ปัญหาโลกแตกที่มีหลายคนเถียงกันว่า CPU และ GPU มีปัญหาเรื่องคอขวดหรือ Bottleneck ในบทความนี้จะมาไขปัญหาดังกล่าวให้ทุกคนได้รู้กัน
ปัญหาเรื่องขอควดของ CPU และ GPU ได้รับการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าจริงๆ แล้วเราๆ ท่านๆ กำลังประสบปัญหาแบบนี้อยู่หรือไม่ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะคิดแตกต่างกันไป แต่เราจะขอบอกท่าน ณ ตอนนี้เลยว่าหากท่านเข้าใจว่าปัญหาเรื่องขอควดของ CPU และ GPU นั้นมีอยู่จริงนั่นหมายความว่าท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นปัญหาเรื่องขอควดของ CPU และ GPU นี้สามารถที่จะทำการแก้ไขและจัดการได้ ทว่าก่อนที่เราจะไปถึงจุดนั้น เราควรจะมาเรียนรู้กันก่อนว่าปัญหาเรื่องขอควดของ CPU และ GPU นั้นจริงๆ แล้วมันมีสาเหตุมาจากอะไรก่อนที่เราจะได้เข้าสู่การแก้ไขที่เหมาะสมและสามารถแก้ไขได้อย่างถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็น
ก่อนที่คุณจะไปจัดการปัญหาเรื่องขอควดของ CPU และ GPU นี้นั้นเราอยากขอใก้คุณกลับไปอ่าน 11 ข้อแตกต่างของ CPU และ GPU ที่ทุกคนควรรู้ ก่อนเพื่อทำความเข้าใจอย่างจริงจังว่า CPU และ GPU นั้นจริงๆ แล้วมันต่างกันอย่างไร หากคุณพร้อมแล้วนั้นก็ไปติดตามวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องขอควดของ CPU และ GPU กันต่อในบทความนี้กันได้เลย
- ข้อเท็จจริงของต้นเหตุปัญหาขอควดระหว่าง CPU และ GPU
- คอขวดคืออะไร? อธิบายคอขวดของ CPU และคอขวดของ GPU
- เกมไม่ได้ทำให้คุณเกิดปัญหาคอขวด แต่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์
- วิธีแก้ไขคอขวดของ CPU และ GPU
- การจับคู่ CPU และ GPU ที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันปัญหาคอขวด
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอขวดของ CPU และ GPU
ข้อเท็จจริงของต้นเหตุปัญหาขอควดระหว่าง CPU และ GPU
ปัญหาคอขวดของ CPU และ GPU อาจสร้างความเจ็บปวดอย่างมากเพราะไม่ว่าฮาร์ดแวร์จะแรงมากแค่ไหนแต่ปัญหาคอขวดนั้นก็สามารถที่จะเกิดขึ้นกับคุณได้ ความรู้สึกที่คุณตื่นเต้นที่จะได้เล่นเกมใหม่ล่าสุดแต่กลับพบว่ามันทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควรบนพีซีของคุณทั้งๆ ที่คุณใช้ GPU แรงๆ อย่าง RTX 3080 ซึ่งคุณคิดว่าแรงแล้ว ทว่าคุณใช้ CPU AMD 3600X ที่มีอายุ 4 ปีมาแล้วคู่กัน คุณอาจจะไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้กำลังทำให้ RTX 3080 ของคุณช้าลงจนคุณยอมรับไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เราเรียกว่าคอขวดและเราจะอธิบายทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับคอขวดของ CPU และ GPU ให้คุณได้ทราบกัน
คำถามที่ว่าคอขวดของ CPU และ GPU มีความแตกต่างหรือไม่ คำตอบนั้นแน่นอนว่ามันมีแน่ๆ อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วในตอนต้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงฮาร์ดแวร์ทั้งสองอย่างนี้จึงมีชื่อที่แตกต่างกัน CPU และ GPU มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาคอขวดในรูปแบบที่แตกต่างกันและภายใต้ภาระงานที่แตกต่างกัน แต่โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดจะเหมือนกัน เราจะอธิบายทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้และการแก้ไขเท่าที่คุณจะสามารถทำได้
