Connect with us

Hi, what are you looking for?

CONTENT

ซื้อ iPad Air และ Pro รุ่นไหนดี – Gen ใหม่สเปคสด 2024 vs Gen เก่าลดราคา

เลือกซื้อ iPad Air และ iPad Pro 2024 รุ่นใหม่ แบบไหนดี สเปคสดใหม่ รุ่นเก่าราคาดี

ซื้อ iPad Air และ Pro รุ่นไหนดี 2024

เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ iPad รุ่นใหม่ล่าสุดหลังจากที่เว้นวรรคมานานข้ามปี สำหรับรอบนี้ก็เริ่มที่ iPad Air 6 และ iPad Pro 2024 ที่มีการอัปเดตสเปคไปตามยุค จุดที่เห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนชิปประมวลผลมาเป็น Apple M2 ในรุ่น Air และ M4 ในรุ่น Pro ซึ่งหนึ่งในคำถามของหลายคนที่กำลังเล็งแท็บเล็ตเครื่องใหม่อยู่ก็คงหนีไม่พ้นว่าจะซื้อ iPad Air/Pro รุ่นใหม่ของปี 2024 หรือจะสอย Gen เก่าลดราคาที่ยังประสิทธิภาพสูงอยู่ดี ในบทความนี้เราจะมาเทียบกันดูครับ เผื่อเป็นตัวช่วยในการพิจารณาของหลาย ๆ ท่านได้

ก่อนอื่นเรามาสรุปสเปค iPad Air 6 และ iPad Pro 2024 ที่เพิ่งเปิดตัวไปกันก่อน

Advertisement

เปรียบเทียบสเปค iPad Air รุ่นใหม่แบบไหนดี?


สเปค iPad Air 6 2024

  • ชิปประมวลผล Apple M2
  • แรม 8GB
  • หน้าจอ LED IPS มีสองขนาดคือ 11″ และ 13″
  • พื้นที่เก็บข้อมูลที่มีให้เลือก: 128, 256, 512GB และ 1TB
  • กล้องหลัง 12MP f/1.8 Smart HDR 4 ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K 60fps
  • กล้องหน้าเปลี่ยนมาวางตามแนวนอนของจอ 12MP f/2.4 Smart HDR 4
  • พอร์ตชาร์จ USB-C รองรับ USB 3 (ความเร็วสูงสุด 10 Gb/s) และใช้ต่อจอนอกผ่าน DisplayPort ได้
  • Touch ID ที่ปุ่ม Power
  • Wi-Fi 6E (802.11AX) + Bluetooth 5.3
  • รุ่นใส่ซิม รองรับแค่ eSIM เท่านั้น
  • รองรับปากกา Apple Pencil Pro และ Pencil USB-C
  • น้ำหนัก 462 กรัม (11″) และ 617 กรัม (13″)
  • ราคาเริ่มต้น 23,900 บาท (128GB Wi-Fi) มีให้เลือก 4 สี
Screenshot 2024 05 07 at 9.09.50 PM scaled

ต้องบอกว่าค่อนข้างเป็นไปตามข่าวลือที่มีออกมาก่อนหน้านี้คือ iPad Air 6 จะมีออกมาสองขนาดหน้าจอให้เลือกคือ 11″ และ 13″ ที่มีขนาดเท่า ๆ กับ iPad Pro 12.9″ รุ่นปี 2022 อีกส่วนที่ขยับขึ้นมาแบบเห็นได้ชัดคือการเปลี่ยนจาก Apple M1 มาใช้ชิป M2 ที่แม้จะไม่ได้เป็นชิปรุ่นล่าสุด แต่ก็ยังแรงเหลือเฟือไปอีกหลายปี ประกอบกับถ้าให้วิเคราะห์ ประสิทธิภาพที่ได้กลับมาจากการขยับข้ามไป M3 เลย ต้องบอกว่าไม่ได้เหนือกว่า M2 แบบก้าวกระโดดมากนัก ส่วนถ้าจะไปใช้ M4 รุ่นใหม่ล่าสุด มันก็ดูจะชนกับ iPad Pro 2024 เกินไป ดังนั้นการเลือกใช้ M2 ดูจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในเชิงแนวทางการทำตลาดของ Apple เองที่สุด ประกอบกับการตั้งราคามาเท่าเดิม ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ iPad Air 6 ที่ใหม่กว่าได้ง่ายขึ้น แต่ราคาไทยก็มีการปรับนิดหน่อยตามค่าเงินบาท

และที่มักถูกมองข้ามไป แต่อาจเป็น pain point สำหรับผู้ที่ใช้ iPad เป็นอุปกรณ์หลักในการทำงานมาตลอดก็คือเรื่องตำแหน่งกล้องหน้า ที่ในที่สุดก็ย้ายมาไว้ตามแนวนอนของจอเหมือนกับใน iPad Gen 10 ซักที ทำให้สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับการใช้เพื่อวิดีโอคอล ใช้ประชุมออนไลน์ รวมถึงจะได้สอดคล้องกับภาพการนำเสนอ iPad Air ที่ผ่านมาซึ่งเน้นวางตัวเครื่องในแนวนอนเป็นส่วนใหญ่ด้วย รอบนี้จะได้วางเครื่องแนวนอนได้แบบไม่ตะขิดตะควงใจแล้ว

