Alienware Aurora Gaming Desktop สุดยอดเกมมิ่งพีซีในฝันของเกมเมอร์หลายคน หน้าตาเรียบง่ายลงแต่ทรงพลังกว่าเดิม!!

ถ้าพูดถึง Alienware เมื่อไหร่ เกมเมอร์ส่วนใหญ่ก็คงคิดถึงสุดยอดพีซีของเกมเมอร์ทั้งดีไซน์ภายนอกและสเปคภายในสุดทรงพลัง อย่าง Alienware Aurora Gaming Desktop ใหม่ ราคา 153,500 บาทนี้ก็เช่นกัน ภายในกล่องตัวเครื่องสีดำสนิทติดปุ่ม Power หน้ามนุษย์ต่างดาวนั้นรวมเอาชิ้นส่วนสุดทรงพลังต่างๆ มาไว้ด้วยกัน ทั้ง Intel Core Ultra 200 Series กับ NVIDIA GeForce RTX 50 Series ที่เกมเมอร์หมายตาอยากเป็นเจ้าของเพื่อให้เล่นเกมชั้นนำในยุคนี้ได้ไหลลื่นบนหน้าจอความละเอียดสูง 4K ได้สบายๆ แล้ว ก็ได้พาเวอวร์ซัพพลายขนาดเล็ก SFF กำลังไฟ 1000W 80+ Platinum เป็นแหล่งพลังงานให้ทั้งเครื่องแสดงประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่
ถ้ามีแค่ซีพียูกับจีพียูอย่างเดียวก็คงไม่ได้ บนเมนบอร์ด Intel Z890 มี RAM 64GB DDR5, M.2 NVMe SSD ความจุ 2TB ติดตั้ง Windows 11 Home และ Microsoft Office Home 2024 มาให้พร้อมพอร์ตใช้งานติดตั้งมาให้ครบเครื่อง นับว่าเหลือเฟือจนไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องการอัปเกรดเลยก็ยังได้ แต่ถ้าจะทำก็สะดวกมากด้วยไขควงเพียงด้ามเดียวแล้วยังเติมเสริมได้อีกมาก นอกจากเล่นเกมแล้วมันก็เหมาะจะเป็นพีซีเพื่อคนทำงานสเกลใหญ่เช่นกัน

NBS Verdicts

ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาและไม่อยากมานั่งประกอบเกมมิ่งพีซีเอง จะซื้อ Alienware Aurora Gaming Desktop มาเล่นเกมเลยก็เป็นทางลัดง่ายๆ ได้ผลลัพธ์ว่าเจ้าของได้เล่นเกมอย่างมีความสุขหรือจะใช้ทำงานหนักก็ได้สบายๆ ถึงเทียบราคากับคอมประกอบเลือกสเปคเองจะแพงกว่าระดับหนึ่งแต่อย่าลืมว่าเครื่องนี้ได้ประกัน Alienware Care ดูแล 3 ปีเต็ม ไม่ต้องกลุ้มตอนมีปัญหา เพียงยกสายโทรหาผู้เชี่ยวชาญให้มาดูแล ช่วยตรวจสอบแก้ปัญหาและจัดการซ่อมเคลมแต่ละชิ้นส่วนให้หมด ไม่ต้องเป็นธุระเอาของไปส่งเคลมเดินเรื่องเองให้เสียอารมณ์เหมือนเกมเมอร์คอมประกอบเลย มั่นใจว่าใครๆ ก็คงอยากได้ประกันแบบนี้อยู่แน่นอน
เรื่องสเปคและความแรงทรงพลังไม่ใช่ปัญหา ทั้งซีพียู Intel Core Ultra 9 285K และจีพียู NVIDIA GeForce RTX 5080 พร้อม M.2 NVMe SSD 2TB และ RAM 64GB DDR5 เท่านี้ก็เล่นเกมชั้นนำปรับกราฟิคสูงสุดบนหน้าจอความละเอียด 4K ได้สบาย ชอบพลังดิบก็เล่นได้หรือใช้พลัง AI ผสาน NVIDIA Reflex ให้ภาพลื่นเกินค่า Refresh Rate ก็ว่าไปตามสะดวกหรือจะใช้สร้างผลงานใหม่ๆ ก็ทำได้สบายมากและยังอัปเกรดเพิ่มหน่วยความจำได้อีก
ในฐานะคนประกอบเกมมิ่งพีซีด้วยตัวเอง แม้ตัวเคส Alienware Aurora Gaming Desktop จะเรียบง่ายไม่ดึงดูดสายตาเหมือนในอดีต แต่ยังมีวงแหวน RGB ติดมาหน้าช่องนำอากาศเข้าให้ดูโดดเด่นสวยงามอยู่และสังเกตจะเห็นว่า DELL ใส่ใจเรื่องรายละเอียดแต่ละส่วนได้ดีมาก ตั้งแต่พัดลมหน้าเครื่องเป่าตรงการ์ดจอโดยเฉพาะ เสริมคานยกตัวการ์ดป้องกันแผ่น PCB บิดงอมาให้เป็นพิเศษ ส่วนสาย 12VHPWR ถูกดีไซน์ใหม่ด้วยบริษัทผู้สร้างสายเชื่อมต่อให้เครื่องมือเครื่องจักรชั้นนำของโลกอย่าง Amphenol ผลิตให้และทดสอบอย่างเข้มข้นตามมาตรฐานของ DELL ว่าตัวสายจะไม่ก่อปัญหาให้เจ้าของต้องกลุ้มใจ

