ปีนี้นับเป็นปีที่ซีพียูโน้ตบุ๊กของ AMD มีการเปลี่ยนแปลงแบบเห็นได้ชัด และมีความน่าสนใจในด้านประสิทธิภาพที่สูงขึ้นโดยที่ยังคุมการใช้พลังงานและความร้อนได้ดี ทำให้เราได้เห็นการนำซีพียู AMD ไปใช้ทั้งในโน้ตบุ๊กทำงานทั่วไป เกมมิ่งโน้ตบุ๊กตั้งแต่สเปคระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับท็อป รวมถึงในกลุ่มเครื่องเกมพีซีพกพาด้วย แต่ที่จะเด่นชัดสุดคงหนีไม่พ้นชิปรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีโค้ดเนมว่า AMD Strix Point หรือในชื่อที่ใช้จริงนั่นคือ AMD Ryzen AI 300 series นั่นเอง
ซึ่งในบทความนี้เราจะมาดูกันครับว่า 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ซีพียู AMD Ryzen AI 300 โค้ดเนม Strix Point เป็นซีพียูที่ลงตัวแบบสุด ๆ สำหรับโน้ตบุ๊กที่เน้นด้านประสิทธิภาพนั้นมีอะไรบ้าง เผื่อใครที่กำลังมองหาโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่รับปลายปีหรือเป็นของขวัญช่วงปีใหม่ จะได้มีทางเลือกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโน้ตบุ๊กสายครีเอเตอร์และกลุ่มเกมมิ่งโน้ตบุ๊ก
1) CPU แรง คอร์เยอะจุใจ ใช้ได้เต็มที่ไม่มีกั๊ก
เริ่มกันด้วยข้อแรกก็คือส่วนของ CPU ที่ใช้ประมวลผลกลาง และเป็นโมดูลที่เปรียบเสมือนหัวใจของชิปประมวลผล ซึ่ง AMD ก็มีจุดเด่นในเรื่องของจำนวนคอร์ที่สูงมาโดยตลอด แม้จะเป็นในชิปรุ่นเริ่มต้นหรือระดับกลางก็ตาม โดยเฉพาะตั้งแต่ยุค Ryzen เป็นต้นมา ตอบโจทย์การใช้งานผู้ใช้ในยุคปัจจุบันที่มักเปิดหลายโปรแกรมขึ้นมาทำงานพร้อมกัน รวมถึงยังมีโปรแกรมที่ทำงานเบื้องหลังอีกมากมาย อาทิการเล่นเกมพร้อมสตรีมหรืออัดคลิปการเล่น ซึ่งมักทำไปพร้อมกับการคุยผ่านโปรแกรมอื่นอย่างพวก Discord อีกที รวมถึงอาจจะมีเปิดหน้าเว็บเบราเซอร์ เปิดโปรแกรมสตรีมมิ่งเพลงไปพร้อมกัน รวมถึงฝั่งของโปรแกรม เกมและระบบปฏิบัติการเองก็ถูกออกแบบมาให้รองรับการทำงานร่วมกับซีพียูที่มีหลายคอร์ได้ดีขึ้นด้วย จึงทำให้ซีพียูของ AMD จะแสดงศักยภาพได้เต็มที่กับการใช้งานในลักษณะดังกล่าว จนทำให้เกิดชุดความคิดที่ว่าถ้าอยากได้ซีพียูทำงานต้องมาค่ายแดง ส่วนถ้าจะใช้อย่างอื่นก็ไปค่ายฟ้า เป็นต้น (แต่ตอนนี้ค่ายแดงก็จัดจ้านเรื่องเกมไม่แพ้กัน ซึ่งจะไปพูดถึงในหัวข้อถัดไปครับ)
ทีนี้พอเข้าสู่ยุคของชิป AMD Strix Point จุดเด่นในเรื่องคอร์ก็ยังคงอยู่ แถมเป็นแนวทางที่หลายคนอาจจะกำลังต้องการอยู่ด้วย โดยนอกจากจำนวนคอร์ที่ ณ ปัจจุบันจะมีเริ่มต้นมาให้ถึง 10 คอร์ในรุ่น AMD Ryzen AI 9 365 แล้ว แต่ละคอร์ยังมีการแบ่งเป็น 2 เธรดย่อยแบบเต็ม ๆ เหมือนที่เคยเป็นมา ทำให้จำนวนเธรดจะยังคงเท่ากับ จำนวนคอร์ x2 เหมือนเดิม เช่นซีพียู 10 คอร์ก็จะมี 20 เธรด ซึ่งจำนวนเธรดที่สูง ก็จะทำให้เหมือนว่ามีจำนวนคนทำงานที่สูงตามไปด้วย