Screenshot 2024 05 07 at 9.09.39 PM scaled

ส่วนจุดอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็เช่น รุ่น cellular จะใช้ได้เฉพาะ eSIM เท่านั้น ไม่สามารถใช้ซิมการ์ดแบบเดิมได้อีก และก็เรื่องอุปกรณ์เสริมที่บนหน้าเว็บไซต์จะระบุว่ารองรับเฉพาะ Apple Pencil Pro และ Apple Pencil (USB-C) เท่านั้น ไม่สามารถใช้รุ่น 2nd Gen ได้ รวมถึงคีย์บอร์ดยังไม่สามารถใช้ Smart Keyboard Folio รุ่นถูกกว่าได้ด้วย ใช้ได้แค่ Magic Keyboard ที่ราคาเริ่มต้น 11,990 บาทเท่านั้น (ส่วน 3rd party ยังใช้ได้อยู่) ทำให้ถ้าหากจะซื้อ iPad Air 6 ก็เท่ากับว่าอุปกรณ์เสริมที่ใช้กับ Air รวมถึง Pro เครื่องเก่าจะแทบไม่สามารถนำมาใช้กับ Air 6 ได้เลย ยกเว้นพวกอุปกรณ์แนวสายต่อที่ใช้ร่วมกันได้อยู่แล้ว

Screenshot 2024 05 08 at 9.40.54 AM

สเปค iPad Pro 2024 (11″ และ 12.9″)

  • ชิปประมวลผล Apple M4
    • รุ่นความจุ 256 และ 512GB – CPU 9 คอร์ (3+6) / GPU 10 คอร์ / Neural Engine 16 คอร์ / แรม 8GB
    • รุ่นความจุ 1TB และ 2TB – CPU 10 คอร์ (4+6) / GPU 10 คอร์ / Neural Engine 16 คอร์ / แรม 16GB
  • หน้าจอ Tandem OLED ขนาด 11″ และ 13 ProMotion 120Hz / ขอบเขตสี Display P3 / ความสว่างสูงสุด 1600 nits
  • พื้นที่เก็บข้อมูลที่มีให้เลือก: 256GB, 512GB, 1TB และ 2TB
  • กล้องหลังเหลือตัวเดียว 12MP f/1.8 Smart HDR 4 ถ่ายวิดีโอได้สูงสุด 4K 60fps
  • กล้องหน้า 12MP f/2.4
  • พอร์ตชาร์จ USB-C รองรับ Thunderbolt 3 และ USB4 ความเร็วสูงสุด 40 Gb/s และใช้ต่อจอนอกผ่าน DisplayPort ได้
  • รองรับ Face ID
  • Wi-Fi 6E (802.11AX) + Bluetooth 5.3
  • รองรับปากกา Apple Pencil Pro และ Apple Pencil (USB-C)
  • รุ่นใส่ซิม รองรับแค่ eSIM เท่านั้น
  • น้ำหนัก 444 กรัม (11″) และ 579 กรัม (13″)
  • มีให้เลือก 2 สี ราคาเริ่มต้น
    • 11″ 256GB Wi-Fi = 39,900 บาท
    • 13″ 256GB Wi-Fi = 52,900 บาท
Screenshot 2024 05 07 at 9.35.53 PM scaled

รอบนี้แม้หน้าตาจะคล้ายรุ่นเดิมมาก แต่ก็มากับความบางที่ Apple ประกาศว่าเป็นสินค้าที่ผลิตออกมาได้บางที่สุดเท่าที่ตนเองเคยทำมา กับความบางสุดแค่ 5.1 มม. ส่วนภายใน iPad Pro 2024 มีการปรับเปลี่ยนสเปคหลายจุดเพื่อฉีกตัวเองให้ห่างจากรุ่น Air อย่างเห็นได้ชัด ไล่ตั้งแต่ชิปประมวลผลที่เป็นผลิตภัณฑ์ Apple รุ่นแรกของปีนี้ที่มาพร้อมชิป M4 ซึ่งในเชิงของความเร็วความแรงนั้นก็สูงขึ้นตามปกติ แต่มีการเน้นความสามารถการทำงานด้าน AI แบบเฉพาะทางให้สูงกว่าเดิม คาดกันว่าเราน่าจะเห็นภาพแบบชัด ๆ ว่า Apple จะนำเทคโนโลยี AI มาใช้ทำอะไรบ้างก็ในงาน WWDC 2024 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 10-14 มิถุนายนที่จะถึงนี้ แต่ที่แน่ ๆ คือชิป M4 ใช้งานได้แบบสตรีมแน่นอน โดยสิ่งที่จะได้จากการมีพลังประมวลผล AI ที่สูงก็คือความสามารถของ iPadOS ที่จะมากขึ้นกว่าเดิม หรืออาจทำงานบางอย่างได้เร็วขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง อันนี้ก็คงต้องดูกันในเดือนหน้าและช่วงปลายปีที่เปิดอัปเดต iPadOS 18 กันอีกที