ข้อสังเกตของ Alienware Aurora ไม่ได้อยู่ตรงดีไซน์เคสเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่เป็นพาวเวอร์ซัพพลายแบบ SFF และจากการทดสอบของ DELL แนะนำให้ใช้แค่ NVIDIA GeForce RTX 5080 หรือเทียบเท่าเท่านั้น อิงกับข้อมูลของ NVIDIA แล้ว ตัวการ์ดต้องการกำลังไฟ 360W และ NVIDIA แนะนำให้ใช้พาวเวอร์ซัพพลายเป็นแบบ 850W ขึ้นไป ถ้าเปลี่ยนเป็น NVIDIA GeForce RTX 5090 ซึ่งใช้ไฟ 575W และควรใช้พาวเวอร์ซัพพลาย 1000W อาจมีปัญหากระแสไฟไม่พอและอาจมีปัญหาตามมาได้ ถ้ามองตามการใช้งาน GeForce RTX 5080 ก็ทรงพลังและเล่นเกมบนหน้าจอความละเอียด 4K ได้สบายแล้ว อาจเอาเงินส่วนนั้นไปเพิ่ม M.2 NVMe SSD กับ 3.5″ SATA III Harddisk น่าจะคุ้มค่ากว่า
อีกเรื่องคือ เมาส์และคีย์บอร์ดแถมในกล่อง Alienware Aurora เป็นรุ่นแถมมาพร้อมคอมทำงานของ DELL ซึ่งไม่สมกับเกมมิ่งพีซีระดับเรือธงแบบนี้ คาดว่าน่าจะแถมมาให้เกมเมอร์เซ็ตอัพเครื่องแล้วเอาเกมมิ่งเกียร์ส่วนตัวต่อใช้งานแทน ส่วนตัวอยากเสนอให้ทำโปรโมชั่นซื้อเครื่องแล้วแลกซื้อเมาส์คีย์บอร์ดเกมมิ่งของ Alienware ในราคาพิเศษให้เกมเมอร์ได้ใช้สินค้าในเครือเพิ่มขึ้นก็น่าจะดี
ข้อดีของ Alienware Aurora Gaming Desktop
- ซีพียูเป็น Intel Core Ultra 9 285K มีประสิทธิภาพสูงใช้เล่นเกมได้เยี่ยม
- ซีพียูติดตั้งชุดระบายความร้อนด้วยน้ำ 2 ตอนจาก Alienware มาให้ คุมอุณหภูมิได้ดี
- จีพียู NVIDIA GeForce RTX 5080 เหมาะกับการเล่นเกมชั้นนำทุกเกมในยุคนี้
- การ์ดจอมีคานค้ำการ์ดจอขนาดใหญ่ติดมาให้แข็งแรง แผ่น PCB ไม่งอแน่นอน
- สาย 12VHPWR ผลิตด้วยบริษัท Amphenol ใช้งานได้ดีไม่มีปัญหา
- ติดตั้ง Windows 11 Home, Microsoft Office Home 2024 มาให้พร้อมใช้งาน
- มีหน่วยความจำ M.2 NVMe SSD 2TB, RAM 64GB DDR5 ติดตั้งมาให้
- เพิ่มความจุ SSD ได้รวมช่องหลักเป็น 2 ช่อง รองรับความจุรวม 8TB
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้รวดเร็วและเสถียรด้วย Wi-Fi 7 รองรับ Bluetooth 5.4
- พอร์ต LAN เป็น Intel Killer E3100G เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้รวดเร็ว ค่า Ping ต่ำ
- ซอฟท์แวร์ Alienware Command Center ใช้ตั้งค่าตัวเครื่องกับเกมต่างๆ ได้ง่าย
- ประกัน Alienware Care ดูแลทั้งตัวเครื่องยาวนาน 3 ปี ใช้งานได้สบายใจ
- เปิดฝาอัปเกรดได้ง่าย เพียงขันน็อต 1 ตัวและดึงสลักก็เปิดได้ทันที
ข้อสังเกตของ Alienware Aurora Gaming Desktop
- พาวเวอร์ซัพพลาย 1000W แบบ SFF ควรใช้กับ NVIDIA GeForce RTX 5080 เท่านั้น
- ควรแถมเมาส์และคีย์บอร์ดเกมมิ่งของ Alienware มาให้แทนรุ่นพื้นฐานของ DELL
- ควรเพิ่มพอร์ต USB-A 3.2 บน Back I/O Panel ให้อีก 2~4 ช่อง จะได้ต่ออุปกรณ์เพิ่มได้
รีวิว Alienware Aurora Gaming Desktop
- Specification
- Design & Ports
- Internal & Upgrade
- Performance
- User Experience
- Conclusion & Award
- Gallery
Specification