เนื่องจาก CPU และ GPU จำนวนมากทำงานได้ดีขึ้นแต่ในรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามรุ่นที่ก้าวหน้า ตัวอย่างล่าสุดของเรื่องนี้ก็อย่างเช่น Intel Core i9-14900K จาก Intel ทำงานได้แย่กว่าที่เราคาดหวังจาก CPU รุ่นใหม่เช่นกันเป็นต้น ดังนั้นการใช้หน่วยประมวลผลรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลาอาจจะไม่ใช่วิธีการแก้ไขเรื่องของปัญหาคอขวดระหว่าง CPU กับ GPU ได้ ดังนั้นก่อนอื่นคุณต้องทำความเข้าใจก่อนว่าปัญหาคอขวดที่เกิดจาก CPU หรือคอขวดที่เกิดจาก GPU มีลักษณะเป็นอย่างไร
คอขวดคืออะไร? อธิบายคอขวดของ CPU และคอขวดของ GPU
ปัญหาคอขวดของคอมพิวเตอร์พีซีเกิดขึ้นเมื่อส่วนประกอบฮาร์ดแวร์ชิ้นหนึ่ง เช่น CPU, GPU หรือ RAM กลายเป็นปัจจัยจำกัดประสิทธิภาพในระบบ สิ่งนี้นำไปสู่ความไม่มีประสิทธิภาพในการใช้ความสามารถของส่วนประกอบอื่นๆ ขัดขวางประสิทธิภาพโดยรวมตัวอย่างเช่น หากคุณมีการ์ดกราฟิกที่ทรงพลังแต่ CPU รุ่นเก่าที่ไม่แรงมากเพีัยงพอ CPU อาจประสบปัญหาในการตอบสนองความต้องการในการประมวลผลของ GPU ส่งผลให้อัตราเฟรมลดลงและการตอบสนองของระบบโดยรวมลดลงตามไปด้วย
หากพูดง่ายๆ ก็คือปัญหาคอขวดก็เหมือนกับรถติดบนท้องถนน แม้ว่าคุณจะมีรถที่เร็วมาก (GPU) และถนนที่เรียบ (RAM) หากมีปัญหาคอขวด (CPU ช้า) ในระบบ ความเร็วโดยรวมของรถจะถูกจำกัดด้วยส่วนที่ช้าที่สุดของถนน
การระบุและแก้ไขจุดที่ก่อให้เกิดปัญหาคอขวดถือเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์พีซี การอัพเกรดส่วนประกอบที่ติดขัดหรือปรับสมดุลฮาร์ดแวร์ของระบบสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้ดีขึ้น
คอขวดของ CPU
ปัญหาคอขวดของ CPU เกิดขึ้นเมื่อ CPU ไม่ทรงพลังพอที่จะรองรับปริมาณงานปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความเร็วในการประมวลผลช้าลงและประสิทธิภาพลดลง สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เมื่อใช้งานแอปพลิเคชันหรือเกมที่มีความต้องการสูงซึ่งต้องอาศัยการคำนวณของ CPU อย่างมาก คุณอาจไม่มี CPU ที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม แต่คุณต้องเลือกส่วนประกอบอื่นๆ อย่างชาญฉลาดเพื่อไม่ให้ CPU ลดคุณค่าลง
เมื่อ CPU มาถึงความจุดที่จะสามารถทำได้สูงสุดแล้ว มันจะไม่สามารถรองรับความต้องการของส่วนประกอบอื่นๆ เช่น GPU ได้ นั่นทำให้มันส่งผลให้มีการใช้งานฮาร์ดแวร์อื่นๆ ได้น้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็น(เช่น GPU ไม่รัน 100% เต็มที่) ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบลดลง
คอขวดของ GPU
ปัญหาคอขวดของ GPU เกิดขึ้นเมื่อ GPU ไม่ทรงพลังพอที่จะจัดการปริมาณงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความเร็วในการเรนเดอร์ช้าลงและลดประสิทธิภาพโดยรวมของระบบ สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อใช้งานแอปพลิเคชั่นที่ต้องการการประมวลผลทางด้านกราฟิกหนักๆ เช่น การเล่นเกมระดับ AAA สมัยใหม่ หรืองานเรนเดอร์ 3D ที่ซับซ้อน หากคุณไม่มี GPU ที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นเกม คุณจะต้องระมัดระวังกับสิ่งที่คุณจับคู่กับมันเพื่อไม่ให้ลดคุณค่าของส่วนประกอบอื่นๆ ของคุณ(ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง CPU เพียงอย่างเดียวแต่หมายรวมไปถึงหน่วยความจำหรือ RAM และแหล่งเก็บข้อมูลหรือ Storage ที่คุณจับคู่กับฮาร์ดแวร์ในคอมพิวเตอร์ของคุณด้วย)