2Screenshot 2024 05 07 at 9.18.55 PM scaled

ตัวชิป Apple M4 ก็จะเน้นเพิ่มประสิทธิภาพที่สูงขึ้น การจัดการพลังงานที่ดีกว่าเดิม เทียบแล้วคือมีประสิทธิภาพของ CPU ที่สูงกว่าชิป M2 ถึง 50% ทำให้หากต้องการประมวลผลงานใดงานหนึ่ง ชิป M4 จะใช้พลังงานที่น้อยกว่าชิป M2 ถึงหนึ่งเท่าตัว ด้านของ GPU ก็เรนเดอร์ได้แรงกว่า M2 ถึง 4 เท่า รองรับ Ray tracing เหมือน M3 แต่ที่เป็นไฮไลท์คือ Neural Engine ที่ใช้ประมวลผลงานด้าน AI ถึงแม้จะยังมี 16 คอร์เท่าเดิม แต่ก็มีการปรับปรุงภายในทำให้มีความสามารถในการประมวลผลได้สูงสุดถึง 38 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที ซึ่งเร็วกว่าชิป A11 Bionic ที่เป็นชิปจาก Apple รุ่นแรกที่มี Neural Engine ในตัวถึง 60 เท่า ส่วนชิปรุ่นก่อนหน้าจะมีประสิทธิภาพดังนี้

  • ชิป A11 Bionic = 600 ล้านคำสั่ง
  • ชิป M1 = 11 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที
  • ชิป M2 = 15.8 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที
  • ชิป M3 เร็วกว่า M1 สูงสุด 60% คำนวณแล้วเท่ากับประมาณ 18 ล้านล้านคำสั่งต่อวินาที

ถ้าจะเทียบกับชิปของฝั่ง Intel, AMD และ Qualcomm อันนี้ตอบยากครับ เพราะไม่แน่ชัดว่าแต่ละฝ่ายใช้การวัดจำนวนคำสั่งที่ NPU ประมวลผลได้แบบใด จึงไม่ค่อยน่าจับตัวเลขมาเทียบกันตรง ๆ เท่าไหร่ อีกเรื่องที่ดูน่าสนใจคือรอบนี้มีการใส่ทองแดงไว้ที่บริเวณโลโก้ Apple ด้านหลังเพื่อช่วยระบายความร้อนแล้ว

Screenshot 2024 05 07 at 9.14.54 PM scaled

ต่อมาคือการเปลี่ยนพาเนลหน้าจอจาก IPS ที่ใช้แหล่งกำเนิดแสงจากหลอด mini-LED มาเป็น OLED เต็มตัว ทำให้ถือเป็น iPad รุ่นแรกที่ใช้จอ OLED อีกด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีใช้มาอยู่แล้วในกลุ่มของ iPhone และ Apple Watch แต่ที่พิเศษยิ่งกว่าคือรอบนี้มาเป็นสองพาเนลวางซ้อนกัน เพื่อให้ความสว่างที่สูงกว่าเดิมโดยเรียกว่าเป็นแบบ Tandem OLED ส่วนจอก็จะได้ชื่อเรียกว่า Ultra Retina XDR display ความสว่างสูงสุด 1600 nits ตอนใช้ HDR ซึ่งการที่ iPad Pro 2024 หันมาใช้ OLED สิ่งที่คาดหวังได้ก็คือสีสัน คอนทราสต์ และความสว่างของจอภาพที่เหนือกว่าเดิม ข้อจำกัดเรื่องการ local dimming แสงจอก็จะหมดไป ส่วนการใช้พลังงานก็คงต้องรอดูตอนออกวางขายจริงอีกที เพราะถึงแม้ OLED จะกินไฟต่ำกว่า IPS ก็จริง แต่รอบนี้ Apple ใส่มาสองแผงซ้อนกันเลย

แต่ก็จะมีข้อควรระวังนิดนึงสำหรับใครที่ต้องเปิดหน้าจอ iPad Pro ค้างหน้าเดิม หรือมีการแสดงผลจุดเดิมแบบเดิมติดต่อกันนาน ๆ เช่น เปิดแอปวาดรูปค้างไว้ ที่ในแอปก็จะมีกล่องเครื่องมือต่าง ๆ วางอยู่ ด้วยข้อจำกัดของจอ OLED เรื่องการ burning ที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นก็อาจจะต้องปรับพฤติกรรมการใช้บ้างนิดนึง ถ้าไม่ได้ใช้งานนาน ๆ ก็สลับไปหน้าแอปอื่น หรือปิดหน้าจอไว้ ซึ่งจะเป็นการถนอมจอได้ดี และจากที่ดูรวม ๆ กันทั้งสเปค หน้าจอ ความบางเครื่อง ดูแล้วน่าจะเกือบบังคับให้ลูกค้าที่ซื้อ iPad Pro 2024 ต้องซื้อแพ็คเกจ AppleCare+ ราคา 5,990 บาทกันเหนียวไว้ก่อนด้วย เพราะค่าซ่อมความเสียหายอื่น ๆ ตามที่ระบุบนหน้าเว็บ Apple เอง สำหรับ iPad Pro 11″ M4 จะอยู่ที่ 33,690 บาท ส่วนถ้าเปลี่ยนแบตก็ 7,190 บาทเข้าไปแล้ว

Screenshot 2024 05 07 at 9.28.45 PM scaled

ข้อสังเกตของ iPad Pro 2024 ทั้งสองขนาดหน้าจอ

  • กล้องหลังตัดเลนส์อัลตร้าไวด์ออก แทนที่ด้วยเซ็นเซอร์ LiDAR ที่ขยับตำแหน่งลงมา ทำให้เหลือกล้องหลังแค่ตัวเดียว
  • กล้องหน้าย้ายมาวางตามแนวนอนเหมือน Air 6 และ Gen 10
  • ตามสเปคไม่สามารถใช้ปากกา Apple Pencil 2 ได้ ถ้าอยากใช้ปากกาแบบแปะชาร์จกับตัวเครื่อง ต้องซื้อปากการุ่น Pro เท่านั้น

