TB ตั้งต้นมาก็พอให้เล่นเกมบนจอความละเอียด QHD ได้แล้ว จากการทดลองเล่นมาหลายๆ เกมแล้ว ซีพียูมีกำลังประมวลผลดีพอให้รันเกมเน้นใช้กำลังซีพียู (CPU Intensive) ได้สบายแม้จะไม่ใช่ Intel Core Ultra 200 Series เหมือนรุ่นเรือธงจากแบรนด์อื่นก็ตาม กลับกันจุดสังเกตคือจีพียู NVIDIA GeForce RTX 5070 ซึ่งมี VRAM 8GB GDDR7 ทำให้ปรับกราฟิคในเกมได้ระดับ High เสียเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเกมไหนไม่ได้ Optimize ให้ดี เช่น Monster Hunter Wilds, Black Myth: Wukong ระบบจะฟ้องทันทีว่าอาจจะรันได้ไม่ลื่นไหลและแนะนำให้ปรับกราฟิคลง แถมต้องพึ่ง NVIDIA DLSS กับ Frame Generation ร่วมด้วย ซึ่งปัญหานี้เกิดจากพฤติกรรมของเกมที่ปรับแต่งการใช้ทรัพยากรมาได้ไม่ดี ภาระจึงตกกับฮาร์ดแวร์ของเกมเมอร์โดยปริยาย กลับกันถ้าเล่นเกมอื่นซึ่งผู้พัฒนาใส่ใจเรื่องการปรับแต่งตัวเกมให้เข้ากับฮาร์ดแวร์ได้หลากหลายสเปคแล้ว ก็เล่นบนจอ QHD ได้โดยไม่มีปัญหากวนใจ เผลอๆ บางครั้งก็ไม่ต้องเปิด NVIDIA DLSS เสริมด้วยซ้ำ จึงต้องตั้งคำถามว่าปัญหาอยู่ตรงสเปคของคอมหรือผู้พัฒนาเกมมากกว่า?

ข้อดีของจีพียู NVIDIA GeForce RTX 50 Series อย่าง Multi Frame Generation แม้เกมเมอร์บางคนจะไม่อยากใช้เพราะกลัวจะเจอปัญหา Input Lag เวลากดเมาส์รัวคีย์บอร์ดแล้วเครื่องตอบสนองไม่ทันมือเรา ก็มี NVIDIA Reflex เข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว ซึ่งตอนทดสอบเล่นโดยเปิด 4X Frame Generation อยู่ก็ยังเล่นได้ต่อเนื่องตามปกติ ไม่เจอปัญหาอย่างที่ใครๆ กลัวแม้แต่น้อย ดังนั้นถ้ามีฟีเจอร์ให้เปิดก็ใช้ดีกว่า เพราะทางบริษัทก็แก้ปัญหาที่หลายคนห่วงเอาไว้ล่วงหน้าหมดแล้ว
กลับกัน สิ่งที่คิดว่าทาง Dell ยังทำให้ Alienware 16 Aurora น่าเสียดายมีอยู่พอควร ทั้งดีไซน์องค์รวมเหมือนกับโน๊ตบุ๊คทำงานเกินไปเป็นประเด็นแรก ประกอบกับคีย์บอร์ดถึงจะมีลูกเล่นอย่างปุ่มมาโคร M1-M3 รวมถึงปุ่ม High Performance mode ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นเรือธงในยุคนี้มีให้ใช้เป็นมาตรฐาน และยังขาดองค์ประกอบสำคัญ เช่น ปุ่ม Win Lock รวมไปถึงไฟคีย์บอร์ดแบบ 24-Zone หรือ Per-Key RGB ซึ่งเกมเมอร์ยุคนี้ส่วนใหญ่คาดหวังให้มีติดมาเป็นอุปกรณ์พื้นฐานด้วยซ้ำ ดังนั้นการทำให้โน๊ตบุ๊คเกมมิ่งดีไซน์ล้ำสมัยไปหลายช่วงตัวกลับมาเป็นโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งหน้าตาธรรมดาแล้วปรับราคาให้เข้าถึงง่ายขึ้นอาจไม่ค่อยมีแรงดึงดูดความสนใจมากนัก เป็นการบ้านที่ Alienware ต้องตีโจทย์ให้แตกว่ารุ่นต่อไปควรเพิ่มฟีเจอร์อะไรเข้ามาเพื่อให้โน๊ตบุ๊คเกมมิ่งมีความล้ำสมัยเหมือนวิทยาการจากมนุษย์ต่างดาวให้สมชื่อแบรนด์ตัวเองยิ่งขึ้น


หากใครสนใจและต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการรับประกันและโน๊ตบุ๊ค Alienware รุ่นย่อยอื่นๆ สามารถเพิ่มเพื่อนใน Line กับทาง SVOA เพื่อสอบถามข้อมูลได้ จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการทั้งก่อนและหลังการขายให้เจ้าของ Alienware 16 Aurora ใช้งานได้อย่างอุ่นใจยิ่งขึ้น
Conclusion & Award

ถ้าใครหวังจะได้เป็นเจ้าของโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งรุ่นเรือธงของ Dell สักเครื่องโดยราคาไม่แรงเกินไป ได้สเปคดีพอจะใช้ทำงานและเล่นเกมได้ด้วย ก็มี Alienware 16 Aurora รุ่นล่าสุดนี้ให้เลือกซื้อได้ ถ้าเอาราคาเป็นตัวตั้งก็เป็นครั้งแรกที่แบรนด์นี้ปรับราคาซีรีส์เรือธงให้ราคาถูกลงจนเข้าถึงได้ง่ายในช่วงราคาหลักหมื่นกลางถึงปลายเท่านั้น ทั้งที่เมื่อก่อนต้องเตรียมเงินหลักแสนบาทรอไว้ถึงจะเป็นเจ้าของได้ และแม้จะซื้อรุ่นรองลงมาก็ยังได้ประกัน Alienware Care ดูแลหลังการขายมีปัญหาก็เข้ามาดูแลแบบ Onsite service เหมือนกัน มีโปรแกรม Alienware Command Center ไว้ปรับแต่งดึงศักยภาพให้มันทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน หากใครอยากลองเป็นเจ้าของโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกสักครั้ง นี่ก็เป็นโอกาสที่น่าสนใจ
Award

เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ค Alienware ปกติแล้วราคาจะสูงถึงหลักแสนบาท แต่ Alienware 16 Aurora มีราคาเริ่มต้นเพียง 50,990 บาท ไปถึง 85,990 บาท เท่านั้น หากเทียบกับในอดีตก็เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นมาก
Gallery