Alienware Aurora Gaming Desktop ยังคงเป็นเกมมิ่งพีซีในฝันของเกมเมอร์หลายๆ คนอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งแรงทรงพลังพร้อมเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด 4K ปรับกราฟิคสูงสุดทุกรายการ แถมดีไซน์ตัวเครื่องสวยกะทัดรัดกว่าเดิมจึงหาจุดวางเครื่องได้ง่ายขึ้นลงตัวกว่าเดิมไม่ว่าจะเน้นซื้อมาใช้งานและแต่งโต๊ะคอมก็ดูสวยไม่เหมือนใคร ซึ่งสเปครุ่นวางจำหน่ายในประเทศไทยจะมี 2 รุ่นดังนี้
Spec | Alienware Aurora Gaming Desktop – CAD1250U701 | Alienware Aurora Gaming Desktop – CAD1250U903 (เครื่องรีวิว) |
CPU | Intel® Core™ Ultra 7 265KF แบบ 20 คอร์ 20 เธรด (8P+12E) ความเร็วสูงสุด 5.5 GHz | Intel® Core™ Ultra 9 285K แบบ 24 คอร์ 24 เธรด (8P+16E) ความเร็วสูงสุด 5.7 GHz |
CPU Cooling | 240mm Liquid-Cooled CPU | 240mm Liquid-Cooled CPU |
Motherboard | Intel Z890 | Intel Z890 |
GPU | NVIDIA GeForce RTX 4060 Ti VRAM 8GB GDDR6 | NVIDIA GeForce RTX 5080 VRAM 16GB GDDR7 |
Storage | M.2 NVMe SSD 1TB อัปเกรดเพิ่มได้ 1 ช่อง รองรับความจุสูงสุดรวม 8TB (4TB*2) 3.5″ SATA III Harddisk*1 | M.2 NVMe SSD 2TB อัปเกรดเพิ่มได้ 1 ช่อง รองรับความจุสูงสุดรวม 8TB (4TB*2) 3.5″ SATA III Harddisk*1 |
Memory | 32GB DDR5 5200 MT/s (16GB*2) | 64GB DDR5 5200 MT/s (32GB*2) |
Power Supply | SFF 1000W 80+ Platinum | SFF 1000W 80+ Platinum |
Connectivity | ด้านหน้า USB-A 3.2 Gen1 (5 Gbps)*2 USB-A 3.2 Gen1 (5 Gbps) PowerShare*1 USB-C 3.2 Gen2 (10 Gbps) PowerShare*1 Audio combo*1 ด้านหลัง USB-C 4.0 (20 Gbps)*1 USB-C 3.2 Gen2 (10 Gbps)*1 USB-A 3.2 Gen1 (5 Gbps)*2 USB 2.0*2 LAN RJ45 Killer E3100G 2.5GbE*1 Line in*1 Line out*1 SPDIF Digital (TOSLINK)*1 Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be Bluetooth 5.4 | ด้านหน้า USB-A 3.2 Gen1 (5 Gbps)*2 USB-A 3.2 Gen1 (5 Gbps) PowerShare*1 USB-C 3.2 Gen2 (10 Gbps) PowerShare*1 Audio combo*1 ด้านหลัง USB-C 4.0 (20 Gbps)*1 USB-C 3.2 Gen2 (10 Gbps)*1 USB-A 3.2 Gen1 (5 Gbps)*2 USB 2.0*2 LAN RJ45 Killer E3100G 2.5GbE*1 Line in*1 Line out*1 SPDIF Digital (TOSLINK)*1 Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be Bluetooth 5.4 |
Software | Windows 11 Home Mcirosoft Office Home 2024 Microsoft 365 Basic 1 ปี | Windows 11 Home Mcirosoft Office Home 2024 Microsoft 365 Basic 1 ปี |
Warranty | Alienware Care 3 ปี Premium Support แบบ Onsite service / Retail | Alienware Care 3 ปี Premium Support แบบ Onsite service / Retail |
Price | 83,990 บาท ช่องทางจัดจำหน่าย iTrinity อาจมีตัวแทนจำหน่ายเจ้าอื่นในอนาคต | 153,500 บาท ช่องทางจัดจำหน่าย iTrinity อาจมีตัวแทนจำหน่ายเจ้าอื่นในอนาคต |
Design & Ports








ถ้าใครเป็นแฟนคลับของ Alienware มาอย่างยาวนานมักจะติดภาพเคสคอมดีไซน์หลุดอวกาศ รูปร่างแปลกไม่เหมือนใครมาตลอด แต่ Alienware Aurora Gaming Desktop โมเดลปี 2025 จะดูเรียบง่ายกว่ารุ่นก่อน เป็นสีดำ “Basalt Black” มีไฟ RGB Loop ติดไว้กรอบหน้าเคสฝั่งซ้ายของเคส ติดโลโก้เอเลี่ยนพร้อมไฟ RGB และเป็นปุ่ม Power เอาไว้มุมบนขวาเหนือเซ็ตพอร์ตด้านหน้าเครื่อง ด้านล่างตรงข้ามกันเป็นสติกเกอร์ Intel Core Ultra 9 อีกชิ้นเท่านั้น
กรอบด้านขวาเคสซึ่งปกติจะไม่ได้รับความสนใจนักจะติกสติกเกอร์รับประกัน Alienware Care ไว้ ถัดลงมาตรงกลางเคสปั๊มคำว่า “Aurora” โดยใช้ฟ้อนท์ของ Alienware ติดเอาไว้ เป็นรายละเอียดเล็กน้อยของรุ่นนี้โดยเฉพาะ


ฝาด้านข้างเคส Alienware Aurora จะไม่ได้ทำเป็นแบบใสหมดตามสมัยนิยม แต่เป็นฝาเคสดำเว้นตรงกลางบริเวณโซนซีพียูให้เห็นบล็อคน้ำสกรีนโลโก้ Alienware เอาไว้กับท่อยางคู่โยงขึ้นไปยังหม้อน้ำด้านบนและพัดลมพร้อมไฟ RGB
ถัดลงมาเป็นช่องรังผึ้งข้างเครื่องสำหรับนำอากาศเย็นเข้าและระบายอากาศร้อนออกพร้อมกัน อิงจากดีไซน์ของทางบริษัท พื้นที่ฝั่งซ้ายมือ 1/3 จะเป็นช่องระบายอากาศร้อน ส่วนกลางและขวาจะเป็นช่องนำอากาศเย็นเข้า ในแง่การใช้งานก็ช่วยจัดการอุณหภูมิได้ดีแต่ก็ดูย้อนยุคกลับไปประมาณทศวรรษก่อน เรื่องความสวยงามในส่วนนี้ก็เป็นปัจจัยปัจเจกของแต่ละคนว่ารสนิยมเป็นเช่นไร





ด้านหลังจากส่วนบนลงมาจะมีสลักมือทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีรูน็อตตรงกลางขันล็อคเอาไว้ ถ้าขันปลดน็อตแล้วดึงสลัก ฝาด้านข้างจะเปิดออกแล้วแยกออกจากตัวเครื่องให้ซ่อมและอัปเกรดชิ้นส่วนต่างๆ ได้ เวลาใส่กลับถ้าสอดขาของฝาข้างเคสเข้าร่องแล้วก็ดันให้มันประกบกลับเข้าหากันได้เลย





