ใกล้ช่วงปลายปีกันแล้ว หลายท่านคงเตรียมมองหาของขวัญประจำปีให้ตัวเอง ซึ่งเครื่องสำหรับเล่นเกมก็คงเป็นหนึ่งตัวเลือกในใจของหลาย ๆ ท่าน ประกอบกับช่วงนี้สามารถหาซื้อ PS5 เครื่องศูนย์ไทยได้ง่ายขึ้น หรือถ้าจะประกอบคอมพีซีซักเครื่อง ราคาฮาร์ดแวร์หลาย ๆ ตัวก็ลงมาจากช่วงพีคแล้ว เลยอาจจะมีความลังเลเกิดขึ้นมาบ้าง ว่าถ้าอยากเล่นเกมฟอร์มใหญ่ระดับ AAA ควรซื้อเครื่องเกมโดยเฉพาะอย่าง PS5 ดี หรือจะไปประกอบพีซีซักเครื่องดี ในบทความนี้เราจะมาดูจุดเด่น จุดด้อยของแต่ละอย่างกัน เพื่อใช้ในการตัดสินใจครับ
อันที่จริงบทความนี้จะเป็นการเทียบกันระหว่างเครื่องเกมคอนโซลกับพีซี แต่ด้วยความที่ในไทยเราจะมีแต่ PlayStation 5 เท่านั้นที่วางขายเป็นเครื่องศูนย์ไทยโดยตรง ในขณะที่ Xbox Series X | S ทั้งหมดจะเป็นเครื่องหิ้ว ส่วน Nintendo Switch เองก็มองว่าเป็นเครื่องเกมพกพาที่ต่อ dock ออกทีวีได้ซะมากกว่า รวมถึงเกมก็มีความเฉพาะตัวมาก ๆ และเกมระดับ AAA ก็แทบไม่ทับไลน์กับพีซีเลย ดังนั้นในบทความนี้จึงเป็นการหยิบ PS5 มาชนกับพีซีตรง ๆ เป็นหลัก
ข้อดีของ PS5
1) เล่นเกมได้แน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าสเปคไม่ถึง
เป็นจุดเด่นของเครื่องเกมคอนโซลมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่มเลย นั่นคือถ้ามีเกมมาลงให้เล่น ก็ต้องเท่ากับว่าสามารถเล่นได้แน่ ๆ เพียงแค่ต่อทีวีหรือต่อมอนิเตอร์ เปิดเครื่องแล้วใส่แผ่นหรือตลับเข้าไปก็สามารถเปิดเกมเล่นได้แน่นอน ซึ่งเหมาะกับผู้ที่ต้องการเล่นเกมแบบสบายใจ ไม่ต้องมานั่งเทียบสเปคเครื่องกับสเปคที่เกมต้องการ ไม่ต้องมาคอยปรับระดับกราฟิก ปรับจูนเครื่องให้เล่นเกมได้ลื่น ๆ เพราะฝั่งผู้พัฒนาเกมจะต้อง optimize เกมของตนเองมาอยู่แล้ว
โดยในปัจจุบัน PS5 สามารถรันเกมที่ระดับ 60fps แบบลื่น ๆ ได้แทบทุกเกมแล้ว ด้วยการเลือกใช้กราฟิกในโหมด performance แถมยังมี ray tracing มาให้ในระดับที่ดูแล้วสบายตา แต่ถ้าอยากเล่นแบบเน้นความละเอียดภาพระดับ 4K หลาย ๆ เกมก็มีโหมดเน้นกราฟิกมาให้ ที่จะลดเฟรมเรตลงมาเหลือ 30fps ซึ่งก็จัดว่าอยู่ในระดับที่เล่นได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเคยชินของสายตาผู้เล่น นอกจากนี้ยังมีหลาย ๆ เกมที่สามารถรันที่ระดับ 120fps เพื่อให้เหมาะกับจอทีวีที่รองรับ 120Hz ได้ด้วย ซึ่งถ้าจะประกอบพีซีซักเครื่องให้เล่นเกมได้ระดับนี้ แน่นอนว่าราคารวมทั้งเครื่องย่อมสูงกว่าราคา PS5 ไปพอสมควร
ส่วนการกินไฟ อันนี้ก็น่าสนใจมากครับ เพราะจากที่เคยรีวิวไป ตัวเครื่อง PS5 จะกินไฟสูงสุดขณะเล่นเกมที่ประมาณ 200W กว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งถ้าเทียบกับพีซีสเปคระดับเทียบเท่ากัน บอกเลยว่าไม่มีทางกดไฟขณะเล่นเกมบนจอ 4K มาอยู่ที่ประมาณ 200W ได้แน่นอน
2) เคลื่อนย้ายง่าย ติดตั้งเครื่องง่ายกว่า PC