หาก GPU ถูกใช้งานจนถึงความจุดสูงสุดแล้ว มันก็จะไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของส่วนประกอบอื่นๆ เช่น CPU ได้ ส่งผลให้มีการใช้งานน้อยเกินไป เป็นผลให้ประสิทธิภาพของระบบถูกจำกัดด้วยความสามารถของ GPU ส่งผลให้อัตราเฟรมลดลงและการประมวลผลกราฟิกช้าลง
เกมไม่ได้ทำให้คุณเกิดปัญหาคอขวด แต่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์
คอขวดไม่ว่าประเภทไหนนั้นจะเน้นไปที่ฮาร์ดแวร์เป็นหลัก ตามที่กล่าวไว้เกมจะเป็นตัวกำหนดว่าฮาร์ดแวร์ใดที่ใช้ในพีซีของคุณและผลกระทบใดบ้าง ไม่ใช่ทุกเกมที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกันและบางเกมจะใช้พลังการประมวลผลมากกว่าเกมอื่นๆ
ด้านล่างนี้คือตัวอย่างเกมที่แบ่งออกเป็น 2 หมวดหมู่ได้แก่ เกมที่ต้องใช้ CPU และเกมที่ต้องใช้ GPU
เกมที่ต้องอาศัย CPU คือเกมที่มักจะมีอัตรา FPS สูงทั้งๆ ที่กราฟิกความละเอียดต่ำ ในบรรดาเกมเหล่านี้ได้แก่
- CS2
- Minecraft
- Civilization V
- Assassin’s Creed: Mirage
เกมที่แสดงอัตราเฟรมที่สูงกว่าเมื่อจับคู่กับการ์ดกราฟิกระดับไฮเอนด์นั้นเป็นเกมที่ต้องใช้ GPU ต่อไปนี้เป็นเกมบางเกมที่ต้องอาศัย GPU อย่าง
- Cities: Skylines 2
- The Witcher 3
- Metro: Last Light
- Borderlands 2
- Dying Light
โดยรวมแล้ว สาเหตุของปัญหาคอขวดของ CPU และ GPU ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ส่วนประกอบเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่คุณต้องเลือกการตั้งค่าเกมที่เฉพาะเจาะจงอย่างระมัดระวังโดยยึดตามเกมที่คุณมักจะเล่น การเริ่มต้นด้วยสิ่งนี้จะทำให้คุณไม่ต้อง “อัปเกรด” ส่วนประกอบของคุณในเร็วๆ นี้ ดังนั้นจงอย่ากลัวที่จะปรับโหมดการประมวลผลในเกมว่าต้องเป็นระดับสูงสุดตลอดเวลาหากฮาร์ดแวร์ของคุณไม่ได้แรงจนรับรองความสามารถที่จะรันโหมดกราฟิกของเกมที่ระดับสูงสุดได้เป็นอย่างดี
วิธีแก้ไขคอขวดของ CPU และ GPU
ในจุดๆ นี้เราจะขอดำเนินการอธิบายบางอย่างที่สามารถช่วยขจัดหรือบรรเทาปัญหาคอขวดได้ จริงๆ แล้วปัญหาเรื่องคอขวดมีการแก้ไขมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วคุณอาจต้องอัปเกรดฮาร์ดแวร์เพื่อแก้ไขปัญหาที่กว้างขึ้น อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในเกมเพื่อลดปัญหาคอขวด ก่อนอื่นเรามาพูดถึงคอขวดของ CPU กันก่อน
วิธีแก้ไขคอขวดของ CPU
เพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดของ CPU สามารถพิจารณาได้หลายวิธีเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบโดยรวม เพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดของ CPU และเพิ่มประสิทธิภาพระบบโดยรวมให้พิจารณากลยุทธ์วิธีดังต่อไปนี้
- อัปเกรด CPU: ขั้นตอนสำคัญคืออัปเกรด CPU ของคุณให้เป็นโปรเซสเซอร์ที่ทรงพลังและเร็วขึ้น CPU ที่มีคอร์เพิ่มเติมและความเร็วสัญญาณนาฬิกาที่สูงขึ้นสามารถจัดการงานการประมวลผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น บรรเทาปัญหาคอขวดและทำให้การทำงานราบรื่นยิ่งขึ้น