พอร์ตและการเชื่อมต่อของ Alienware Aurora Gaming Desktop แบ่งเป็นส่วนด้านหน้าและหลังเคส ส่วนข้างหน้าเป็น USB-A, USB-C ไว้ให้ต่อ External Harddisk หรือชาร์จมือถือก็ได้ ส่วน Back I/O Panel โดยหลักๆ แล้วจะเป็น USB 2.0, USB-A 3.2, USB-C อย่าละคู่ แต่สังเกตว่าตัวเครื่องเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 ได้แต่ไม่มีขั้วเสาสัญญาณทองเหลือยื่นออกมา สันนิษฐานว่าจะถูกซ่อนเอาไว้ใต้ฝาด้านบนของเครื่อง โดยแต่ละพอร์ตจะเป็นดังนี้
- ด้านหน้าเคสจากบนลงมา – Audio combo, USB-A 3.2 Gen1 (5 Gbps)*2, USB-A 3.2 Gen1 (5 Gbps) with PowerShare, USB-C 3.2
- Back I/O Panel จากบนลงมา – SPDIF (TOSLINK), Audio out, Line-in, USB-C 4.0 (20 Gbps), USB-C 3.2 Gen2 (10 Gbps), USB-A 3.2 Gen2 (5 Gbps)*2, USB 2.0*2, LAN RJ-45
- NVIDIA GeForce RTX 5080 – HDMI, DisplayPort*3
- การเชื่อมต่อไร้สาย – Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be รองรับ Bluetooth 5.4
ถ้าใครประกอบเกมมิ่งพีซีเป็นประจำจะเห็นว่าเมนบอร์ด Intel Z890 series ของ Alienware Aurora มีให้ระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าใครชอบเอาอุปกรณ์ต่างๆ ต่อทิ้งไว้น่าจะต้องหา USB Hub มาต่อเพิ่มจะใช้งานได้สะดวกขึ้น และอยากให้ทาง DELL เพิ่มพอร์ต USB-A 3.2 เข้ามาด้านหลังเคสอีก 2~4 ช่อง ให้ใช้งานได้สะดวกขึ้นก็จะดีมาก
Internal & Upgrade




เมื่อขันน็อตให้หลวมและดึงคานสลักขึ้น ฝาข้างเคส Alienware Aurora Gaming Desktop จะเอนลงมาให้ยกออกได้ทันที ปกติแล้วเคสส่วนใหญ่จะต้องขันน็อต 2 ดอก ทำให้ลดขั้นตอนลงไปให้เจ้าของสามารถปรับแต่งฮาร์ดแวร์ได้สะดวกขึ้น มีจุดอัปเกรดได้ 3 ส่วน คือ
- RAM DDR5 2 แถว มีความจุตั้งต้น 64GB อ้างอิงจากสเปคซีพียูจะรองรับความจุได้ 256GB
- ถัดมาทางขวาเป็น M.2 NVMe SSD รวม 2 ช่อง อินเทอร์เฟสเป็น PCIe 4.0 x4 เพิ่มความจุได้สูงสุดรวม 8TB แบบ 4TB*2 ช่อง มีตั้งต้นจากโรงงานมาให้ 2TB แล้ว
- ด้านล่างใต้พัดลมการ์ดจอเป็นรางติดตั้ง 3.5″ SATA III Harddisk พร้อมเดินสายไฟมาให้พร้อมใช้งาน
ถ้านับตามปริมาณช่องและอินเทอร์เฟสบนเมนบอร์ด ถือว่า Alienware Aurora มีให้พอใช้งานและเพิ่มหน่วยความจำไปได้อีกพอควร แต่เทียบกับเมนบอร์ดชิปเซ็ต Intel Z890 รุ่นอื่นในท้องตลาดยังถือว่าน้อยไปบ้าง หากย้าย Wi-Fi PCIe Card กับถ่าน BIOS เข้าไปด้านในแล้วเพิ่มช่อง M.2 NVMe เข้ามาอีกอันก็จะดี






จุดน่าสนใจที่แสดงความเอาใจใส่ของ Alienware Aurora Gaming Desktop อยู่ตรงการ์ดจอ NVIDIA ให้สังเกตว่าตัวการ์ดมีคานค้ำการ์ดจอแบบพลาสติกก้านใหญ่หนาเสริมเข้ามาให้และมีพัดลมอัดอากาศเย็นเฉพาะตัวเป่าตรงจากด้านหน้าเคสมาส่วนท้ายการ์ดโดยเฉพาะให้อุณหภูมิไม่สูงมาก
จุดเจ้าปัญหาอย่างหัวสาย 12VHPWR ถูกบริษัท Amphenol ปรับดีไซน์ใหม่ เปลี่ยนจากเดินสายไฟตรงแล้วดัดโค้งสายเป็นออกด้านข้างขวาของหัวปลั๊กแล้วต่อเข้ากับสายไฟจากพาเวอร์ซัพพลายแทน การออกแบบเช่นนี้ทำให้หัวสายไม่บิดงอจนเกิดความร้อนสูงเกิดเสียหายแน่นอน สมชื่อบริษัทผู้ผลิตสายเชื่อมต่อชั้นนำของโลก ถัดขึ้นมาจะเห็นว่าหัวปลั๊ก 8-Pin ถูกรวบเก็บไว้กับกรอบพลาสติกเหนือพัดลมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดูดี
Performance




ซีพียู Intel Core Ultra 9 285K ใน Alienware Aurora Gaming Desktop มี 24 คอร์ 24 เธรด แยกเป็น 8 P-Core กับ 16 E-Core มีความเร็วสูงสุด 5.7 GHz ซ็อคเก็ตเป็นรุ่น LGA1851 รหัสพัฒนา Arrow Lake มีค่า TDP 125~250W สถาปัตยกรรมเป็น TSMC N3B ใหม่ล่าสุด รองรับชุดคำสั่งพื้นฐานต่างๆ ครบถ้วนรวมถึง OpenVINO, WindowsML, DirectML, ONNX RT, WebNN เพื่อใช้รัน AI ได้ด้วย อ้างอิงจากตารางรวมรุ่น Intel Core Ultra 200 Series จะมีประสิทธิภาพสูงสุด ณ ตอนนี้
เมนบอร์ดของตัวเครื่องเป็นชิปเซ็ต Intel Z890 ผลิตโดย Alienware สล็อตติดตั้งการ์ดจอเป็นอินเทอร์เฟส PCIe 5.0 x16 จึงใช้งานฮาร์ดแวร์ชิ้นอื่นในเครื่องได้เต็มประสิทธิภาพ มี RAM 64GB DDR5 บัส 5200 MT/s ค่า CL46 ติดตั้งมาแบบ Dual-channel 32GB*2 ตัวชิปผลิตจากโรงงาน Micron Technology อ้างอิงจากซีพียูแล้วจะเพิ่มความจุไปได้มากสุด 256GB แต่ต้องเป็น 128GB*2 เพราะมี UDIMM DDR5 แค่ 2 ช่องเท่านั้น กรณีใช้เล่นเกมอย่างเดียวไม่มีความจำเป็นต้องอัปเกรดเลยหรือจะใช้ทำงานก็ยังมีให้ใช้เหลือเฟือ