หากจำเป็นต้องย้ายตำแหน่งที่วางเครื่อง เช่น ย้ายจากห้องนอนมาที่ห้องนั่งเล่นเพื่อจะเล่นกับทีวีจอใหญ่ ๆ การย้าย PS5 นั้นง่ายกว่ามาก เพราะจะมีเพียง 3 หรือ 4 ชิ้นเท่านั้นที่ต้องหยิบมา นั่นคือตัวเครื่อง สายไฟ AC และจอยเกม ทั้งหมดแทบจะสามารถยกมาได้ในรอบเดียว ในขณะที่ถ้าจะย้ายเครื่องพีซี นอกจากตัวเครื่องที่อาจจะมีขนาดใหญ่ น้ำหนักเยอะแล้ว ยังต้องหยิบสายไฟ AC คีย์บอร์ด เมาส์มาด้วย จึงจะสามารถใช้งานได้
ส่วนในการติดตั้งเพื่อใช้งานเครื่อง ฝั่ง PS5 ก็แค่เสียบสายไฟ และเสียบสาย HDMI เข้ากับทีวีก็สามารถใช้งานได้ทันที จะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็ใช้ WiFi ได้เลย สำหรับฝั่งพีซี ถ้าใช้เมาส์และคีย์บอร์ดไร้สายก็สะดวกไม่แพ้กัน แต่ถ้าเป็นแบบมีสายก็จะเพิ่มข้อจำกัดเรื่องระยะการใช้งานเข้ามา ส่วนการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก็คล้ายกันครับ ถ้าตัวเครื่องต่อ WiFi ได้ก็ดีไป แต่ถ้าไม่มี ก็อาจจะต้องต่อเน็ตผ่านสายแลนด้วย
อย่างไรก็ตาม ในจุดนี้ก็ต้องแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละท่านด้วยครับ เพราะบางท่านอาจจะไม่มีปัญหากับการเคลื่อนย้ายและประกอบพีซีก็ได้ เช่น อาจจะใช้เป็นเครื่องขนาด Mini-ITX ที่มีขนาดกะทัดรัดและมักรองรับ WiFi ในตัวอยู่แล้ว กลุ่มนี้จัดว่าเคลื่อนย้ายได้ง่ายมาก พกเมาส์ไร้สาย คีย์บอร์ดไซซ์ compact ซักตัวก็จบแล้ว
3) รองรับระบบเสียงหลากหลายในตัว
เป็นฟีเจอร์เด็ดที่ตอบโจทย์คนเล่นเกมหน้าทีวี พร้อมชุดเครื่องเสียง หรือลำโพงที่รองรับระบบเสียงเพิ่มเติมเป็นอย่างดี เพราะจากการอัปเดตเฟิร์มแวร์ล่าสุด ทำให้ PS5 รองรับระบบเสียงทั้ง Dolby Atmos, Dolby Audio และ DTS ในตัวโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมเลย แต่อาจจะต้องใช้กับทีวีหรืออุปกรณ์รับ input ที่สามารถส่งสัญญาณเสียงเหล่านี้ออกไปหาชุดลำโพง หรือแยกภาพส่งไปหาทีวีได้ด้วย เพราะ PS5 มีช่อง output เพียงช่องเดียวคือ HDMI ซึ่งใช้ส่งทั้งภาพและเสียงไปพร้อมกันเลย
ในขณะที่พีซี หากต้องการใช้งานระบบเสียงดี ๆ อาจจะต้องมีการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ด้านเสียงมาใช้งาน ซึ่งบางตัวก็จะต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อสิทธิ์การใช้งานแบบเต็มมาด้วย
4) เล่นเกม PS4 ได้ด้วย
แม้ในช่วงหลัง ๆ Sony จะนำเกมที่เคย exclusive บน PlayStation มาลงในพีซีหลายเกมแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกหลายเกมสมัยเครื่อง PS4 ที่ยังคงเป็น exclusive อยู่ในขณะนี้ เช่น Ghost of Tsushima และ Gran Turismo เป็นต้น ทำให้ถ้าอยากจะเล่น ก็จำเป็นต้องเล่นบน PlayStation เท่านั้น ซึ่งตัวเครื่อง PS5 เองมีความสามารถในการเล่นเกมของ PS4 ได้ด้วย ทั้งแบบดิจิทัลและแบบแผ่น (ในเครื่องรุ่นใส่แผ่นได้) ทำให้การซื้อ PS5 ไปเลย อาจจะคุ้มกว่าในระยะยาว ในกรณีที่มีเกม PS4 ค้างในรายการเกมที่อยากเล่นอยู่เยอะ รวมถึงถ้าซื้อ PS5 รุ่นใส่แผ่นได้ การหาแผ่นเกม PS4 มือสองในตอนนี้ยิ่งสบายเลย ด้วยราคาที่ปรับลงมาถูกมากแล้ว