ซึ่งถ้าโปรแกรมรองรับการกระจายงานตามเธรดได้ดี ก็จะช่วยทำให้มีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ดีตามไปด้วยนั่นเอง โดยในจุดนี้ก็ถือว่าแทบไม่ต้องห่วงเลย เพราะรูปแบบการทำงานที่ต้องมีการแบ่งเธรดในลักษณะนี้ เป็นรูปแบบที่อยู่ในวงการคอมพิวเตอร์มานานหลายปี มีการพัฒนาจนอยู่ตัวแล้วในระดับหนึ่ง จึงทำให้สามารถรีดสมรรถนะของตัวชิปได้แบบเต็มที่ เต็มกำลัง รองรับการใช้งานร่วมกับโปรแกรมได้หลากหลาย
ทีนี้ย้อนจากระดับเธรดกลับมาที่ระดับคอร์กันบ้าง ตัวชิป AMD Strix Point ที่เป็น Ryzen AI 300 series จะมาพร้อมคอร์ที่ผลิตด้วยสถาปัตยกรรม Zen 5 ระดับ 4nm ซึ่งมีการปรับปรุงจาก Zen 4 ในหลายจุด อาทิ การเพิ่มประสิทธิภาพ IPC ให้สูงขึ้นกว่าเดิมถึง 16% ด้วยการปรับปรุงกระบวนการคาดเดาคำสั่งใหม่ การออกแบบไปป์ไลน์ภายในใหม่ และที่สำคัญคือจะมีการทำงานที่เหมาะกับงานสาย AI งานกลุ่ม machine learning มากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การใช้งานในปัจจุบันที่มี AI เข้ามาช่วยในการทำงานมากกว่าที่ผ่านมา
ซึ่งในชิป AMD Ryzen AI 300 series นี้จะมีการเลือกใช้คอร์ Zen 5 สองแบบร่วมกัน แบ่งเป็นคอร์ Zen 5 จำนวน 4 คอร์ในทุกรุ่นย่อย ซึ่งจะเป็นคอร์ที่เน้นประสิทธิภาพสูง ทำงานร่วมกับคอร์ Zen 5c ที่มีชุดคำสั่ง โมดูลประมวลผลต่าง ๆ เหมือนกับคอร์ Zen 5 แบบ 100% แต่จะมีการลดความเร็วและปริมาณแคชลงมา ทำให้ประสิทธิภาพก็จะลดหย่อนลงมาจากคอร์ปกติเล็กน้อย แต่ก็ส่งผลให้มีความร้อนสะสมในชิปที่ต่ำกว่าการเลือกใช้คอร์ Zen 5 ล้วน ๆ ด้วยเช่นกัน โดยคอร์ Zen 5c จะถูกใส่ลงมาในชิปในจำนวนที่มากกว่า คือให้มาถึง 8 หรือ 6 คอร์แล้วแต่รุ่นของซีพียู ซึ่งในปัจจุบันจะมีให้มาดังนี้
- AMD Ryzen AI 9 HX 370 และ HX 375 = 4 (Zen 5) + 8 (Zen 5c)
- คอร์ Zen 5 ความเร็วพื้นฐาน 2 GHz บูสต์สูงสุด 5.1 GHz
- คอร์ Zen 5c ความเร็วพื้นฐาน 2 GHz บูสต์สูงสุด 3.3 GHz
- AMD Ryzen AI 9 365 = 4 (Zen 5) + 6 (Zen 5c)
- ความเร็วพื้นฐาน 2 GHz บูสต์สูงสุด 5 GHz
ด้วยการที่แบ่งเป็นกลุ่มคอร์ Zen 5 และ Zen 5c ที่ทั้งสองกลุ่มมีชุดคำสั่งเหมือนกัน ทำให้ชิป AMD Strix Point สามารถแบ่งงานให้กับทุกคอร์ไปประมวลผลได้แบบไม่ยุ่งยาก ซับซ้อนมากนัก ลดเวลาในการจัดคิว เวลาในการรอประมวลผลได้ดี ทำให้ได้ประสิทธิภาพโดยรวมเมื่อมีการทำงานแบบ multi-core ที่สูง
ด้านบนนี้ก็เป็นภาพตัวอย่างการวัดและเทียบประสิทธิภาพของชิป AMD ในซีรีส์ Ryzen AI 300 จากเว็บไซต์ Notebookcheck ที่ได้จากค่าเฉลี่ยของเครื่องที่ผ่านการทดสอบมา ถ้าเป็นผลจากการทดสอบ Cinebench 2024 แบบ multi-core ซึ่งเป็นชุดทดสอบยอดนิยม พบว่า AMD Ryzen AI 9 HX 370 และรุ่นท็อปสุดอย่าง HX 375 ต่างก็ทำคะแนนได้สูงเทียบเท่ากับชิปรุ่นท็อป ๆ ของค่ายฟ้า ชิป M3 Pro จาก Apple เลย และก็สูงกว่าชิป Ryzen รุ่นก่อนหน้าหลาย ๆ ตัวด้วย