จีพียู NVIDIA GeForce RTX 5080 ตามสเปคมี VRAM 16GB GDDR7 กับ CUDA 10,752 Unified รองรับ Resizable BAR ให้ซีพียูเชื่อมต่อกับหน่วยความจำของจีพียูโดยตรงช่วยให้ประมวลผลได้เร็วยิ่งขึ้น มี Memory interface 256-bit รองรับ DirectX 12 API, OpenCL, OpenGL 4.6, CUDA, DirectCompute, DirectML, Vulkan และ Ray Tracing ครบถ้วน ยกเว้น PhysX เท่านั้น ถ้าเกมไหนยังเรียกใช้ชุดคำสั่งนี้จะทำงานได้ไม่เต็มที่

ภายในเครื่องเมื่อเช็คผ่านทาง Device Manager จะมีชิป TPM 2.0 สำหรับประสานงานกับ Windows Hello เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วย Intel BE200 Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be รองรับ Bluetooth 5.4 ในตัว เชื่อมต่อ Wi-Fi คลื่น 2.4 GHz / 5 GHz / 6 GHz ได้ มีความเร็วสูงสุด 5.8 Gbps แบนด์วิดท์กว้าง 320MHz รองรับ 4K-QAM ด้วย ถ้าเล่นเกมจริงจังแนะนำให้ต่อพอร์ต LAN ดีกว่าเพราะเป็นชิป Intel Killer E3100G ให้รับส่งข้อมูลได้เสถียร มีความเร็วสูงสุด 2.5 GbE

M.2 NVMe SSD ความจุ 2TB รุ่น SK Hynix PC811 เป็นอินเทอร์เฟส PCIe 4.0 มีความเร็วสูง โหลดโปรแกรมเกมและงานขึ้นมาได้รวดเร็วมาก ซึ่งผลการทดสอบกับ CrystalDiskMark 8.0.5 ได้ความเร็วน่าสนใจทีเดียว ซึ่งเป็นดังนี้
ความเร็ว / รูปแบบ | Read (MB/s) | Write (MB/s) |
Sequential | 7,060 | 6,801.9 |
RNDK | 1,120.84 | 1,033.26 |
ถ้าสังเกตจะเห็นว่าความเร็ว Sequential ซึ่งวัดความเร็วเวลาเขียนอ่านไฟล์ขนาดใหญ่ก็มีความเร็วสูงเทียบ SSD ชั้นนำในปัจจุบันได้สบาย ด้าน RND4K สำหรับวัดความเร็วเวลาเขียนอ่านไฟล์ขนาดเล็กปริมาณมากก็ทำความเร็วได้ดีมาก แตะหลัก 1,000 MB/s จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไดรฟ์ตัวนี้เลย แต่ไปซื้อ SSD 2~4TB จากแบรนด์ชั้นนำอย่าง ADATA, Samsung หรือ Kingston มาใส่ในช่องเสริมแทนจะเหมาะกว่า




คะแนนจากการทดสอบเล่นเกมเมื่อเทสต์กับโปรแกรมตระกูล 3DMark จะเห็นว่า Alienware Aurora Gaming Desktop ทำได้ดีมาก อิงจากคะแนนทดสอบแต่ละเวอร์ชั่นก็สรุปได้ว่าเครื่องนี้เล่นเกมบนหน้าจอ 2K QHD หรือ 4K UHD ได้สบายและเปิด Ray Tracing ไปพร้อมกันได้สบายมาก
- Time Spy (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด QHD) – คะแนนเฉลี่ย 28,382 คะแนน แยกเป็น CPU score 18,308 คะแนน Graphics score 31,435 คะแนน
- Time Spy Extreme (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด UHD) – คะแนนเฉลี่ย 15,476 คะแนน แยกเป็น CPU score 13,792 คะแนน Graphics score 15,818 คะแนน
- Solar Bay (ทดสอบการเรนเดอร์ Ray Tracing ว่ารันได้ดีต่อเนื่องหรือไม่ แต่ละ section การทดสอบจะเพิ่มรายละเอียดให้ใช้กำลังจีพียูมากขึ้น) – คะแนนเฉลี่ย 151,005 คะแนน, Graphics test 574.16 FPS / Section 1 ได้ 577.88 FPS / Section 2 ได้ 586.88 FPS / Section 3 ได้ 551.86 FPS
- Steel Nomad (จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด UHD) – คะแนนเฉลี่ย 7,948 คะแนน ได้ Graphics test 79.49 FPS