5) เล่นแผ่น Blu-ray ได้
ต่อเนื่องมาจากข้อ 4 คือถ้าซื้อ PS5 รุ่นใส่แผ่นได้ ก็จะมาพร้อมความสามารถที่พ่วงกันคือ สามารถเล่นแผ่นหนังทั้ง Blu-ray และ DVD ได้ในตัว เหมาะกับการใช้เป็นเครื่องเล่นเกม เครื่องดูหนังประจำบ้าน ในกรณีที่ต้องการภาพแบบคมชัดจากแผ่น Blu-ray ส่วนถ้าเป็นฝั่งพีซี การจะหาเครื่องอ่าน Blu-ray ตอนนี้อาจจะยากซักหน่อย สู้ไปหาเครื่องเล่น Blu-ray แยกเลยน่าจะง่ายกว่า กับราคาเริ่มต้นที่หลักพัน แล้วค่อยเอาไปต่อกับทีวีหรือมอนิเตอร์อีกที
6) จอย DualSense + Adaptive Trigger + Haptic feedback
ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดฟีเจอร์เด่นประจำ PS5 ไปเลย กับจอย DualSense ที่มาพร้อมระบบ Adaptive Trigger ที่ปุ่ม L2 และ R2 ซึ่งเปรียบเสมือนไกปืน จะสามารถปรับเปลี่ยนระดับความต้านแรงกดและการสั่นเป็นไปตามที่เกมออกแบบมาได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการยิงปืนในหลาย ๆ เกม เช่นถ้ายิงปืนสั้น ปุ่มก็จะกดง่ายหน่อย ถ้ายิงปืนลูกซอง ปุ่มก็จะกดยากขึ้นนิดนึง เมื่อกดแล้วก็เด้งกลับแรงกว่าปกติ ส่วนถ้ายิงปืนกล เวลากดค้างไว้ก็จะมีอาการสั่นที่ปุ่มด้วย เสมือนว่ากำลังยิงปืนนั้นอยู่จริง ๆ
Haptic feedback คือระบบสั่นที่สามารถจำลองให้คล้ายกับผู้เล่นกำลังอยู่ในเกมจริง ๆ รวมถึงยังมีการกระจายจุดสั่นไปยังบริเวณต่าง ๆ ของจอยด้วย ตัวอย่างเช่นในเกม Astro’s Playroom ที่เวลามีฝนตกในเกม ก็จะมีการสั่นที่ให้ความรู้สึกคล้ายเวลามีเม็ดฝนตกใส่ ส่วนเวลามีลูกเห็บตกก็จะคล้ายกัน แต่น้ำหนักของการสั่นจะหนักกว่าเม็ดฝน เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดช่วยเสริมประสบการณ์การเล่นเกมได้อย่างเห็นได้ชัด
ส่วนการนำจอย PS5 มาใช้กับพีซี แน่นอนว่าสามารถใช้ควบคุม ใช้เล่นเกมได้เหมือนกัน แต่จะไม่สามารถใช้งานสองฟีเจอร์ข้างต้นนี้ได้ทุกเกม แม้ว่าจะเล่นเกมที่เคยเป็น exclusive บน PlayStation ก็ตาม ส่วนในหลายเกมที่ใช้ได้ ก็จำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมต่อกับพีซีแบบใช้สายเท่านั้น สามารถตรวจสอบรายชื่อเกมที่รองรับได้จากในลิงค์นี้ครับ
7) ระบบขายเกมที่ไม่ซับซ้อน
เนื่องจากรองรับ store อยู่ที่เดียวนั่นคือ PlayStation Store ทำให้การจะค้นหาหรือซื้อเกมเป็นไปได้ง่าย สิ่งที่ต้องคิดมีอย่างเดียวคือเป็น store ของประเทศใด ซึ่งก็จะแสดงไปตามภูมิภาคของบัญชี Sony Account ของผู้ใช้อยู่แล้ว ถ้าใช้บัญชีไทย เวลาเปิดหน้า store ขึ้นมาก็จะเป็น store ไทย ขายเกมในราคาไทย
ในขณะที่ฝั่งพีซีจะมี store ขายเกมหลากหลายกว่ามาก ที่คุ้นหูคุ้นตากันก็เช่น Steam, Origin (EA App), Epic Store, Xbox หรือ Microsoft Store, GOG และ Battle.net เป็นต้น ซึ่งจุดที่ลำบากหน่อยก็คือบางเกมจะลงขายแค่ในบาง store เท่านั้น ทำให้อาจต้องไล่หาหน่อยว่าเกมที่ต้องการเล่นวางขายอยู่ที่ไหน รวมถึงอาจจะต้องโหลดโปรแกรม client ของแต่ละร้านติดเครื่องไว้เต็มไปหมด เพื่อให้สามารถเล่นเกมที่ต้องการได้ ซึ่งการมีหลาย store ยังทำให้จำเป็นต้องไล่จัดการเรื่องข้อมูลผู้ใช้ ข้อมูลบัตรเครดิตแยกกันไปอีกด้วย ที่จะลำบากมาหากผูกบัตรเครดิตไว้ แล้วจำเป็นต้องเปลี่ยนบัตร เปลี่ยน CVV หรือเปลี่ยนวันหมดอายุบัตร ต่างจากฝั่ง PS5 ที่ทำได้ในจุดเดียว