ทีนี้พอทราบสเปคคร่าว ๆ แล้ว เรามาเทียบกันรุ่นต่อรุ่นเลยดีกว่า


เปรียบเทียบ iPad Air 6 กับ Air 5

Screenshot 2024 05 08 at 10.31.52 AM

หน้าเทียบสเปค iPad Air 6 กับ Air 5

แน่นอนว่าสิ่งที่รุ่นใหม่เหนือกว่าก็คือตัวเลือกของหน้าจอที่มีทั้ง 11″ เท่า ๆ เดิมและก็ 13″ ที่ภาพใหญ่เต็มตาขึ้น แต่ในเชิงของเทคโนโลยีจอนั้นไม่มีความแตกต่างกันแบบเห็นได้ชัด ทำให้ถ้าหากนำเรื่องหน้าจอมาเป็นปัจจัยหลัก อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าจอที่ต้องการได้เลย ถ้าต้องการจอใหญ่มาก ๆ ก็มีเพียงตัวเลือกเดียว แต่ถ้าโอเคกับขนาดประมาณ 11″ แล้ว ก็คงต้องนำปัจจัยอื่นมาร่วมพิจารณากันต่อ

ซึ่งสิ่งที่ iPad Air 6 ให้ก็คือความสดใหม่ของสเปค ที่เปลี่ยนจากชิป M1 มาใช้เป็น M2 ซึ่งถึงแม้จะไม่ได้เป็นชิปรุ่นล่าสุดในตอนนี้ก็ตาม แต่ประสิทธิภาพก็ยังใช้งานไปได้อีกหลายปีสำหรับการใช้งานทั่วไป หรือจะใช้ทำงานที่จริงจังระดับหนึ่งก็ยังไหว ความจุก็มีการขยับขั้นต่ำขึ้นมาเป็น 128GB และเพิ่มตัวเลือก 512GB กับ 1TB เข้ามา ทำให้แม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้นแต่ก็ยังน่าจะตอบโจทย์หลายท่านได้แล้วโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มเงิน

หากพูดถึงเรื่องเงิน อันนี้คือแทบจะปิดประเด็นได้เลย เพราะ iPad Air 6 เปิดราคาไทยเริ่มต้นมาที่ 23,900 บาทเท่า Air 5 เลย ส่วนรุ่นจอ 13″ จะกระโดดไปเริ่มที่ 29,900 บาท ซึ่งหากมองที่รุ่นจอ 11″ เป็นหลัก สำหรับใครที่มีงบที่สองหมื่นกว่า ๆ อยู่แล้ว ก็ซื้อ iPad Air 6 ไปเลย แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะเห็นการจัดโปรโมชัน iPad Air 5 ตามช่องทางออนไลน์ลงมาเหลือต่ำสุดราว ๆ 16,000 บาทก็ตาม แต่อย่าลืมว่านั่นคือรุ่นความจุ 64GB เท่านั้น ที่ต้องยอมรับว่าค่อนข้างอึดอัดไปนิดสำหรับการใช้งานในปัจจุบัน ส่วนรุ่น 256GB จัดโปรจะอยู่ที่ประมาณ 26,000 บาท ถ้าได้ราคานี้ก็ซื้อ iPad Air 6 256GB ไปเลยดีกว่า เพราะราคาเปิดมาที่ 27,900 บาท แบบได้สเปคสดใหม่กว่า อัปเดต iPadOS ได้นานกว่าแน่ ๆ ด้วย


เปรียบเทียบ iPad Air 6 11″ กับ iPad Pro 11″ M2

Screenshot 2024 05 08 at 10.47.39 AM

จัดว่าเป็นคู่เทียบที่น่าสนใจมาก เพราะเป็น iPad ที่ใช้ชิป M2 เหมือนกัน ส่วนราคาแม้ว่ารุ่น Pro จะสูงกว่า เช่นในสองรุ่นความจุยอดนิยมที่ทั้งสองรุ่นมีวางขายเหมือนกัน

  • 128GB – 23,900 (Air M2) vs 32,900 (Pro M2)
  • 256GB – 27,900 (Air M2) vs 36,900 (Pro M2)

จะเห็นว่าทั้งสองรุ่นส่วนต่างอยู่ที่ 9,000 บาท เราก็คงต้องมาดูว่าสิ่งที่ตัว Pro M2 เหนือกว่ามีอะไรบ้าง ตัวอย่างก็ได้แก่

  • หน้าจอมี ProMotion 120Hz จอสว่างกว่า
  • กล้องหลังมีเลนส์อัลตร้าไวด์ มี LiDAR รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ ProRes การถ่ายภาพ portrait และมีแฟลช
  • มี Face ID พร้อมกล้องหน้า TrueDepth
  • พอร์ต USB-C รองรับทั้ง Thunderbolt และ USB4
  • ลำโพง 4 ตัว ไมค์ 5 ตัว
  • ตัวเครื่องน้ำหนักพอ ๆ กัน
  • ใช้ Smart Keyboard Folio ได้
  • ใส่นาโนซิมได้ (ในรุ่น Wi-Fi + Cellular)

อันนี้ก็ต้องวัดจากความต้องการใช้งาน iPad ของแต่ละท่านเองครับ ว่าสิ่งที่ได้มาเหล่านี้จะโอเคหรือเปล่ากับส่วนต่าง 9,000 บาท แต่อาจจะต้องรีบซื้อซักนิดนึง เพราะของสต็อกตามหน้าร้านน่าจะเหลือไม่เยอะมากนัก หรืออาจจะยุติการวางจำหน่ายในเร็ว ๆ นี้ ตอนที่รุ่น Pro 2024 วางขายอย่างเป็นทางการก็ได้