นอกจากโปรแกรม Benchmark แล้ว เฟรมเรทจากการเล่นเกมก็ลื่นไหล สังเกตว่าเวลาเล่นเกมบนหน้าจอความละเอียด QHD อัตราส่วน 21:9 จะเห็นว่าพลังของจีพียูอย่างเดียวมีเฟรมเรทเฉลี่ยสูงเกิน 60 FPS ทุกเกม และถ้าเปิด NVIDIA DLSS คู่กับ Frame Generation จะเห็นว่าเฟรมเรทเฉลี่ยสูงขึ้นแล้วดึงให้เฟรมเรทขั้นต่ำเพิ่มขึ้น ด้านประสบการณ์เล่นเกมจะเป็นดังนี้
- Black Myth: Wukong – เล่นได้ลื่นไหลทุกฉากแม้จะมีรายละเอียดอย่างฝุ่นหรือแสงในฉากมากก็ไม่มีปัญหาและเฟรมเรทไม่ลดกะทันหันแม้แต่น้อย เวลาสู้กับศัตรูหรือบอสก็ตอบสนองได้เร็ว แนะนำเปิดแค่ NVIDIA DLSS ตั้งค่าเป็น Quality ก็พอแล้ว
- Red Dead Redemption II – สามารถเล่นได้ลื่นไหลทุกฉากทุกสถานการณ์ ตอบสนองได้เร็วไม่มีปัญหาระหว่างเล่นแม้แต่น้อยแม้จะเร่งกราฟิคแสง, เงา, น้ำ, ฝุ่นผง ฯลฯ ไปจนสุด สามารถเล่นด้วยพลังของจีพียูได้เลยไม่ต้องพึ่ง NVIDIA DLSS ก็ได้
- Forza Horizon 5 – ตอบสนองได้เร็วต่อเนื่องทุกสถานการณ์ทุกฉาก ควบคุมตัวรถวิ่งผ่านฉากได้ดีไม่เจอดีเลย์แม้แต่น้อย ไม่ต้องใช้ NVIDIA DLSS เสริมก็ได้ เวลาทดสอบได้เปิด Ray Tracing สูงสุดก็เล่นได้สบายมาก
- Cyberpunk 2077 – แยกเป็น 2 กรณี
- กรณีปกติและเปิด NVIDIA DLSS Quality – กำลังประมวลผลตั้งต้นของ GeForce RTX 5080 สูงพอจะเล่นเกมนี้บนหน้าจอ QHD 21:9 ได้เป้นอย่างดี สังเกตว่าเฟรมเรทขั้นต่ำเกิน 60 FPS แล้ว และถ้าเปิด DLSS Quality เสริมก็จะได้ภาพลื่นไหลมากและขยับขึ้นไปเล่นบนหน้าจอความละเอียด 4K ได้แน่นอน
- ทดสอบ Frame Generation และ Path Tracing – จากกราฟสุดท้ายถ้าใช้ Multi Frame Generation โดยไม่เปิด Path Tracing เฟรมเรทเฉลี่ยจะสูงเกิน Refresh Rate ของหน้าจอได้ง่ายดาย พอเปิด Path Tracing ทั้งหมดควบคู่กับ MFG 2X จะได้เฟรมเรทเฉลี่ยเกือบถึง 100 FPS ยิ่งเพิ่มขึ้นไปจน 4X จะได้ถึง 180 FPS ได้สบาย
- Monster Hunter Wilds – สามารถเล่นได้ดีมากแม้ไม่เปิด NVIDIA DLSS ก็ตาม พลังตั้งต้นของจีพียูสูงมากและเรนเดอร์ฉากเกม Open world ได้รวดเร็วต่อเนื่อง ไม่มีอาการโหลดฉากไม่ทันแม้แต่ครั้งเดียว แนะนำให้เปิด NVIDIA DLSS แบบ Quality ก็เพียงพอแล้ว หรือจะเปิด Frame Generation เพิ่มก็ได้
สรุปโดยเข้าใจง่าย คือ Alienware Aurora Gaming Desktop เป็นเกมมิ่งพีซีประสิทธิภาพสูงมาก กำลังประมวลผลเหลือเฟือจนเปิดเล่นเกมบนหน้าจอความละเอียด 4K ตั้งค่ากราฟิคสูงสุดทุกอย่างได้สบายและทำ Live streaming ไปพร้อมกันได้โดยไม่ก่อปัญหากับตัวเกมแน่นอน

ถ้าเล่นเกมได้ดีจะใช้ทำงานก็ไม่มีปัญหาแน่นอน ซึ่งคะแนนเฉลี่ยของ Alienware Aurora Gaming Desktop จากการทดสอบกับ PCMark 10 ทำได้สูงถึง 9,002 คะแนน โดยเฉพาะหมวดการทดสอบ Digital Content Creation จะเห็นว่า NVIDIA GeForce RTX 5080 ทำได้ดีมาก โดยเฉพาะการทำโมเดล 3D หรือตัดต่อวิดีโอก็ทำได้ดีมาก ถ้าไม่ได้เล่นเกมแต่ต้องการคอมเอาไว้ทำงานก็เหมาะเช่นกัน



คะแนนจากการทดสอบกับโปรแกรมตระกูล CINEBENCH สำหรับจำลองการเรนเดอร์โมเดล 3D จะเห็นว่า Intel Core Ultra 9 285K ทำคะแนนได้ดีมาก การมีคอร์เธรดเยอะทำให้เรนเดอร์งานได้เร็วมาก โดยคะแนนการทดสอบแต่ละเวอร์ชั่นจะเป็นดังนี้
- 2024 – ใช้ทดสอบประสิทธิภาพของซีพียูกับจีพียูอย่างหนักพร้อมกันโดยใช้เอนจิ้น Redshift สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนต์ ได้ CPU (Multi-Core) 2,264 pts และ CPU (Single Core) 129 pts
- R23 – ใช้ทดสอบพลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก มีความละเอียดและแม่นยำสูง ได้คะแนน Multi Core 40,934 pts และ Single Core อีก 2,151 pts
- R20 – ใช้ทดสอบกำลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก ได้คะแนน CPU 14,667 pts


เมื่อทดสอบกับ Blender Benchmark จะเห็นว่าจำนวน Sample ที่ซีพียูกับจีพียูเรนเดอร์ได้มีปริมาณเยอะมาก ถ้าเป็นครีเอเตอร์สายงาน 3D ล่ะก็ Alienware Aurora Gaming Desktop จะเหมาะมาก ซึ่งผลการทดสอบแต่ละแบบจะเป็นดังนี้
Test / Sample (ยิ่งมากยิ่งดี) | Intel Core Ultra 9 285K | NVIDIA GeForce RTX 5080 |
monster | 231 | 4,076 |
junkshop | 145 | 2,141 |
classroom | 116 | 2,204 |