- จัดการกระบวนการพื้นหลัง: การจัดการกระบวนการพื้นหลังอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญ การปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นซึ่งทำงานในเบื้องหลังจะทำให้ทรัพยากร CPU อันมีค่าว่างสำหรับงานหลัก ป้องกันไม่ให้โปรเซสเซอร์เกิดความเครียดมากเกินไป
- ปรับซอฟต์แวร์และไดรเวอร์ให้เหมาะสม: การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์และการอัปเดตไดรเวอร์ให้ทันสมัยอาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการใช้งาน CPU การตรวจสอบให้แน่ใจว่าแอปพลิเคชันของคุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเวอร์ชันล่าสุดสามารถช่วยเพิ่มศักยภาพของ CPU ของคุณได้อย่างเต็มที่
- การโอเวอร์คล็อก: สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพเป็นพิเศษ การโอเวอร์คล็อก CPU เป็นทางเลือกหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขว่าระบบระบายความร้อนของคุณต้องสามารถจัดการกับความร้อนที่ปล่อยออกมาที่เพิ่มขึ้นได้ การโอเวอร์คล็อกจะเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาของ CPU ส่งผลให้ประสิทธิภาพดีขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือต้องรักษาสมดุลเพื่อป้องกันความร้อนสูงเกินไป
- มัลติเธรด: การใช้แอปพลิเคชันที่รองรับมัลติเธรดนั้นมีข้อดี มัลติเธรดช่วยให้โปรแกรมแบ่งงานออกเป็นส่วนเล็กๆ ซึ่งสามารถประมวลผลพร้อมกันด้วยคอร์ CPU หลายคอร์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลแบบขนานและช่วยลดปัญหาคอขวด
ด้วยการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ คุณสามารถจัดการกับปัญหาคอขวดของ CPU และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบของคุณได้ การเพิ่มประสิทธิภาพเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปรับปรุงประสิทธิภาพของ CPU เท่านั้น แต่ยังช่วยให้ประสบการณ์การประมวลผลโดยรวมราบรื่นและตอบสนองมากขึ้นอีกด้วย
วิธีแก้ไขคอขวดของ GPU
การแก้ไขคอขวดของ GPU เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์วิธีต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกราฟิกและทำให้แน่ใจว่า GPU ไม่ได้จำกัดระบบโดยรวม การจัดการกับปัญหาคอขวดของ GPU และการเพิ่มประสิทธิภาพกราฟิกของคุณสามารถทำได้โดยใช้กลยุทธ์วิธีดังต่อไปนี้
- อัปเกรด GPU ของคุณ: ลองอัปเกรดเป็น GPU ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นด้วย VRAM ที่สูงขึ้นและประสิทธิภาพโดยรวมที่ดีขึ้น การอัปเกรดนี้ช่วยให้ GPU ของคุณสามารถรองรับงานกราฟิกที่มีความต้องการมากขึ้น โดยไม่ขัดขวางประสิทธิภาพของส่วนประกอบอื่นๆ
- ปรับการตั้งค่ากราฟิกในเกม: การลดการตั้งค่ากราฟิกในเกมอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยการลดความซับซ้อนของการมองเห็น คุณสามารถแบ่งเบาภาระงานของ GPU ได้ ทำให้สามารถเรนเดอร์เฟรมได้เร็วขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมได้อย่างมาก
- อัปเดตไดรเวอร์ GPU ให้ทันสมัยอยู่เสมอ: การอัปเดตไดรเวอร์ GPU ของคุณเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ แนวทางปฏิบัตินี้จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและรับประกันความเข้ากันได้กับซอฟต์แวร์ล่าสุด ไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่มักจะรวมการปรับปรุงประสิทธิภาพและการแก้ไขข้อบกพร่องที่สามารถบรรเทาปัญหาคอขวดได้
- พิจารณาจอภาพที่มีความละเอียดสูงกว่า: การเลือกใช้จอภาพที่มีความละเอียดสูงกว่าจะมีประโยชน์ เนื่องจากจะทำให้ GPU สามารถใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ ความละเอียดที่สูงขึ้นจะต้องใช้พลัง GPU มากขึ้นและ GPU ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นก็สามารถจัดการกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประสิทธิภาพกราฟิกดีขึ้น
- ใช้เครื่องมือตรวจสอบฮาร์ดแวร์: การใช้เครื่องมือตรวจสอบฮาร์ดแวร์สามารถช่วยในการระบุปัญหาคอขวดของ GPU ด้วยการติดตามการใช้งานและอุณหภูมิของ GPU ในระหว่างเล่นเกมหรืองานที่ต้องใช้กราฟิกสูง คุณสามารถระบุปัญหาด้านประสิทธิภาพและทำการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าอย่างมีข้อมูล
ด้วยการใช้กลยุทธ์เหล่านี้ คุณสามารถจัดการกับปัญหาคอขวดของ GPU ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรับประกันประสบการณ์กราฟิกที่ราบรื่นและตอบสนองมากขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปรับปรุงประสิทธิภาพของ GPU ของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการเล่นเกมและกราฟิกโดยรวมอีกด้วย
การจับคู่ CPU และ GPU ที่ดีที่สุดเพื่อป้องกันปัญหาคอขวด
หากคุณต้องการระบบที่ไม่มีโอกาสเกิดปัญหาคอขวด คุณต้องลองใช้ CPU และ GPU เหล่านี้ร่วมกัน
CPU | GPU |
Core i9-14900K | RTX 4090 |
Core i9-13900K | RTX 4080 |
Ryzen 9 7900X | RX 7900XT |
Core i7-12700K | RTX 3070 |
Ryzen 5 5600X | RTX 3060 Ti |
การจับคู่เหล่านี้จะไม่ทำให้คุณเกิดปัญหาคอขวดในส่วนของส่วนประกอบใดส่วนหนึ่งอย่างแน่นอน แต่คุณก็ควรทราบเอาไว้ว่าเมื่อคุณเพิ่มความละเอียด GPU จะอยู่ภายใต้ความเครียดที่มากขึ้น ดังนั้นที่ความละเอียดสูงขึ้น GPU ระดับล่างจะกลายเป็นตัวปัญหาที่ก่อให้เกิดคอขวดขึ้นมาได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับคอขวดของ CPU และ GPU
คอขวดของ CPU และ GPU ที่ยอมรับได้คืออะไร
แม้ว่าปัญหาคอขวดของ CPU และ GPU อาจเป็นปัญหาได้ แต่ปัญหาคอขวดในระดับที่ต่ำมากถือเป็นเรื่องปกติ และนั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก ตัวอย่างเช่นหากการใช้งาน GPU ของคุณใกล้ถึง 100% แล้ว คุณต้องการให้ CPU ของคุณสูงกว่า 80% มาก เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องดิ้นรนกับปัญหาคอขวด ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาของการที่เราแนะนำให้คุณจับคู่ CPU และ GPU ที่เหมาะสมกัน
จะคำนวณคอขวดของ CPU และ GPU ได้อย่างไร
คุณสามารถวัดปัญหาคอขวดของ CPU และ GPU ได้โดยใช้เครื่องมือเพื่อตรวจสอบการใช้งานของส่วนประกอบทั้งสองนี้ เครื่องมือเปรียบเทียบเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสิ่งนี้และช่วยให้คุณเข้าใจว่าพีซีของคุณทำงานอย่างไรในสถานการณ์ต่างๆ ตรวจสอบวิธีการเปรียบเทียบหน้าพีซีสำหรับเล่นเกมของคุณเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม อีกวิธีหนึ่งคือการใช้เครื่องมือติดตามปัญหาคอขวดออนไลน์เพื่อแสดงให้คุณเห็นว่าส่วนประกอบทั้งสองจะเข้ากันได้อย่างไร นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับเวลาที่คุณวางแผนสร้างใหม่และต้องการดูว่าฮาร์ดแวร์จะทำงานร่วมกันได้ดีหรือไม่
ที่มา : wepc