ข้อดีของ PC
1) ช่วงราคาหลากหลาย ราคาเริ่มต้นย่อมเยา ฮาร์ดแวร์ยืดหยุ่นกว่า
ถือเป็นจุดเด่นของพีซีมาตลอด คือมีความหลากหลายของฮาร์ดแวร์มาก ๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถประกอบคอมระดับเริ่มต้นราคาหลักพัน แต่ก็สามารถเล่นเกมที่ต้องการได้แล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ โดยเฉพาะการ์ดจอแบบ iGPU ที่รวมมาในแพ็คเกจเดียวกับ CPU เลย ซึ่งในตอนนี้มีประสิทธิภาพที่ดีพอสำหรับการเล่นหลาย ๆ เกมได้แบบไม่ต้องใช้การ์ดจอแยกก็ยังไหว
ส่วนถ้าต้องการเล่นเกมได้ภาพสวยขึ้น เฟรมเรตสูง ๆ แพลตฟอร์มพีซีก็ยังรองรับการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ได้ง่ายกว่ามาก ขอเพียงแค่ฮาร์ดแวร์ส่วนอื่น ๆ ในเครื่องรองรับ เช่น การเปลี่ยนการ์ดจอให้แรงขึ้นก็ทำได้ทันที ขอแค่ PSU จ่ายไฟไหว จะเปลี่ยน CPU ก็ดูจากซ็อกเก็ตและชิปเซ็ตของเมนบอร์ด เป็นต้น จึงอาจจะเหมาะสำหรับผู้ที่มีงบน้อยหน่อย ที่อาจใช้การประกอบเครื่องสเปคไม่สูงมากเพื่อมาใช้งาน และเล่นเกมในระดับที่พอเล่นได้ไปก่อน พอมีงบแล้วค่อยอัปเกรดคอมในอนาคตเพื่อให้เล่นเกมได้ดีขึ้นก็ได้ ต่างจากการซื้อ PS5 ที่ซื้อแล้วจบเลยในราคาเริ่มต้นที่หมื่นกว่า ส่วนสิ่งที่อัปเกรดได้ก็มีเพียงแค่ SSD เท่านั้น ที่สำคัญคือพีซีสามารถใช้ทำงานได้ด้วย จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการซื้อเพียงเครื่องเดียวเพราะงบหรือพื้นที่จำกัด
2) เล่นเกมลื่นกว่า ภาพสวยกว่า
ในกรณีที่สเปคพีซีอยู่ในระดับที่ดีประมาณนึง ภาพที่ได้จากเกมจะออกมาสวยกว่า เฟรมเรตก็สูง และที่สำคัญคือสามารถต่อมากกว่า 1 จอเพื่อเพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมที่ดีขึ้นได้ด้วย ซึ่งทั้งหมดก็มาจากการที่พีซีมีการ์ดจอให้เลือกหลายระดับ โดยถ้าให้เทียบจริง ๆ พลังประมวลผลด้านกราฟิกของชิปใน PS5 ที่ใช้โค้ดเนมของ GPU ว่า Oberon สถาปัตยกรรม RDNA 2 ซึ่งอยู่ในชิป AMD สถาปัตยกรรม Zen 2 นี้ มีพลังในการประมวลผลที่ระดับ 9.2 – 10.3 TFLOPS เมื่อวัดแบบคำนวณทศนิยมระดับ FP32 หากเทียบกับการ์ดจอของฝั่งพีซี จะจัดว่าอยู่ในระดับ AMD Radeon RX 5700 XT และ NVIDIA RTX 2070 Super ที่เปิดตัวเมื่อราว 4 ปีก่อน
ส่วนของ CPU นั้น เทียบสเปคแล้วจะอยู่ใกล้เคียงกับ AMD Ryzen 7 3700X ด้วยจำนวนคอร์ที่มี 8 คอร์ 16 เธรดเท่ากัน ความเร็ว base clock ที่ 3.6 GHz ใกล้เคียงกันด้วย
ทำให้ถ้าหากอยากจะเล่นเกมในพีซีได้ภาพสวยและลื่นกว่า PS5 ณ ตอนนี้ก็จัดว่าไม่ยากมากแล้ว เพราะสามารถประกอบคอมที่ใช้ CPU AMD Ryzen 5 ซีรีส์ 5000 ขึ้นไป เช่นรุ่นคุ้มอย่าง Ryzen 5 5600X ในราคาประมาณ 5,000 บาทก็กินขาดแล้ว ส่วนถ้าเป็นค่ายฟ้า ก็แนะนำเป็นพวก Intel Core i5-12400F ขึ้นไปก็ได้ ราคาใกล้เคียงกันเลย ส่วนการ์ดจอ ตอนนี้ก็ดูเป็นพวกรุ่นใหม่ ๆ อย่าง RTX 4060 ขึ้นไป หรือถ้าในราคาใกล้เคียงกันของค่ายแดงก็จะเป็น RX7600 ซึ่งทั้งสองรุ่นเริ่มต้นนี้มาพร้อมแรมเฉพาะของตัวการ์ดจอเอง 8GB เพียงพอสำหรับการเล่นเกมแบบปรับกลางถึงปรับสุดได้อยู่แล้ว แม้งบประกอบคอมตอนแรกอาจจะราคาสูงกว่าซื้อ PS5 ไปพอสมควร แต่ถ้าต้องการอัปสเปคอีกทีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ก็สามารถเลือกเปลี่ยนแค่บางชิ้นได้ เช่น อาจจะอัปแค่การ์ดจอให้แรงขึ้นอย่างเดียว เป็นต้น
3) การควบคุมเกมที่ทำได้แม่นยำ และมีเกมมิ่งเกียร์ให้เลือกเยอะ
สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์ มักลงความเห็นกันว่าการควบคุมเกมด้วยเมาส์และคีย์บอร์ด ทำได้ง่ายและแม่นยำกว่าการใช้จอยเกมมาก โดยเฉพาะเกมที่ต้องอาศัยความแม่นยำในการควบคุม เช่น การเล็งปืนในเกมแนว FPS และการควบคุมยูนิตต่าง ๆ บนจอในเกมแนว RTS ทำให้หลายคนมักจะเล่นเกมแนวนี้ในพีซีมากกว่า รวมถึงบางครั้งก็ส่งผลถึงการหาห้องเข้าไปเล่นแบบออนไลน์ด้วย เพราะบางเกมที่ถึงแม้จะมีให้เล่นทั้งในพีซีและคอนโซล แต่ด้วยสาเหตุจากความไม่ถนัดในการควบคุมด้วยจอยของกลุ่มผู้เล่นเกมส่วนใหญ่ จึงทำให้ผู้เล่นในพีซีมีเยอะกว่า ส่งผลถึงการหาห้องเล่นเกมทำได้ง่ายกว่าด้วย
อีกจุดที่ทำให้พีซีได้เปรียบก็คือการมีอุปกรณ์เสริมพวกเกมมิ่งเกียร์ให้เลือกเยอะมาก อาทิ เมาส์ คีย์บอร์ด หูฟัง แผ่นรองเมาส์ รวมถึงอุปกรณ์เสริมการเล่นเกมต่าง ๆ ทั้งยังมีช่วงราคาที่หลากหลายมากอีกด้วย ทำให้ผู้ใช้สามารถเฟ้นหาเกมมิ่งเกียร์ที่เหมาะกับการใช้งานของตนเองได้ รวมถึงยังเอาจอย PS5 มาใช้เล่นก็ยังได้ด้วย ในขณะที่ฝั่งของ PS5 ก็พอมีอุปกรณ์เสริมการเล่นเกมออกมาบ้าง แต่ตัวเลือกก็น้อยกว่า แถมยังมักมีราคาที่สูงพอสมควรอีกต่างหาก จึงอาจจะไม่ค่อยเหมาะสำหรับสายจริงจังเกมมิ่งซักเท่าไหร่
4) มีเกมให้เล่นเยอะกว่า
ปัจจุจบันนี้ แม้ว่าเกมฟอร์มใหญ่ เกมระดับ AAA มักจะมีการวางจำหน่ายทั้งในเครื่องคอนโซลและพีซีก็ตาม แต่ก็จะมีเกมบางประเภทที่มีขายและเปิดให้เล่นเฉพาะในพีซีเท่านั้น เช่น เกมอินดี้บางเกมที่ผู้พัฒนาต้องการคุมต้นทุนการผลิต หรือมีทุนสร้างต่ำ เกมแนว RTS ที่ไม่เหมาะกับการควบคุมด้วยจอยเกม หรือเกมที่มีสัญญา exclusive เฉพาะบนพีซีเท่านั้น เป็นต้น รวมถึงด้วยการมี store ขายเกมที่หลากหลาย ทำให้บางครั้งก็จะมีการจัดโปรโมชันตัดราคาแข่งกัน ซึ่งสุดท้ายผู้เล่นก็จะสามารถซื้อเกมในราคาที่ย่อมเยากว่าอีกต่างหาก
ย้อนกลับมาที่ประเด็นเรื่องเกม exclusive ครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เกม exclusive จะเป็นเกมที่ระบุว่า only on PlayStation นั่นคือมีให้เล่นเฉพาะในแพลตฟอร์ม PS เท่านั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดขายหลักมาเสมอ เพราะหลาย ๆ เกมในกลุ่มนี้คือเป็นเกมระดับสุดยอด อาทิ God of War, Uncharted และ The Last of Us เป็นต้น แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า Sony เองก็นำเกมเหล่านี้มาลงให้เล่นในพีซีได้แล้วหลายเกมเลยทีเดียว ทำให้หลาย ๆ เกมเหลือเป็นเพียงแค่สิทธิ์ time exclusive คือลงให้เฉพาะใน Sony เป็นระยะเวลาหนึ่ง ถึงจะไปลงแพลตฟอร์มอื่นด้วย แต่ก็ยังมีการเว้นช่วงเวลาอยู่บ้าง เช่นออกใน PS ก่อนซักปีสองปี แล้วค่อยนำมาลงในพีซี เป็นต้น ทำให้ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนที่ต้องรีบเล่นทันทีที่เกมออก การรอซื้อในพีซีก็เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกัน
จากในประเด็นข้างต้น ทำให้กลายเป็นว่าพีซียิ่งมีเกมให้เล่นมากกว่าใน PS5 ขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้าต้องการซื้อเพียงแค่เครื่องเดียว และต้องการเล่นเกมไปยาว ๆ การกลั้นใจประกอบพีซีสเปคแรงซักเครื่องอาจจะตอบโจทย์กว่า
5) เล่นแบบ multiplayer ฟรี
ข้อนี้ชาวพีซีอาจจะงง เพราะปกติเวลาอยากเล่นเกมในโหมดมัลติเพลเยอร์ผ่านเน็ต มันก็แค่กดเลือกโหมดแล้วก็เล่นได้เลย แต่สำหรับใน PS5 (รวมถึง PS4) ผู้เล่นจะต้องสมัครเป็นสมาชิก PlayStation Plus ด้วย ซึ่งเมื่อสมัครแล้ว นอกจากจะเล่นเกมออนไลน์ได้ ยังมาพร้อมระบบคลาวด์สำหรับเก็บข้อมูลเซฟเกม ทำให้สามารถซิงค์ไปยังเครื่องอื่นที่ใช้ PSN ID เดียวกันได้ด้วย (ในพีซีก็มีระบบนี้เช่นกัน แถมใช้ได้ฟรีด้วย) ส่วนที่เป็นไฮไลท์จริง ๆ คือ Sony จะมีแจกเกมให้เล่นฟรีเพิ่มมาให้ในทุก ๆ เดือน ที่ผู้เล่นสามารถรับมาเล่นฟรีได้ตลอดเวลาที่ยังเป็นสมาชิก PS Plus อยู่ แต่ต้องยอมรับครับ ว่าเกมแจกฟรีในช่วงหลัง ๆ นี้ไม่ค่อยปังเหมือนยุค PS3 เท่าไหร่
แต่ที่น่าหนักใจสุดของชาว PlayStation ก็คือ Sony เพิ่งประกาศขึ้นราคา PlayStation Plus ขึ้นแบบก้าวกระโดดมาก ๆ
อย่างถ้าต้องการสมัครเอาให้พอแค่เล่นมัลติแบบออนไลน์ได้ ก็จะเป็นสมาชิกระดับ Essential ที่ราคาสำหรับสมาชิก 1 เดือนอยู่ที่ 240 บาท (จากเดิม 210 บาท) ส่วนถ้าจะสมัครทั้งปีก็จัดไปที่ 1,830 บาท (จากเดิม 1,190 บาท) ในขณะที่ถ้าเล่นบนพีซี จะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แถมเผลอ ๆ ราคาเกมยังถูกกว่าด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ก็จะมีสมาชิกอีกสองระดับคือ Extra ที่จะเพิ่มคลังเกมเก่าและใหม่ให้โหลดมาเล่นได้ฟรีตลอดระยะเวลาที่เป็นสมาชิก เหมือนกับระบบ GamePass ซึ่งก็มีเกมระดับ AAA อยู่พอสมควร ส่วนระดับ Deluxe ก็จะมีสิทธิประโยชน์เหมือน Essential กับ Extra ทุกประการ แต่มีแคตาล็อกเกมเก่าสมัย PS1/PS2 มาให้เล่นด้วย และมีระบบให้ทดลองเล่นเกมตัวเต็มในระยะเวลาที่ระบบกำหนด แต่ราคาหลังปรับขึ้นแล้ว จัดว่าอยู่ในระดับที่โหดเอาเรื่อง เช่นราคาสมาชิกระดับ Extra รายปีจาก 2,000 ขึ้นเป็น 3,070 บาท ส่วนระดับ Deluxe ปรับจาก 2,300 มาเป็น 3,530 บาทเลยทีเดียว ทำให้หลายคนอาจจะเลิกสมัครเป็นสมาชิกไปเลย หรืออาศัยเติมเป็นช่วง ๆ ไป เฉพาะตอนที่ต้องการเล่นเกมในคลังที่เปิดให้สมาชิกเล่นฟรีแทน
ย้ำอีกครั้งว่าพีซีเล่นมัลติแบบออนไลน์ได้ฟรี ส่วนถ้าต้องการระบบคลังเกม ก็จะมี PC GamePass ของ Microsoft ที่ราคา 99 บาทต่อเดือนเท่านั้น แถมยังได้พ่วง EA Play มาด้วย ทำให้มีเกมให้เล่นเยอะมาก ไม่แพ้กับของ PlayStation Plus เลย ซึ่งด้วยปัจจัยเรื่องการปรับราคา PS Plus ขึ้นนี้ อาจจะยิ่งทำให้การหาห้องเล่นออนไลน์ใน PS5 ยิ่งยากขึ้นไปอีกแน่ ๆ
6) พีซีมี mod ให้ปรับแต่งเกมได้เยอะ
ข้อนี้ก็เนื่องมาจากแนวคิดและสถาปัตยกรรมระบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เรื่องจาก Sony เองไม่ต้องการให้คนเข้ามายุ่งกับระบบเลย เพื่อป้องกันปัญหาทั้งเรื่องการเล่นเกมเถื่อน และความปลอดภัยของระบบกับข้อมูลผู้ใช้งาน นอกจากนี้ ด้วยความที่พีซีมันคือคอมพิวเตอร์ ซึ่งแนวคิดของมันคือความเปิดกว้าง เพื่อให้สามารถใช้งานได้อเนกประสงค์ โดยที่การเล่นเกมเป็นแค่เพียงหนึ่งในสิ่งที่คอมทำได้เท่านั้นเอง ด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดกว้าง ทำให้การแก้ไขตัวเกม แก้ไขการแสดงผลต่าง ๆ ให้ต่างไปจากที่นักพัฒนาเกมออกแบบมา เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากนัก
นั่นจึงทำให้เกิด mod ปรับปรุงตัวเกมออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น mod เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวละคร เปลี่ยนการแสดงผลในจุดต่าง ๆ ปรับความยากง่ายของเกม ปรับภาพให้สวยขึ้น mod เปลี่ยนเป็นภาษาไทย แถมบางทีมีผู้เล่นทนเล่นเกมในสภาพเดิมไม่ไหว นักพัฒนาเกมก็ไม่ออกแพตช์ปรับปรุงซักที เลยรวมตัวกันทำ mod แก้ให้เกมลื่นขึ้น แก้บั๊กในเกม จนเกมออกมาดีกว่าที่สร้างมาไปเลยก็มี
ส่วนใน PS ก็แทบไม่ต้องหวังเรื่องนี้เลยครับ เพราะระบบได้รับการออกแบบมาให้แทบไม่สามารถนำไฟล์อะไรมาเปิดในเครื่องได้มากนัก ส่วน mod ก็จะมีแค่แบบ official จากผู้ผลิตเกม มาให้เลือกใช้งานได้จากในเมนูของเกมเท่านั้น แต่ก็มีน้อยมาก ๆ ที่ดังหน่อยก็คือ Elder Scrolls V: Skyrim เท่านั้นเอง
สิ่งที่ทั้งสองเครื่องเสมอกัน – ราคาเกม
โดยส่วนใหญ่ เกมใหม่ที่วางขายใน PS Store มักจะมีราคาที่สูงกว่าวางขายในพีซีอยู่ระดับหนึ่ง อย่างต่ำสุดก็หลักสิบบาท แต่ส่วนใหญ่แล้วจะต่างกันเป็นหลักร้อย เช่น EA Sports FC 24 เกมฟุตบอลประจำปีของ EA ที่จะมาแทนชื่อ FIFA ซึ่งตัวเวอร์ชัน standard จะมีความต่างของราคาที่เห็นได้ชัดพอสมควรเลย
- เวอร์ชัน PC ใน EA app และ Steam ราคา 1,899 บาท
- เวอร์ชัน PS5 ราคา 2,353 บาท