ส่วนถ้าเป็นคอร์เดี่ยวก็ยังทำได้ดี เทียบชั้นกับชิปเน้นความแรงรุ่นท็อป ๆ ชิปรุ่นยอดนิยมได้สบาย แม้จะเป็นรุ่นเล็กสุดอย่าง AMD Ryzen AI 9 365 ก็ยังมีประสิทธิภาพแบบ single-core ในระดับเดียวกับ Core i7 รหัส HX เลย ดังนั้นจึงแทบไม่ต้องห่วง แม้ว่าโปรแกรมที่ใช้หรือเกมที่เล่นจะถูกเขียนมาให้เน้นการประมวลผลแบบคอร์เดียวเป็นหลัก ชิป AMD Ryzen AI 300 series ก็รองรับได้สบาย
อีกการทดสอบที่น่าสนใจก็คือ Geekbench 6.2 แบบวัดพลัง multi-core ผลที่ได้ก็คือสะใจมากสำหรับการทำงานแบบเน้นมัลติทาสก์ เพราะคะแนนของทั้ง HX 370 นั้นทำได้ใกล้เคียงกับชิปที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM เลย ไม่ว่าจะเป็น Snapdragon X Elite รวมถึง M2 Pro และ M3 Pro ส่วนถ้าเป็น HX 375 คือออกมาแรงกว่า M4 ด้วยซ้ำ
ในขณะเดียวกันก็จะช่วยทำให้ตัวชิปมีค่า TDP ต่ำลง ส่งผลให้กินไฟน้อยลง ความร้อนสะสมลดลง ทำให้แม้จะเป็นชิปรุ่นท็อปอย่าง AMD Ryzen AI 9 HX 375 ก็ยังมีค่า TDP เริ่มต้นต่ำสุดเพียง 15W เท่านั้น ต่างจาก AMD Ryzen 9 8945HS ที่เป็นรุ่นท็อปของ gen ก่อนหน้า ที่จะมีค่า TDP ต่ำสุดตามสเปคถึง 35W ทำให้ชิป AMD Strix Point นั้นเหมาะมากสำหรับใช้กับโน้ตบุ๊กไม่ว่าจะเป็นสายบางเบาแต่ก็ต้องการสมรรถนะสูง โน้ตบุ๊กสายครีเอเตอร์ที่ต้องอาศัยพลังในการเรนเดอร์ การสลับโปรแกรมบ่อย ๆ ไปจนถึงสายเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่ต้องการความเร็ว ความแรงทั้งแบบคอร์เดียวและหลายคอร์
2) GPU ในตัวระดับท็อป ชนการ์ดจอระดับกลางได้
เหตุผลข้อที่สองก็จะมาจาก GPU ที่เป็นกราฟิกในชิป (Integrated GPU) ซึ่งในรอบนี้ AMD ได้ยกระดับประสิทธิภาพขึ้นจากเดิมไปอีกขั้น ซึ่งหลายท่านคงเคยเจอผลการทดสอบพลังของ AMD Radeon 780M ในซีพียูรุ่นต่าง ๆ ไปพอสมควรแล้วว่าสามารถเล่นเกมในยุคปัจจุบันได้หลายเกม โดยที่เฟรมเรตของภาพอยู่ในระดับที่เล่นได้จริง แม้จะมีการต้องปรับลดคุณภาพกราฟิกบางส่วนลงไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าเป็น iGPU ที่แรงมากอยู่ดี แถมในบางการทดสอบคือมีประสิทธิภาพขึ้นไปเทียบชนกราฟิกชิปแยกบางรุ่นได้เลยด้วย
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือกลุ่มของชิป AMD Ryzen Z1 series ที่ออกแบบมาเพื่อเครื่องเกมพีซีพกพาอย่างพวก Steam Deck, ASUS ROG Ally และ Lenovo Legion Go ซึ่งทั้งหมดล้วนใช้พลังประมวลผลกราฟิกจาก AMD Radeon 780M ทั้งสิ้น ประกอบกับการปรับจูนระบบ ปรับจูนตัวเกมให้สามารถรันบนเครื่องพกพาได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเล่นเกมได้อย่างไหลลื่น ทำให้เห็นว่าพลังของ iGPU จาก AMD นั้นเหลือล้น และยังมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาได้อีกไกล
สำหรับในซีพียูรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับโน้ตบุ๊กอย่าง AMD Ryzen AI 300 series ก็จะมาพร้อม iGPU รุ่นใหม่คือ AMD Radeon 800M series ที่ได้รับการตีบวกประสิทธิภาพขึ้นไปอีก โดยในขณะนี้จะมีแบ่งออกมาสองรุ่นย่อย ได้แก่
- AMD Radeon 890M มี 16 คอร์ ความเร็ว 2.9 GHz ใส่มาให้ใน Ryzen AI 9 HX 375 และ HX 370
- AMD Radeon 880M มี 12 คอร์ ความเร็ว 2.9 GHz ใส่มาให้ใน Ryzen AI 9 365
โดยถ้าเทียบสเปคกันแล้ว Radeon 880M จะถือเป็นรุ่นต่อยอดจาก Radeon 780M รุ่นยอดนิยมนั่นเอง ด้วยจำนวนคอร์ที่เท่ากัน แต่ในรอบนี้จะมีความเร็วสูงกว่าเดิม 100 MHz
ซึ่งผลการทดสอบก็ไม่ทำให้ผิดหวังครับ เพราะในบางการทดสอบ บางเกมตัวของ AMD Radeon 880M ก็ทำเฟรมเรตเฉลี่ย ทำคะแนนได้สูงกว่า Radeon 780M แต่ก็จะมีบ้างที่ทำได้ไล่เลี่ยกันหรือบางที 780M ก็ทำได้ดีกว่า อันนี้อาจจะต้องอาศัยเวลาอีกซักพัก รอให้ทั้งทางนักพัฒนาและ AMD ได้ปรับจูนไดรเวอร์และเกมให้เข้ากันได้ดีขึ้น รวมถึงต้องรอให้มีโน้ตบุ๊กที่ใช้ AMD Radeon 880M ออกวางจำหน่ายมากขึ้นด้วย เพราะในปัจจุบันยังจะมีอยู่แต่ในสายของโน้ตบุ๊กครีเอเตอร์เน้นน้ำหนักเบา พกสะดวกเป็นหลัก อาจทำให้ไม่สามารถเค้นประสิทธิภาพของ iGPU ได้ดีเท่ากับเครื่องที่ออกแบบระบบระบายความร้อนมาเป็นอย่างดี หรือพวกเครื่องเกมพกพาที่จะมีการจูนความแรงมาเป็นพิเศษ
ส่วนถ้าเป็น iGPU รุ่นท็อปสุดอย่าง AMD Radeon 890M อันนี้ก็จะมีความแรงที่สูงขึ้นมาอีกขั้นจากการที่มีคอร์มากกว่าถึง 4 คอร์ ส่งผลให้ประสิทธิภาพกราฟิกเมื่อทดสอบด้วย 3DMark ชุด Time Spy ผลที่ได้คือแรงแซงหน้า GTX 1650 Mobile ที่เคยเป็นกราฟิกชิปแยกรุ่นยอดนิยมของเกมมิ่งโน้ตบุ๊กระดับเริ่มต้นในช่วงเวลาหนึ่งได้เลย ส่วนถ้าทดสอบด้วยเกมมหาชนในสายกราฟิกอย่าง Cyberpunk 2077 ที่กราฟิกระดับ low จะได้เฟรมเรตเฉลี่ยที่ประมาณ 46 fps สูงกว่า RTX 2050 ที่เป็นการ์ดจอแยกด้วย ซึ่งน่าสนใจว่าต่อไปอาจจะยิ่งแรงขึ้นไปอีก ตามการปรับจูนที่ดีขึ้นตามแนวทางที่หลาย ๆ ท่านชอบแซว AMD กันคือซื้อวันนี้ แรงวันหน้า
3) NPU รุ่นใหม่ + TOPS สูง ตอบโจทย์ AI ทุกรูปแบบ
นับว่าเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของซีพียูไปแล้ว สำหรับหน่วยประมวลผลที่จำลองระบบโครงข่ายประสาทของมนุษย์ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Neural Processing Unit (NPU) โดยหน้าที่หลักคือจะใช้ในการประมวลผลงานด้าน AI ที่ต้องมีการจัดการกับข้อมูลปริมาณมาก ข้อมูลที่มีความซับซ้อนเช่น โมเดลการประมวลผลแบบ AI ที่สามารถเรียนรู้และปรับการทำงานตามพฤติกรรมของผู้ใช้ได้ ไปจนถึงระบบงานที่สามารถสร้างผลลัพธ์ขึ้นมาจากข้อมูลที่ตัวโมเดลเรียนรู้มา เช่น generative AI ที่ใช้ในการสร้างรูปภาพใหม่ขึ้นมา เป็นต้น
ซึ่งแต่ก่อน ในคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานทั่วไป ระบบเหล่านี้จะใช้การประมวลผลโดย CPU และ GPU เป็นหลัก ต่อมาก็มีการใส่โมดูล NPU เพิ่มเข้ามาในชิปเพื่อจัดการงานในส่วนนี้แทน ข้อดีก็คือตัวชิป NPU จะได้รับการออกแบบมาเพื่องานลักษณะนี้โดยเฉพาะ ทำให้สามารถทำงานรูปแบบนี้ได้เร็วและใช้พลังงานต่ำกว่าการใช้ CPU/GPU มาก ส่งผลให้ซีพียูในยุคหลัง ๆ จะมีการใส่ NPU เพิ่มเข้ามามากขึ้น
สำหรับชิป AMD Strix Point ที่เปิดตัวในขณะนี้ทั้ง 3 รุ่นจะมาพร้อม NPU สถาปัตยกรรม XDNA 2 ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของ AMD ซึ่งแน่นอนว่าประสิทธิภาพจะสูงขึ้นกว่าเดิมด้วยความสามารถของฮาร์ดแวร์ที่สูงขึ้น จากการเพิ่มจำนวน AI Engine Tile จาก XDNA รุ่นแรกที่มี 20 หน่วยเป็น 32 หน่วย รวมถึงรองรับการคำนวณแบบ Block Floating Point 16 บิทที่มีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงขึ้นกว่าก่อนหน้า
ทั้งหมดนี้ทำให้ AMD Ryzen AI 300 series มีพลังในการประมวลผล AI ที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยถ้าเทียบที่หน่วย TOPS (ประมวลผลระดับล้านล้านคำสั่งต่อวินาที) เฉพาะส่วนของ NPU เองจะสามารถทำได้สูงสุดถึง 55 TOPS ซึ่งสูงกว่า AMD Ryzen 9 8945HS ราว 3 เท่าตัว แล้วถ้านับพลังรวมทั้งชิปเลยก็จะสามารถทำได้สูงสุดถึง 85 TOPS ซึ่งจัดว่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
จำนวน TOPS จะส่งผลโดยตรงถึงประสิทธิภาพในการประมวลผลด้าน AI โดยจุดที่เห็นได้ชัดสุดในมุมมองของผู้ใช้ทั่วไปก็คือการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์ม Copilot+ PC ของ Microsoft ที่มีการกำหนดสเปคขั้นต่ำของชิปประมวลผลไว้ว่าจะต้องมีพลังการคำนวณ AI ขั้นต่ำ 40 TOPS ขึ้นไป ซึ่งเฉพาะส่วน NPU ของ AMD Ryzen AI 9 365 เองก็ผ่านเกณฑ์ได้แบบสบาย ๆ แล้ว
นอกจากนี้ AMD เองก็มีการพัฒนาและสร้างความร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ จับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทซอฟต์แวร์หลากหลายราย อาทิ Adobe, Meta, Microsoft, OpenAI, DeepLearning, Topaz, TensorFlow, ONNX และอื่น ๆ อีกมากกว่า 150 ราย เพื่อร่วมกับผลักดันนวัตกรรม AI และทำให้สามารถรีดประสิทธิภาพของชิป AMD มาใช้งานได้อย่างเต็มที่ผ่านเทคโนโลยี AMD Ryzen AI เพื่อที่จะให้ผู้ใช้งานและนักพัฒนาสามารถใช้แอปพลิเคชัน แพลตฟอร์ม โมเดล AI หรือเฟรมเวิร์คด้าน machine learning ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันตัวของระบบ AMD Ryzen AI ก็มาถึงเวอร์ชัน 1.2 ที่รองรับซีพียูรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง AMD Ryzen AI 9 HX 370 และ 365 เรียบร้อยแล้วด้วย ซึ่งจะสามารถเรียกใช้งานทั้ง iGPU และ NPU ในการทำงานได้ตามต้องการ รองรับการใช้งาน LLM Flow ได้ทั้งกับใน PyTorch และ ONNX Runtime เลย เรียกว่าน่าจะถูกใจผู้ที่ต้องการโน้ตบุ๊กที่จะนำมาใช้งานในลักษณะนี้ได้ดีทีเดียว
สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปก็สามารถสัมผัสเทคโนโลยีด้าน AI ได้เช่นกัน โดยจะผ่านทางซอฟต์แวร์และเกมต่าง ๆ เช่นซอฟต์แวร์ที่เขียนมาเพื่อช่วยในการสร้างรูปภาพ (image generation) ผ่านโมเดล AI ในตัว ระบบช่วยในการเกลาข้อความที่ฝังอยู่ในซอฟต์แวร์ต่าง ๆ รวมถึงระบบช่วยเพิ่มเฟรมเรตในเกมอย่าง AFMF 2 ของ AMD เอง ที่สามารถใช้ NPU ภายใน AMD Ryzen AI 300 series มาช่วยในการประมวลผลเพื่อสร้างเฟรมภาพขึ้นมาแทรกให้ภาพในเกมออกมามีเฟรมเรตสูงขึ้นได้ด้วย โดยที่ยังได้คุณภาพของภาพที่ดี มี latency ต่ำ ซึ่งจากผลการทดสอบที่ AMD เผยแพร่ก็สามารถเพิ่มเฟรมในบางเกมได้หลักสิบเฟรมเลย
ซีพียู AMD Strix Point กับจุดเด่นทั้ง 3 ด้าน
จากทั้งหมด จะเห็นได้ว่าซีพียู AMD ในโค้ดเนม Strix Point หรือที่มีชื่อซีรีส์อย่างเป็นทางการว่า AMD Ryzen AI 300 series นั้นมาพร้อมการอัปเกรดจากรุ่นก่อนหน้าใน 3 ด้านหลัก ๆ ได้แก่ด้านของ CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรมคอร์แบบใหม่ ให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงขึ้น มีแนวโน้มในการกินไฟรวมน้อยลง ตอบโจทย์การทำงานที่ต้องใช้หลายโปรแกรมพร้อม ๆ กัน ใช้เรนเดอร์หรือประมวลผลงานที่จำนวนคอร์และเธรดมีผลต่อประสิทธิภาพโดยตรงได้เป็นอย่างดี
ต่อมาก็คือ GPU ในตัวที่ยกระดับมาเป็น AMD Radeon 800M series ซึ่งก็มีการปรับปรุงภายในให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น รวมถึงมีการออกรุ่นใหม่อย่าง AMD Radeon 890M ที่แรงขึ้นไปอีกด้วยจำนวนคอร์ที่มากขึ้นเป็น 16 คอร์ ทำให้เรื่องกราฟิก iGPU ที่ซีรีส์ก่อนหน้าก็สร้างชื่อไว้ดีอยู่แล้ว มารอบนี้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก ดังจากที่จะเห็นในบางการทดสอบ iGPU ของ AMD รุ่นใหม่ล่าสุดสามารถทำคะแนนประสิทธิภาพและเฟรมเรตได้สูงกว่าการ์ดจอแยกระดับกลางรุ่นยอดนิยมไปแล้วก็มี
สุดท้ายก็คือ NPU ที่มาพร้อมสถาปัตยกรรมใหม่เช่นเดียวกัน ทำให้มีประสิทธิภาพในการคำนวณที่ซับซ้อนที่สูงยิ่งขึ้น ร่วมกับการรองรับเทคโนโลยีสาย machine learning ต่าง ๆ ได้หลากหลายยิ่งขึ้นตามแนวทางความร่วมมือระหว่าง AMD กับนักพัฒนาจำนวนมาก ทำให้ประสิทธิภาพด้านการประมวลผล AI ของชิป AMD Strix Point สูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าเป็นเท่าตัว ซึ่งเมื่อรวมทั้งสามด้านเข้าด้วยกัน ก็จะทำให้ AMD Ryzen AI 300 series เป็นหนึ่งในซีพียูที่ตอบโจทย์การใช้งานโน้ตบุ๊กในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดี เพราะได้ความแรงแบบรอบด้าน การใช้งานก็ครอบคลุมแทบทุกความต้องการแบบสบาย ๆ