แต่ถ้าในการใช้งานทั่วไป ใช้ดูหนัง เล่นเกม ทำงาน วาดเขียน จดบันทึก ส่วนตัวผมมองว่าซื้อ iPad Air 6 256GB แล้วบวก AppleCare+ อีก 2,990 บาทน่าจะลงตัวสุดครับ กับราคาปิดที่ 30,890 บาท ซึ่งถูกกว่า Pro 11″ M2 128GB ซะอีก (32,900 บาท) เว้นแต่ว่าจะมีอาการติดจอ Hz สูงแบบขาดไม่ได้จริง ๆ อันนี้ก็บังคับว่าเลือกรุ่นโปรได้เลย ถ้าเน้นราคาเบาหน่อยก็ Pro M2 เพราะประสิทธิภาพก็ยังดีอยู่ รองรับการอัปเดตไปได้อีกนาน แต่ก็อาจต้องดู ๆ เรื่อง AppleCare+ ด้วยเหมือนกัน เพราะค่าซ่อมรุ่น Pro จะสูงกว่า Air อยู่ประมาณนึง

ส่วนถ้ามองเป็น Pro M2 11″ Wi-Fi มือสองสภาพดี อันนี้น่าสนใจครับ เท่าที่ลองหาใน Facebook Marketplace ตอนนี้จะเจอราคาอยู่ในช่วงกว้าง ๆ ตั้งแต่หมื่นกลางจนถึงสามหมื่น แล้วแต่ความจุ สภาพและการรับประกัน ถ้าหาดี ๆ อาจจะได้รุ่น 512GB ในราคาถูกกว่าซื้อ iPad Air 6 256GB ซะอีก แต่ก็ต้องเลือกต้องเช็คเครื่องดี ๆ หน่อย


เปรียบเทียบ iPad Pro M4 กับ iPad Pro M2

Screenshot 2024 05 08 at 11.12.49 AM

หน้าเทียบสเปค iPad Pro 13″ M4 / 11″ M4 และ 11″ M2

เริ่มที่รุ่นจอ 11″ กันก่อน สิ่งที่รุ่นใหม่ต่างจากรุ่นก่อนหน้าแบบเห็นได้ชัดคือ

  • ชิปเปลี่ยนมาใช้ M4 ตัวใหม่ล่าสุด แรงขึ้น ประหยัดพลังงานขึ้น เตรียมเข้าสู่ยุค Apple AI เต็มตัว
  • iPad Pro M4 มีการแบ่งสเปคย่อยเรื่องคอร์ CPU ตามความจุเครื่องอีก
  • จอ OLED แบบสองชั้นซ้อนกัน (Tandem OLED) ให้ภาพสว่างกว่า คอนทราสต์สูงกว่า
  • ตัวเครื่องบางกว่า เบากว่า
  • กล้องหลังเหลือตัวเดียว กล้องหน้าย้ายมาวางตามแนวนอนของจอ
  • กล้องหลังถ่ายวิดีโอ 4K 60fps ProRes ลง external SSD ได้
  • ไมโครโฟนลดจาก 5 เหลือ 4 ตัว
  • รุ่นใหม่ใช้นาโนซิมไม่ได้แล้ว
  • มีตัวเลือกผิวหน้าจอนาโนให้เลือกได้ สำหรับความจุ 1 และ 2TB โดยจ่ายเพิ่ม 4,000 บาท
Screenshot 2024 05 08 at 2.07.40 PM

เรียกว่าตัว Pro รุ่นใหม่จะดูน่าสนใจมากสำหรับสายงานโปรดักชัน สายงานที่ต้องประมวลผล การเรนเดอร์หนัก ๆ แต่ก็ต้องการความสะดวกในการพกพา จากพลังของชิป M4 ที่แรงกว่า CPU ในคอมหลายรุ่นซะอีก แล้วรอบนี้น่าจะถูกใจยิ่งขึ้นด้วยจอที่ขยับมาเป็น OLED ซักที ส่วนราคาก็จัดว่าสูงขึ้นกว่าเดิมพอสมควร โดยเริ่มเทียบที่ความจุ 256GB ซึ่งมีขายทั้งคู่เหมือนกัน

รุ่น Wi-Fi (ต่างกัน 3,000 บาท)

  • 256GB – 39,900 (M4) vs 36,900 (M2)
  • 512GB – 47,900 (M4) vs 44,900 (M2)
  • 1TB – 63,900 (M4) vs 60,900 (M2)
  • 2TB – 79,900 (M4) vs 76,900 (M2)

รุ่น Wi-Fi + Cellular (ต่างกัน 5,000 บาท)

  • 256GB – 47,900 (M4) vs 42,900 (M2)
  • 512GB – 55,900 (M4) vs 50,900 (M2)
  • 1TB – 71,900 (M4) vs 66,900 (M2)
  • 2TB – 87,900 (M4) vs 82,900 (M2)