จะเห็นว่ามีส่วนต่างอยู่ประมาณ 450 บาทก็จริง แต่ฝั่ง PS5 จะมีข้อได้เปรียบอยู่ตรงที่ถ้าเป็นแผ่นเกม เราสามารถนำแผ่นไปขายมือสองได้ครับ ในไทยนี่ยิ่งปล่อยมือสองง่ายมาก ถ้าเป็นเกมใหม่ เกมที่อยู่ในกระแสหน่อย ลงขายใน Facebook marketplace หรือขายในกลุ่มซื้อขายแผ่นเกมไม่นานก็ขายออกได้แล้ว อย่างตัวผมเองก็จะมีสูตรอยู่คือ ถ้าเป็นเกมที่ตั้งใจจะเล่นอยู่แล้ว จะอาศัยการพรีออเดอร์ผ่านร้านใน Shopee หรือ Lazada ล่วงหน้าเป็นเดือนโดยใส่โค้ดส่วนลดตามเทศกาลต่าง ๆ เช่นวันเลขเบิ้ล วันกลางเดือน จากนั้นใช้คอยน์หรือเงินคืนที่มีอยู่โปะเพื่อให้ได้ส่วนลดมากขึ้นไปอีก บางทีซื้อแล้วก็ได้เงินคืนตอนท้ายด้วย ทำให้สุดท้ายแล้วได้ราคาเกมที่ถูกลงหลายร้อยเลย เช่น จากเกมราคา 2,300 ผมได้มาในราคาสุดท้ายประมาณ 1,900 บาทเท่านั้น และได้เงินคืนอีก 340 บาท เท่ากับว่าผมประหยัดเงินโดยรวมไปถึง 700 บาท
จากนั้นเมื่อเล่นเสร็จ ก็ไปตั้งขายมือสอง ถ้าเล่นจบเร็ว ขายออกไว เผลอ ๆ จะได้กำไรหลักร้อยอยู่เหมือนกัน หรืออย่างแย่ก็เท่าทุน ทำให้เสมือนว่าผมเช่าเกมมาเล่นในราคาหลักร้อยเท่านั้น แถมบางครั้งก็เหมือนเช่าฟรีหรือได้กำไรด้วยซ้ำ ขอแค่รักษาสภาพกล่องและแผ่นดี ๆ บวกกับไม่ใช้โค้ดของแถมที่ให้มาในกล่อง แต่วิธีนี้จะใช้ได้กับคนที่มีเกมในใจอยู่แล้ว ว่ายังไงก็ต้องเล่น แล้วสามารถเล่นได้จบไม่ช้าเกินไปจนตลาดวาย รวมถึงไม่ต้องการเก็บแผ่นไว้เล่นเก็บ 100% หรือเล่น DLC ที่อาจจะออกมาภายหลังด้วย และที่สำคัญคือ จะต้องเป็นเครื่อง PS5 รุ่นที่ใส่แผ่นได้เท่านั้น ถึงจะทำได้
ส่วนฝั่งพีซี การวางจำหน่ายเกมในแบบแผ่นดิสก์ที่เป็น physical form นั้นแทบจะไม่เหลือแล้วในปัจจุบัน เปลี่ยนเป็นการขายผ่านร้านแบบออนไลน์ ที่ใช้ซื้อสิทธิ์การเล่นเกมไปผูกกับบัญชีของผู้ใช้งานแทน ทำให้ไม่สามารถขายเกมแบบมือสองเหมือนผู้เล่นเครื่องคอนโซลได้ จะมีที่พอทำได้ก็คือการขายบัญชีผู้ใช้งานแทน แต่ก็ไม่เป็นที่นิยมมากนัก ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากปกติแล้วแต่ละร้านมักจะมีจัดโปรลดราคาเกมกันอยู่เรื่อย ๆ อยู่แล้ว ทำให้การซื้อเกมเองเป็นเรื่องที่สะดวก และปลอดภัยกับข้อมูลส่วนตัวมากกว่า
ทำให้ส่วนตัวผมมองว่าทั้งสองแพลตฟอร์มเสมอกันในข้อนี้ครับ ฝั่ง PS5 สามารถขายเกมมือสองได้ ทำให้เหมือนว่าได้เล่นเกมใหม่ในราคาหลักร้อย ส่วนฝั่งพีซีก็ราคาเริ่มต้นหลาย ๆ เกมย่อมเยากว่าหลักร้อย มากสุดก็ถึงหลักพัน แต่ไม่สามารถขายมือสองได้หลังเล่นจบเท่านั้นเอง
สรุป – ถ้าจะเล่นเกม ซื้อ PS5 หรือ PC ดีกว่ากัน
หากมองในแง่การใช้เล่นเกมอย่างเดียว ขอสรุปตามความต้องการแต่ละประเด็นตามนี้ครับ
- ต้องการความสะดวก >>> ซื้อ PS5
- ไม่เก่งเรื่องเทคนิค ไม่อยากแก้ปัญหาคอมเวลาเล่นเกมไม่ได้ >>> ซื้อ PS5
- ต้องการเล่นจบแล้วขายมือสอง >>> ซื้อ PS5
- อยากเล่นเกมได้แบบจัดเต็ม ภาพสวย มีงบระดับหนึ่ง >>> ซื้อ PC
- ต้องการเกมราคาย่อมเยากว่า มีเกมให้เลือกเยอะ >>> ซื้อ PC
- อยากเล่นเกมแบบมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ควบคุมง่าย เช่น เมาส์ที่มีมาโคร คีย์บอร์ด >>> ซื้อ PC
- ต้องการความสะดวกในการย้ายเครื่อง >>> ขึ้นอยู่กับความสามารถ และความสะดวกของแต่ละท่าน