กำลังประมวลผลของ Intel Core Ultra 9 285K เมื่อทดสอบกับโปรแกรมตระกูล Geekbench จะทำผลคะแนนได้ดีมาก โดยเฉพาะคอร์ชุดหลักจะทำงานได้ดีมาก แต่ Intel AI Boost NPU จะทำงานได้ดีระดับหนึ่ง โดยแต่ละการทดสอบได้ผลดังนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าซีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบคำนวน vector integer ได้รวดเร็วหรือไม่ ถ้าเป็น Single-Core ทำได้ 2,906 คะแนน และ Multi-Core ได้ 19,421 คะแนน
- Geekbench ML ทดสอบด้วย ONNX CPU – ใช้ทดสอบว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นสามารถใช้งานโปรแกรม Machine Learning ได้ดีหรือไม่ ในส่วนนี้ทำได้ 5,983 คะแนน
- Geekbench AI – คำนวณว่าซีพียูสามารถรันการทำงานกับโปรแกรม AI ต่างๆ ได้แม่นยำหรือรวดเร็วหรือไม่ แบ่งเป็น Single Precision เน้นความเที่ยงตรง, Half precision เน้นความเร็วมากขึ้นและลดความแม่นยำลง และ Quantized Score เน้นความเร็วแต่ไม่แม่นยำนัก
- OpenVINO ได้ Single Precision 8,105 คะแนน, Half precision 8,058 คะแนน และ Quantized Score 14,814 คะแนน
- Intel NPU ได้ Single Precision 9,362 คะแนน, Half precision 9,330 คะแนน และ Quantized Score 13,949 คะแนน




ด้านจีพียู NVIDIA GeForce RTX 5080 จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าจีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- OpenCL, Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบคำนวน vector integer ด้วย OpenCL framework ทำได้ 245,847 คะแนน
- Vulkan, Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบคำนวน vector integer เป็นหลักด้วย Vulkan framework ทำได้ 260,540 คะแนน
- Geekbench ML ทดสอบด้วย ONNX DirectML – ใช้ทดสอบว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นสามารถใช้งานโปรแกรม Machine Learning ได้ดีหรือไม่ ในส่วนนี้ทำได้ 26,504 คะแนน
- Geekbench AI ทดสอบว่าสามารัน AI ได้ดีหรือไม่
- ONNX DirectML – Single Precision 31,811 คะแนน, Half precision 50,486 คะแนน และ Quantized Score 24,275 คะแนน
ผลการทดสอบจากโปรแกรมทำงานแต่ละแบบการันตีได้ว่า Alienware Aurora Gaming Desktop นอกจากเล่นเกมได้เยี่ยมตรงตามหน้าที่ของมันพร้อม Live streaming ได้สบายๆ แล้ว ก็เหมาะกับการทำงานกราฟิคไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง, ตัดต่อวิดีโอ, เรนเดอร์โมเดล 3D หรือใช้คำนวณงานทางวิทยาศาสตร์ก็มีกำลังประมวลผลเหลือเฟือมาก








ผู้ใช้หลายคนอาจคิดว่าถ้า Alienware Aurora Gaming Desktop มีประสิทธิภาพสูงแล้ว อุณหภูมิจะต้องสูงอย่างแน่นอน แต่ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน ไม่ว่าจะเช็คด้วยเลเซอร์วัดอุณหภูมิตามส่วนต่างๆ ควบคู่กับโปรแกรม CPUID HWMonitor จะเห็นว่าภายในเครื่องไม่ร้อนเกินไป ตอนเล่นเกมเวลารันเต็มกำลังแล้วอุณหภูมิจะเร่งไปสูงสุดราว 85~92 องศาเซลเซียสเท่านั้น จะมีบางจังหวะขึ้นไปราว 100 องศาได้บ้างประมาณ 1~2 วินาทีเท่านั้น แล้วกลับมาเย็นตามปกติ
เสียงเวลาพัดลมทำงานก็เบาจนแทบไม่ได้ยิน ในภาพจะเป็นเสียงเวลาเครื่องทำงานเต็มกำลังแล้วก็ยังไม่เกิน 50dB กล่าวคือเท่ากับเสียงของออฟฟิศเวลาไม่มีคนคุยกัน นับว่าทางบริษัทออกแบบระบบจัดการอุณหภูมิตัวเครื่องได้ดีมาก
ชิ้นส่วน / อุณหภูมิ | อุณหภูมิต่ำสุด (เซลเซียส) | อุณหภูมิสูงสุด (เซลเซียส) |
Mainboard | 31 | 49 |
CPU | 37 | 100 |
GPU (Chipset) | 32 | 36 |
GPU (Memory) | 40 | 44 |
SSD | 29 | 33 |
RAM (1) | 33 | 37.8 |
RAM (2) | 33.3 | 39 |











พอฮาร์ดแวร์มีประสิทธิภาพสูงแล้วก็ต้องมีซอฟท์แวร์ปรับตั้งค่าเสริมเข้ามาด้วยอย่าง Alienware Command Center ในพีซีเครื่องนี้นอกจากมอนิเตอร์เครื่อง, ตั้งค่าไฟ RGB “AlienFX”, ปรับโหมดการทำงานโดยรวมหรือเฉพาะเกมก็ได้แล้ว ยังสั่งโอเวอร์คล็อคและตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์ในเครือได้ด้วย นับเป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์มาก
User Experience

ในฐานะคนประกอบพีซีใช้งานมาตลอดมักจะมองข้ามเกมมิ่งพีซีสำเร็จรูปเพราะสเปคต่อราคายังไม่เหมาะสมกันและอัปเกรดได้นิดหน่อยเท่านั้น แต่ Alienware Aurora Gaming Desktop เป็นเครื่องแรกที่น่าสนใจมาก เริ่มต้นจากตอนทดสอบและเอามาเล่นจริงแล้วอุณหภูมิในเคสและชิปเซ็ตจัดการได้ดีไม่ร้อนเกินไป เสียงไม่รบกวนโสตประสาทแม้แต่น้อยจึงประทับใจพอควร ยิ่งใช้ Alienware Command Center ปรับโหมดและโอเวอร์คล็อคเครื่องเพิ่มนิดหน่อย เปลี่ยนไฟ RGB อีกนิดก็ทำให้คอมเครื่องนี้เป็นของแต่งโต๊ะคอมได้ด้วย
เรื่องความลื่นไหลเวลาเล่นเกมไม่ต้องห่วงเพราะสเปคเรือธงราคา 153,500 บาท หยิบเอา Intel Core Ultra 9 285K คู่ NVIDIA GeForce RTX 5080 พร้อม SSD 2TB และ RAM 64GB DDR5 ซึ่งเป็นสเปคในฝันของใครหลายคนเอาไว้ด้วยกัน เวลาเล่นเกมต่อหน้าจอแยกความละเอียด 1080~1440p ถึงไม่ใช้ NVIDIA DLSS เสริมก็ได้เฟรมเรทขั้นต่ำสุดเกิน 60 FPS แน่นอน ส่วนเฟรมเรทเฉลี่ยขึ้นไป 80~100 FPS ได้สบายๆ พอเปิด DLSS Quality เมื่อไหร่ เฟรมเรทเฉลี่ยจะเกิน 100 FPS ขึ้นไปแน่นอน ส่วน Multi Frame Generation ก็เริ่มจาก 180~320 FPS ขึ้นอยู่กับตัวคูณว่าจะตั้งไว้ 2X~4X ก็แล้วแต่ชอบ หมายความว่าการ์ดจอนี้เหลือกำลังประมวลผลเอาไว้ให้ทำ Path Tracing ต่อได้สบายมาก

ตอนเปิดเล่นจริงก็ได้ตามการ Benchmark แล้ว ภาพเวลาเล่นเกมทั้งต่อเนื่องไม่มีอาการฉีกขาดให้เห็น แถมถ้าเปิด Frame Generation เมื่อไหร่ เกมจะบังคับเปิด NVIDIA Reflex ตัดปัญหา Input Lag ทันที ซึ่งตอนลองเล่น Cyberpunk 2077 แบบเปิด 4X Multi Frame Generation ก็ไม่เจอปัญหาว่ากดวิ่งหรือยิงไปแล้วตัวเกมตอบสนองไม่ทันผู้เล่นแม้แต่ครั้งเดียว แถมภาพก็ยังสวยต่อเนื่องไม่มีปัญหาแปลกๆ มารบกวนเลยสักครั้งเดียว ถือว่าการเพิ่มฟีเจอร์ AI นี้เข้ามาเพื่อใช้ประโยชน์จาก Tensor core ให้เต็มที่นับว่าดีมาก
อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตของ Alienware Aurora Gaming Desktop ก็มีเช่นกัน ถ้าไม่นับว่าการแถมเมาส์คีย์บอร์ดมาตรฐานของ DELL มาให้เป็นประเด็น อย่างแรกอยากให้ทางบริษัทเพิ่มพอร์ต USB-A 3.2 มาอีก 2~4 ช่องบน Back I/O Panel ให้เกมเมอร์เอาอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ไปต่อเพิ่มได้อีกระดับหนึ่งก็เป็นเรื่องดี และแนะนำให้ดีไซน์เมนบอร์ดปรับตำแหน่งของ Wi-Fi PCIe Card กับถ่าน BIOS ให้อยู่ลึกเข้าไปอีกนิดให้ติดหัวอินเทอร์เฟส M.2 NVMe PCIe 4.0 เพิ่มได้อีกสักช่องก็จะดีมาก
Conclusion & Award

Alienware Aurora Gaming Desktop นับเป็นเกมมิ่งพีซีสำเร็จรูปที่น่าสนใจมากเครื่องหนึ่งตั้งแต่สเปคต่อราคาดี มีซอฟท์แวร์ครบถ้วนทั้ง Microsoft Windows 11, Office Home 2024 แล้ว ก็ใช้งานได้เยี่ยมทุกแบบไม่ว่าจะเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียดสูงหรือเปิดโปรแกรมกินกำลังเครื่องหนักเพื่อทำงานก็ไม่มีปัญหาและยังมีประกัน Alienware Care ดูแลอีก 3 ปีเต็ม สมกับคำว่า “ซื้อแล้วจบ” จริงๆ
แม้หลายคนจะมองว่าราคา 153,500 บาท แพงเกินไป ขอประกอบเองประหยัดกว่านี้ตั้งเยอะ แต่การประกอบเครื่องเองจะรู้กันว่าเดี๋ยวก็ต้องเจอกับคำว่า “เพิ่มอีกนิด” จนสุดท้ายก็เกินงบตั้งต้นไปอีก แล้วถ้าใช้งานมาสักระยะแล้วเครื่องเกิดมีปัญหาก็ต้องไล่เช็คปัญหาทั้งหมดและถอดชิ้นส่วนนั้นไปส่งเคลมกับร้านค้านั้นๆ เองอีก แต่การมีประกันดูแลทั้งตัวเครื่องจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาดูแลให้ถึงที่นอกจากลดขั้นตอนความยุ่งยากไปได้แล้วยังสะดวกกว่าต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองแน่นอน
Award

จุดที่ DELL ออกแบบ Alienware Aurora Gaming Desktop มาได้ดีนอกจากภายนอกอันเรียบง่ายต้องยกให้ภายในซึ่งเป็นรายละเอียดเล็กๆ ทั้งการจัดทิศทางลมในเคสให้เครื่องเย็นตลอดเวลารวมถึงอัดลมตรงเข้าการ์ดจอ, ออกแบบหัวสาย 12VHPWR ให้เชื่อมต่อได้สนิทไม่บิดงอแล้วเก็บสายได้สวยงาม นับเป็นการดีไซน์ได้ดีเช่นกัน

มั่นใจว่าสเปคเครื่อง Alienware Aurora Gaming Desktop เป็นเกมมิ่งพีซีในฝันของเกมเมอร์ในยุคนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนผสมของชิ้นส่วนทั้งหมดนั้นทรงพลังจนเล่นได้ทุกเกมบนหน้าจอความละเอียด 4K อย่างแน่นอน
SVOA Line Official


ถ้าใครได้เป็นเจ้าของหรือกำลังจะเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ Alienware ก็สามารถ Add Line ของ SVOA เอาไว้ เวลาต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยจัดการซ่อมหรือเคลมเครื่องก็ทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
Gallery