หลัก ๆ ก็จะคล้ายกับ iPad Air ครับ คือมองที่ความต้องการใช้งานของตนเองก่อน ว่าสิ่งที่เครื่องรุ่นใหม่ให้มานั้นตอบโจทย์หรือไม่ ถ้าเป็นงานตัดต่อวิดีโอทั่วไป ทำหนังสั้น เอาจริง ๆ ตัว Pro M2 ก็ยังใช้งานได้สบาย แต่ถ้าเป็นงานสเกลจริงจัง แบบที่ใช้แค่ไม่กี่งานก็คืนทุนแล้ว อันนี้เชียร์ว่าไปรุ่นใหม่เลยดีกว่า เพราะเผลอ ๆ สิ่งที่ได้มาคือการทำงาน การเรนเดอร์ที่เร็วขึ้น งานเสร็จเร็วกว่าเดิมจนน่าจะมีเวลาไปหาเงินแทนส่วนต่างระหว่างรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ที่ 3,000 – 5,000 บาทได้สบาย แถมถ้าซื้อแบบผ่อน 0% ก็เท่ากับว่าจ่ายเพิ่มอีกเดือนละ 300 – 500 บาท แลกกับการได้ใช้ของใหม่ที่แรงกว่า และอาจประหยัดเวลาในการทำงานลงแบบเห็นได้ชัดอยู่เหมือนกัน

แต่ถ้าต้องการซื้อมาใช้งานทั่วไป แบบอยากได้ภาพบนจอลื่น ๆ มีใช้ตัดต่อคลิปบ้าง ใช้ขายของ คุยงาน ลักษณะนี้ไปหา Pro M2 ก็ยังได้ มันแรงเหลือเฟือมาก ๆ และถ้าลดงบลงอีก ก็จะมีความจุ 128GB ให้เลือกอยู่ กับราคาที่ 32,900 บาท แต่ถ้าเอามาใช้งานด้านวิดีโอก็อาจต้องขยันลบไฟล์ซักหน่อย

Screenshot 2024 05 08 at 11.41.02 AM

ส่วนรุ่นหน้าจอ 13″ ที่เทียบกับ iPad Pro 12.9″ M2 นั้น ที่จริงแล้วจะเป็นสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกับรุ่นจอ 11″ เลย คือมีการอัปเกรดสเปคภายในให้ดีขึ้น ปรับหน้าตาภายนอกให้ดูเพรียวบางลง รวมถึงจุดที่ถูกตัดออกก็เช่นกัน แต่สิ่งที่มองว่าน่าสนใจคือน้ำหนักตัวเครื่องที่รุ่น 13″ M4 เบากว่า 12.9″ M2 ถึงร่วมหนึ่งร้อยกรัมนิด ๆ แถมยังเบากว่า iPad Air 6 รุ่นจอ 13″ อีกด้วย อันนี้จัดว่าน่าสนใจมากว่า Apple อัดทุกสิ่งลงไปแบบจัดเต็มมาก โดยเฉพาะแผง OLED ของจอที่ซ้อนกัน 2 แผง แต่ยังทำให้เครื่องเบากว่ารุ่นราคาต่ำกว่าได้อีก

ด้านของสเตปราคาของทั้งสอง gen นี้ก็จะต่างกันอยู่ที่ 4,000 บาทในรุ่น Wi-Fi และ 6,000 บาทในรุ่น Wi-Fi + Cellular หากเริ่มเทียบที่ความจุ 256GB ซึ่งมีขายทั้งคู่เหมือนกัน ทำให้จุดสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อ iPad Pro ก็หนีไม่พ้นว่าสเปคที่เพิ่มเข้ามาของรุ่นใหม่มันตอบโจทย์การใช้งานขนาดไหน หากต้องการนำมาใช้งานแบบแทนคอมตั้งโต๊ะ แทนโน้ตบุ๊กแบบจริงจัง อันนี้เชียร์ว่าซื้อรุ่นใหม่เผื่อไปเลยดีกว่า เพราะได้จอที่ใหญ่ ภาพสวย ได้กล้องวางแนวนอน และประสิทธิภาพที่น่าจะพอกับการใช้งานที่แอปและเว็บต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะกินสเปคมากขึ้นอีกในอนาคต

แต่ถ้าหากมองว่าราคาสูงไปหน่อย แล้วของที่ได้เพิ่มมาไม่ค่อยมีผลกับการใช้งานมากนัก ตัว 12.9″ M2 ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีอยู่ กับราคาเริ่มต้นที่ 44,900 บาทในรุ่นความจุ 128GB


สรุป – ซื้อ iPad Air 6 / Pro 2024 หรือรุ่นก่อนหน้าดี?

Screenshot 2024 05 07 at 9.35.36 PM scaled

กับ iPad ทั้งสองซีรีส์ที่เปิดตัวรุ่นใหม่ในรอบนี้ หากกำลังตัดสินใจว่าจะซื้อ iPad Air 6, iPad Pro 2024 หรือหาเครื่องรุ่นก่อนหน้าดี แกนหลักในการเลือกก็คงหนีไม่พ้นเรื่องงบที่มี และความต้องการด้านสเปคอยู่ดีครับ เพราะทั้งสองกลุ่มจะเน้นที่การอัปเดตฮาร์ดแวร์ภายในให้ดีขึ้น แรงขึ้น ใช้พลังงานคุ้มกว่ารุ่นก่อนหน้า จะมีรุ่น Pro ที่ดูมีอะไรมากหน่อย คือปรับดีไซน์เครื่องให้บางเบาลงกว่าเดิมแบบเห็นได้ชัด จอที่อัดแผง OLED ซ้อนกันมาให้แบบจัดเต็ม และที่ข้ามไม่ได้จริง ๆ คือการใช้ชิป M4 เป็นรุ่นแรกของปีนี้ เรียกว่าถ้าอยากใช้ของใหม่ขีดสุดก่อนใครก็ต้องสอย iPad Pro 2024 นี่ล่ะ

