
Apple เดินหน้าลงทุนในสายการผลิตในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ประกาศทุ่มเงินกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 18,200 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อแม่เหล็กหายาก (rare earth magnets) ที่ผลิตภายในประเทศ โดยจะมาจากบริษัท MP Materials ซึ่งมีโรงงานหลักตั้งอยู่ที่เมืองฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเท็กซัส
ขยายโรงงานในเท็กซัส รองรับผลิตภัณฑ์ Apple โดยเฉพาะ
MP Materials ถือเป็นผู้ผลิตแร่หายากแบบครบวงจรรายเดียวในสหรัฐอเมริกา และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในลาสเวกัส โดยภายใต้ข้อตกลงร่วมครั้งนี้ จะมีการขยายโรงงานในรัฐเท็กซัสเพิ่มเติม พร้อมติดตั้งสายการผลิตแม่เหล็กชนิดนีโอไดเมียม (Neodymium Magnets) หลายสาย เพื่อผลิตชิ้นส่วนสำหรับอุปกรณ์ Apple โดยเฉพาะ
แม่เหล็กนีโอไดเมียมถูกใช้งานในหลากหลายผลิตภัณฑ์ เช่น iPhone, Apple Watch, Mac และ iPad ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำงานของชิ้นส่วนสำคัญ เช่น Taptic Engine ที่ให้การตอบสนองแบบสั่น และระบบลำโพงภายในเครื่อง
เดินหน้าใช้วัสดุรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กของผลิตภัณฑ์
Apple เริ่มใช้ธาตุหายากรีไซเคิลครั้งแรกในปี 2019 กับ iPhone 11 และปัจจุบัน บริษัทได้ใช้วัสดุรีไซเคิล 100% สำหรับแม่เหล็กในอุปกรณ์เกือบทุกรุ่นแล้ว โดยมีระบบรีไซเคิลที่ล้ำหน้า เช่น หุ่นยนต์ “Daisy” ซึ่งสามารถแยกชิ้นส่วน iPhone ได้ถึง 200 เครื่องต่อชั่วโมง และหุ่นยนต์ “Dave” ที่ออกแบบมาเพื่อแยกชิ้นส่วน Taptic Engine โดยเฉพาะ เพื่อดึงทังสเตนและเหล็กกลับมาใช้งานใหม่
ตั้งโรงงานรีไซเคิลใหม่ในแคลิฟอร์เนีย ร่วมพัฒนาแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง
อีกหนึ่งไฮไลต์ของการร่วมมือในครั้งนี้คือ Apple และ MP Materials จะร่วมกันสร้างโรงงานรีไซเคิลแร่หายากแห่งใหม่ที่เมือง Mountain Pass รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาสายการผลิตวัสดุแม่เหล็กใหม่จากขยะอิเล็กทรอนิกส์และเศษวัสดุอุตสาหกรรม โดยจะเน้นการใช้วัตถุดิบที่รีไซเคิลแล้วมาผลิตแม่เหล็กที่ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานของ Apple ทั้งในด้านประสิทธิภาพและดีไซน์
Apple เปิดเผยว่าการร่วมมือกับ MP Materials นั้นเริ่มต้นมาตั้งแต่ 5 ปีก่อนแล้ว เพื่อวิจัยเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง และในวันนี้ก็พร้อมจะผลักดันไปอีกขั้นด้วยการสร้างสายการผลิตที่สามารถนำวัสดุรีไซเคิลกลับมาใช้งานได้จริงในผลิตภัณฑ์ของตน
ส่วนหนึ่งของแผนลงทุนใหญ่ในสหรัฐ มูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์
ดีลการจัดซื้อแม่เหล็กหายากในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนมูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 18 ล้านล้านบาท) ที่วางแผนจะใช้ในช่วง 4 ปีข้างหน้า เพื่อสนับสนุนการผลิตในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่บริษัทได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าสินค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้
การย้ายฐานการผลิตและซัพพลายเชนกลับเข้าประเทศ (reshoring) จึงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และภาษีนำเข้า ซึ่งครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในการลงทุนระยะยาวเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับห่วงโซ่อุปทานของบริษัท
ที่มา: Neowin