แต่หากมองในเรื่องความต้องการใช้งาน จริง ๆ ต้องบอกว่า iPad Pro ที่ใช้ชิป M2 นั้นก็ยังทรงพลังอยู่ครับ ใช้ตัดงาน ออกกองได้สบาย แต่กับราคามือหนึ่งหลังจากที่รุ่นใหม่กว่าเปิดตัวมาแล้ว หากต้องนำไปใช้ทำงานหาเงินจริงจัง อันนี้ส่วนตัวมองว่ากัดฟันข้ามไปซื้อ iPad Pro 2024 ซะเลย เพราะการเปลี่ยนอุปกรณ์ใช้ทำงานบ่อย ๆ คงไม่สะดวกเท่าไหร่ สู้ลงทุนรอบเดียวแล้วใช้ยาวไปเลยจะดีกว่า เพราะได้ชิป M4 ที่มีการสนับสนุนการอัปเดตไปอีกหลายปี แถมเครื่องก็เบากว่าเดิมด้วย และสำหรับใครที่ต้องออกงานกลางแจ้งบ่อย ๆ iPad Pro 2024 ตัวความจุ 1 และ 2TB ก็มีตัวเลือกผิวกระจกหน้าจอแบบนาโนที่เป็นแบบด้าน ช่วยลดแสงสะท้อนลงไปได้อีก (จ่ายเพิ่ม 4,000) อันนี้ถ้ามันช่วยได้จริง บอกเลยว่าคุ้มในระยะยาว แต่รอบนี้แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าควรซื้อแพ็คเกจ AppleCare+ ติดไว้ด้วย เพราะค่าซ่อมหลังหมดประกันน่าจะหนักเอาการ

ส่วนถ้าตั้งใจสอยเครื่องมือสองสภาพดี อันนี้ iPad Pro ที่ใช้ชิป M2 ก็จัดว่าน่าสนใจทีเดียว สำหรับคนที่อยากได้ iPad จอ 120Hz สเปคแรงเพื่อเอามาใช้งานทั่วไป ดูหนัง เล่นเกมใน App Store หรือจะใช้งานหนักก็ไหว ตัดและเรนเดอร์งานคอนเทนต์ได้สบาย เล่นเกม AAA ที่พอร์ตจาก PC มายังได้เลย

Screenshot 2024 05 07 at 9.07.48 PM scaled

ส่วนถ้าจะซื้อ iPad Air 6 แล้วลังเลอยู่ว่าจะหาซื้อ Air 5 ดีกว่ามั้ย เพราะราคาถูกกว่า อันนี้ส่วนตัวผมมองว่าข้ามมาซื้อ iPad Air 6 ดีกว่า ได้สเปคสดใหม่ในราคาบวกกว่ากันไม่มากนัก แถมความจุเริ่มต้นก็ขยับมาเป็น 128GB แล้วด้วย หรือถ้าจะเลือกรุ่นความจุ 256GB ของ Air 5 ก็ราคาต่างจาก Air 6 นิดเดียวเท่านั้นเอง กัดฟันเพิ่มเงินอีกนิดจะดีกว่า แต่สำหรับรุ่นจอ 13″ อันนี้ก็จะเป็นคนละกลุ่มตลาดกันไปเลย เอาว่าถ้าต้องการ iPad จอใหญ่เกือบเท่าจอโน้ตบุ๊ก โดยที่ราคาไม่แรงเท่ารุ่นโปร ก็คงต้องจบที่ iPad Air 6 13″ แหละครับ แม้จะเป็นตัวเริ่มต้นก็โอเคเลยกับความจุ 128GB

iPad Air 6 จะเหมาะกับการใช้ทั่วไปทั้งทำงานเบา ทำงานหนักก็ไหว ความบันเทิงก็ลงตัว สามารถเล่นเกมได้ไหลลื่นตามสไตล์ของ iPad อยู่แล้ว รวมถึงการเล่นเกมระดับ AAA ที่พอร์ตมาจาก PC ก็ทำได้ แล้วยังจะดีขึ้นกว่า Air 5 ที่ใช้ชิป M1 ด้วย

Screenshot 2024 05 07 at 9.09.20 PM scaled

ด้านของการอัปเกรดเครื่องรุ่นเก่า ถ้าใช้ Air 5 อยู่ แล้วคิดว่าจะอัปเกรดเป็น Air 6 อันนี้ดูจะไม่เห็นความแตกต่างกันมากนักในแง่ของประสิทธิภาพ แต่ประสบการณ์การใช้งานน่าจะดีขึ้นในบางจุด เช่นจากกล้องหน้าที่ย้ายมาแนวนอน แนะนำว่าถ้า Air 5 ยังไหวก็ใช้ต่อไปก่อน ส่วนถ้าใช้ iPad Pro M2 อยู่ การอัปเกรดมาใช้ iPad Pro M4 อันนี้จะตอบโจทย์กับคนที่ต้องใช้งานหนักจริง ใช้งานเฉพาะทางที่ต้องการเครื่องพลังสูง รวมถึงอาจต้องซื้ออุปกรณ์เสริมใหม่ยกชุดอีก ซึ่งถ้าสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป แนะนำว่าใช้ Pro M2 ต่อไปดีกว่า ไว้รอ Gen หน้าค่อยว่ากัน

  • ซื้อ iPad Air 6 – คุ้มกว่าถ้าเทียบกับรุ่นเก่า
  • ซื้อ iPad Air 5 – ถ้าซื้อมือหนึ่งไม่แนะนำ แต่มือสองน่าสนใจสำหรับใช้งานทั่วไป เพราะได้จอดีกว่า iPad Gen 10
  • ซื้อ iPad Pro M4 (2024) – คุ้มถ้าเอาไปใช้งานหนักจริง งานที่ต้องเรนเดอร์หนัก ๆ งานเฉพาะทาง เพราะรอบนี้ราคาค่อนข้างสูงมาก โดยเฉพาะถ้าจะซื้ออุปกรณ์เสริมครบชุด อย่าง Apple Pencil ที่คงต้องซื้อใหม่ เว้นแต่ว่าของเดิมเป็นแบบ USB-C อยู่แล้ว ถึงจะนำมาใช้ต่อได้
  • ซื้อ iPad Pro M2 – ถ้าเป็นมือสองสภาพดี อันนี้คุ้ม โดยเฉพาะกับการใช้งานทั่วไป
Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Accessories review

ถ้าคุณเป็นครีเอเตอร์ Lexar Portable SSD SL400 คือไอเท็มสำคัญควรมีติดกระเป๋า! ในวงการหน่วยความจำแล้ว Lexar ก็เป็นผู้ผลิตหน่วยความจำระดับโลกซึ่งมีสินค้าหลากหลายแบบให้เลือกใช้ เช่น Lexar Portable SSD SL400 สำหรับครีเอเตอร์ยุคใหม่เจ้าของ iPhone 15 Pro และ 16 Pro Series ได้ถ่ายคลิปเก็บไอเดียสร้างสรรค์ไว้ทำงานต่อได้หรือพกคู่มือถือ Android...

Mac Corner

ขึ้นชื่อว่าเป็นไอโฟนเป็นใครอยากได้ ว่าด้วยราคาเครื่องจะจ่ายเงินสดรอบเดียวก็ยังได้แต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องใช้เงินก้อนเมื่อไหร่ หลายคนจึงเลือกวิธีผ่อนไอโฟนทีละงวดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 10 ถึง 30 เดือนก็มี ตามที่ร้านค้ากับธนาคารเจ้าของบัตรจะทำข้อตกลงกันไว้ ทำให้ลูกค้าได้เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ได้ง่ายขึ้น และยังไม่รวมแคมเปญอื่นๆ จาก Apple กับตัวแทนจำหน่ายแต่ละเจ้าเอามาเป็นจุดจูงใจเพิ่มเติมอีกด้วย ข้อดีของการจ่ายเงินผ่อน นอกจากไม่ต้องลงเงินก้อนครั้งเดียวแต่เฉลี่ยจ่ายไปเรื่อยๆ จนครบได้แล้ว ยังมีเครื่องมือทางการเงินอีกหลายอย่างเข้ามาช่วยแบ่งเบาผู้ใช้ได้อีกมาก ไม่ว่าจะใช้แต้มในบัตรเครดิตหักลดราคาเครื่องก่อนผ่อนชำระได้, กดส่งโค้ดเอาแต้มกับเงินคืนไว้ใช้ในโอกาสอื่นได้ไม่พอ ในยุคนี้บางร้านค้ายังให้ผ่อนด้วยบัตรประชาชนใบเดียวได้อีก เป็นทางเลือกเพื่อคนไม่มีบัตรเครดิตแต่มีเงินในกระเป๋าแบ่งจ่ายค่าเครื่องได้สะดวกไม่แพ้กัน Advertisement ผ่อนไอโฟนวิธีไหนได้บ้าง?...

Mac Corner

พอ Apple เปิดตัว iPhone 16 Series เปิดตัว iPhone 15 ราคาก็ถูกลงตามกลไกการตลาด หลีกทางให้สินค้ารุ่นใหม่และเคลียร์สต็อกสินค้าเก่าไปด้วย ถึงจะตกรุ่นแล้วแต่ถ้าเป็นผู้ใช้ทั่วไปเน้น Social network, ถ่ายวิดีโอเก็บภาพความทรงจำและเล่นเกมบ้าง ไม่เน้น Apple Intelligence (AI) ตามสมัยนิยมเอาความแรงตัวชิปเซ็ตเข้าว่า ก็พูดได้ว่าราคาไอโฟน 15 ตอนนี้ก็คุ้มดีแล้วใช้เป็นมือถือเครื่องหลักไปได้อีกหลายปีก่อนจะหมดรอบการอัปเดต iOS...

Accessories review

VOLTME Revo 140 กับ VOLTME RUGG CTC 100W คอมโบสายและอะแดปเตอร์สุดเจ๋ง ชาร์จได้หมดทั้งโน๊ตบุ๊ค, แท็บเล็ตและมือถือ!! ถ้าเปิดกระเป๋ามานอกจากโน๊ตบุ๊คแล้ว หลายคนก็มีแท็บเล็ตกับสมาร์ทโฟนติดกระเป๋ากันแน่ๆ ดังนั้นอะแดปเตอร์อย่าง VOLTME Revo 140 กับสายชาร์จ VOLTME RUGG CTC 100W เลยเป็นไอเท็มคู่สำคัญควรมีติดกระเป๋าเอาไว้ให้อุ่นใจ ยิ่งใครใช้โน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงหรือ MacBook...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก