ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 โน๊ตบุ๊ค Intel Evo ตัวเบา 1 กก. พกง่ายสุดๆ
สิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังจากโน๊ตบุ๊ค คือ การพกพาและน้ำหนักเบาพกง่าย ซึ่งในอดีตแค่เบากว่า 2 กิโลกรัมก็สุดยอดแล้ว แต่ปี 2023 นี้ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ได้ปักหมุดสถิติความเบาได้สำเร็จด้วยน้ำหนัก 1 กิโลกรัม หนาเพียง 1 เซนติเมตร เอาชนะโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายรุ่นในท้องตลาดไปได้อย่างสวยงาม แถมแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องได้นานร่วม 12 ชั่วโมง นานจนไม่ต้องง้ออแดปเตอร์หรือ Power Bank เลย ถูกใจเซลส์ AE ที่ต้องเอาโน๊ตบุ๊คใส่กระเป๋าไปพบลูกค้าติดต่องานอย่างแน่นอน
ข้อดีต่อมาคือ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ติดตั้งซีพียู Intel 13th Gen ผ่านมาตรฐาน Intel Evo ได้สเปคระดับ “จบจากโรงงาน” ทั้งแรม 16GB LPDDR5 และ M.2 NVMe SSD ความจุ 1TB การันตีความเร็วตอนอ่านไฟล์เกิน 6,500 MB/s ติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 4 มาถึง 2 ช่อง รวมถึงพอร์ตพื้นฐานอย่าง HDMI 2.1 และ USB-A 3.2 ลดความยุ่งยากเวลาต้องต่อจอแยกหรือเมาส์ลงไปได้เยอะมาก แต่ถ้ามี USB-C Multiport Adapter ติดกระเป๋าสักชิ้นรับรองว่าจะสะดวกขึ้นอีก
หน้าจอของ Zenbook S 13 OLED ก็ยังคงมาตรฐานสูงเช่นเดิมในขนาดหน้าจอเล็กกะทัดรัด 13.3 นิ้ว แต่มีความละเอียดสูงถึง 2.8K (2880×1800) พิกเซล ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ปรับความสว่างได้สูงสุดถึง 550 nits รองรับการแสดงผล Dolby Vision ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR True Black 500, PANTONE Validated ว่าพาเนล OLED ของ Zenbook S 13 OLED มีมาตรฐานสูงคุณภาพดี แต่ก็ถนอมสายตาโดย TUV Rheinland Certified, SGS Eye Care Display การันตีแล้วว่าต่อให้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา
นอกจากนี้ทาง ASUS ยังใส่ฟีเจอร์ดีๆ เข้ามาให้อีกมากทั้งกางหน้าจอได้แบนราบ 180 องศา, เชื่อมต่อ Wi-Fi 6E ได้, ลำโพงติดตั้งชิป Smart Amplifier มาให้เสียงดังกระหึ่ม ปรับจูนโดย harman/kardon รองรับ Dolby Atmos ในตัว แถมยังมีโปรแกรมลูกเล่นอย่าง GlideX สำหรับจำลองและคุมหน้าจอสมาร์ทโฟนได้ผ่านทาง ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 โดยตรงไม่เสียสมาธิระหว่างทำงานแล้วต้องสลับหน้าจอไปมาให้วุ่นวายด้วย
NBS Verdicts
โน๊ตบุ๊คน้ำหนักราว 1 กิโลกรัม หรือเบากว่านั้นในท้องตลาด ตอนนี้มีไม่กี่รุ่นจนนับนิ้วได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยซ้ำ ซึ่ง ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 นี้ก็รวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ซึ่งมันเกิดมาเพื่อตอบโจทย์นักธุรกิจ, เซลส์และ AE ที่ต้องพกโน๊ตบุ๊คไปติดต่องานลูกค้าเป็นประจำ ซึ่งองค์กประกอบของมันก็เอื้ออย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะมีพอร์ต HDMI 2.1 เอาไว้ต่อหน้าจอหรือโปรเจ็คเตอร์ได้ มี USB-A 3.2 เอาไว้ต่อแฟลชไดรฟ์หรือฮาร์ดดิสก์สำหรับเปิดไฟล์งานประชุมได้เลย ช่วยให้งานสะดวกขึ้นมากๆ หรือจะต่อ USB-C Multiport Adapter เข้า Thunderbolt 4 ใช้งานเป็นเดสก์ท็อปตอนนั่งทำงานเอกสารอยู่ในออฟฟิศก็ดีไม่แพ้กัน
ด้านแบตเตอรี่หากใครเป็นแฟนคลับ ASUS Zenbook มาสักพักจะจำได้ว่าซีรี่ส์นี้จะได้แบตฯ ความจุสูงราว 75Wh แต่พอเป็นรุ่นใหม่ซีพียู Intel 13th Gen “Raptor Lake” แล้ว ก็ลดความจุเหลือ 63Wh ให้ใส่แบตเตอรี่เข้าไปตัวเครื่องที่หนา 1 เซนติเมตรได้ แต่ระยะเวลาใช้งานยังน่าประทับใจเช่นเดิมเพราะอยู่ได้นานร่วม 12 ชั่วโมง เวลาพกติดตัวไปธุระนอกออฟฟิศก็ใช้งานได้ทั้งวันไม่ต้องง้ออแดปเตอร์ ช่วยลดจำนวนของในกระเป๋าลงไปได้อีกชิ้นแถมยังได้ซองหนังสำหรับ Zenbook รุ่นนี้แถมมาให้เฉพาะ ช่วยป้องกันตัวเครื่องไม่ให้เกิดริ้วรอยและป้องกันอุบัติเหตุตอนทำเครื่องตกได้อีก
ระบบรักษาความปลอดภัยก็ได้กล้องสแกนใบหน้า IR Camera ติดตั้งมาให้ใช้งาน ปลดล็อคเครื่องได้รวดเร็วไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านให้เสียเวลาก็ได้ แต่ในทางกลับกันเจ้า Zenbook S 13 OLED ก็ตัดเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือตรงปุ่ม Power ออกไปเช่นกัน ดังนั้นถ้าพกไปทำงานตามร้านกาแฟก็ต้องถอดแล้วใส่แมสก์เป็นระยะๆ ซึ่งเหตุผลว่า ASUS ตัดเซนเซอร์ตัวนี้ทิ้งอาจเพราะต้องการทำให้เครื่องบางลง แต่ก็น่าเสียดายเพราะถ้าได้เซนเซอร์นี้ก็จะใช้ชีวิตกับมันได้สะดวกขึ้นมาก
อีกจุดน่าเสียดาย คือ ทัชแพดของโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้เป็นแบบทั่วไปไม่ได้เป็น ASUS NumberPad 2.0 แบบ Zenbook หลายรุ่นได้ติดตั้งมาใช้ อาจเป็นเพราะตัวเซนเซอร์ภายใต้ทัชแพดน่าจะทำให้ตัวเครื่องหนาขึ้นเกิน 1 เซนติเมตรเลยต้องตัดมันออกไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งถ้ายอมมีความหนาหลักทศนิยมเพิ่มเข้ามาสักนิดก็ยังคงบางน่าใช้งานอยู่ดี
ข้อดีของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304
- น้ำหนักเครื่องเบาเพียง 1 กิโลกรัม หนา 1 เซนติเมตร พกพาง่ายมากไม่ต้องใช้กระเป๋าใหญ่
- งานประกอบระดับพรีเมี่ยม วัสดุแข็งแรงทนทาน ผ่านการทดสอบ MIL-STD-810H
- สเปคดีจากโรงงาน ได้ Intel 13th Gen รุ่นใหม่ล่าสุดจัดการพลังงานดีใช้งานได้นาน
- ได้รับการรับรอง Intel Evo การันตีว่าแบตเตอรี่ทนทาน ทำงานได้เป็นอย่างดี
- แบตเตอรี่ความจุ 63Wh แม้จะน้อยลงบ้างแต่ใช้งานได้ร่วม 12 ชั่วโมงเท่าเดิม
- มีพอร์ต Thunderbolt 4 x 2 ช่อง ร่วมกับพอร์ตมาตรฐานอื่นๆ ใช้งานได้สะดวก
- ติดตั้งกล้อง IR Camera ใช้สแกนหน้าปลดล็อคเครื่องได้ ปลอดภัยมีความเป็นส่วนตัวสูง
- หน้าจอความละเอียดสูง 2.8K ได้ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ได้สีสันเที่ยงตรงสวยงาม
- ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR True Black 500, PANTONE Validated
- กางหน้าจอได้แบนราบ 180 องศา แชร์คอนเทนต์บนหน้าจอให้เพื่อนร่วมงานดูได้ง่าย
- ดีไซน์ ErgoLift เมื่อกางหน้าจอแล้วตัวตัวเครื่องจะยกขึ้นเล็กน้อย พิมพ์งานสะดวกมาก
- แถมซองหนังระดับพรีเมี่ยมมาให้ ป้องกันตัวเครื่องได้ดีมากไม่ต้องหาซื้อแยกภายหลัง
- กล่องกระดาษประคองเครื่องดีไซน์ให้ใช้เป็นฐานวางโน๊ตบุ๊คได้เวลานั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ
- มีโปรแกรม GlideX ใช้ Mirror จอมือถือขึ้นมาใช้งานบโน๊ตบุ๊ค ใช้เมาส์คีย์บอร์ดควบคุมได้
ข้อสังเกตของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304
- ทัชแพดยังเป็นแบบธรรมดา ไม่ได้ใส่ NumberPad 2.0 มาให้เหมือน Zenbook รุ่นอื่นๆ
- เวลาทำงานเต็มที่ เสียงพัดลมระบายความร้อนค่อนข้างดัง วัดได้ 58~60dB
รีวิว ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304
- Specification
- Hardware & Design
- Screen & Speaker
- Keyboard & Touchpad
- Connector / Thin & Weight
- Inside&Upgrade
- Performance & Software
- Battery & Heat & Noise
- User Experience
- Conclusion & Award
Specification
ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 เป็นโน๊ตบุ๊ค Intel Evo สุดบางเบาด้วยตัวเลข 1 กิโลกรัมและ 1 เซนติเมตร แถมยังได้พอร์ตมาค่อนข้างครบเครื่องรวมทั้งเซนเซอร์สแกนลายใบหน้า IR Camera รวมเอาไว้กับกล้องเว็บแคม เหมาะกับผู้ใช้ที่ต้องพกโน๊ตบุ๊คติดตัวไปทำธุระและประชุมงานกับลูกค้าเป็นประจำ ด้านสเปคมีรายละเอียดดังนี้
CPU | Intel Core i7-1355U แบบ 10 คอร์ 12 เธรด (2P+8E) ความเร็วสูงสุด 5GHz |
GPU | Intel Iris Xe Graphics |
SSD | M.2 NVMe อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 ความจุ 1TB |
RAM | 16GB LPDDR5 บัส 6400MHz |
Display | 13.3 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) พาเนล OLED ขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3, Dolby Vision ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR True Black 500, PANTONE Validated |
Connectivity | Thunderbolt 4 x 2, USB-A 3.2 x 1, HDMI 2.1 x 1, Audio combo x 1 Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax, Bluetooth 5.3 |
Software | Windows 11 Home, Microsoft Office Home & Student 2021 |
Weight | 1 กิโลกรัม |
Price | 49,990 บาท (BaNANA) |
Hardware & Design
ดีไซน์ของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 หน้าเครื่องยังเน้นความเรียบง่ายไม่หวือหวา แค่สกรีนโลโก้ Dolby Vision, Atmos เอาไว้มุมซ้ายรวมกับสติ๊กเกอร์ Intel Evo, ASUS Perfect Warranty และสติ๊กเกอร์ Microsoft Office Home & Student รวม 3 ตัว ด้านขวาเป็นโลโก้ harman/kardon สกรีนติดเอาไว้
ขอบล่างถัดลงมาจากทัชแพดจะเป็นส่วนตัดเว้าไว้กางเปิดหน้าจอ จากที่ทดลองใช้แล้วถือว่าทาง ASUS วางบาลานซ์มาได้ดีใช้นิ้วเดียวกางหน้าจอใช้งานได้เลยแล้วตัวเครื่องไม่กระดกแม้แต่น้อยและตัวเครื่องไม่ไหลตามนิ้วด้วยเพราะเมื่อกางมาราว 60 องศา ตัวก้านพลาสติกกันลื่นส่วนขอบล่างหน้าจอจะแตะโต๊ะพอดี นอกจากไม่ลื่นไถลแล้วยังวางเครื่องได้มั่นคงขึ้น
ช่องระบายความร้อนทาง ASUS ดีไซน์ซ่อนเอาไว้ตรงขอบเหนือแป้นคีย์บอร์ดหันช่องเข้าขอบล่างหน้าจอ โดยมีอยู่ 2 ช่อง ระบายความร้อนได้ดีมาก แต่เวลา Full load แล้วเสียงพัดลมจะค่อนข้างดัง จากที่วัดด้วยเครื่องวัดเสียงแล้วดังราว 58-60dB ถือว่าเสียงค่อนข้างดังชัดเจน
ฝาหลังของ Zenbook S 13 OLED เป็นอลูมิเนียมทำสี โดยเครื่องทดสอบเป็นสีเทา Basalt Grey มีเส้น 4 เส้นตัดกันเป็นโลโก้แบบใหม่และมีคำว่า ASUS Zenbook เล็กๆ ติดเอาไว้ขอบล่างขวา ด้านวัสดุประกอบเครื่องเป็นวัสดุรีไซเคิล PIR (Post-Industrial Recycled) กับ PCR (Post-Consumer Recycled) โดยใช้เป็นเซรามิคกับอลูมิเนียม ดีไซน์เรียบง่ายไม่มีการทำบอดี้ให้เป็นร่องลึกหรือนูนขึ้นมา ดูเรียบง่ายแต่มีระดับมาก
ส่วนก้านบานพับเมื่อดูด้านข้างจะเห็นว่าทาง ASUS ดีไซน์ให้เป็นเหมือนตัว S กลับด้านแล้วมีก้านล็อคฐานบานพับตัวเครื่องติดเอาไว้ 2 ฝั่ง สามารถกางหน้าจอได้มั่นคงไม่มีอาการก้านจอสะบัดเลยแม้แต่นิดเดียว แถมดีไซน์ ErgoLift ยังช่วยยกตัวเครื่องให้เฉียงขึ้นเล็กน้อยให้พิมพ์งานได้สะดวกและเป็นฐานที่แข็งแรงดีพอควร ซึ่งสัมผัสตอนใช้งานสามารถวางมือพิมพ์งานได้ถนัดดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมาก
นอกจากความหรูหรา ทางบริษัทก็ดีไซน์ชิ้นส่วนในกล่องพัสดุให้หยิบมาใช้กับ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ได้ด้วย โดยกล่องกระดาศประคองกล่องใส่เครื่องสามารถคว่ำด้านที่มีร่องจับกล่องให้คว่ำลงกับพื้นโต๊ะแล้วเอาโน๊ตบุ๊คมาวางเกี่ยวเอาไว้ ใช้เป็นแท่นวางโน๊ตบุ๊คชั่วคราวหรือจะวางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะทำงานเลยก็ได้
ด้านใตั ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 จะมีแถบยางกันลื่น 2 เส้น กับช่องนำลมเข้าไประบายความร้อนอีก 2 ช่อง แต่มีขนาดค่อนข้างเล็กและขันล็อคฝาด้านใต้เครื่องเอาไว้ด้วยน็อต Trox อีก 11 ตัว ขันล็อคเอาไว้แน่นแข็งแรง โดยมีน็อต 4 ตัวขอบล่างเป็นตัวสั้น เวลาเปิดฝาควรแยกเอาไว้เป็นพิเศษไม่เอาไปปนกัน ลดโอกาสใส่น็อตผิดช่องแล้วเกิดปัญหาตามมา
Screen & Speaker
หน้าจอของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 มีขนาดเล็กกะทัดรัด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 2.8K (2880×1800) พาเนล OLED มีขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 รองรับการแสดงผล Dolby Vision ได้รับการรับรอง VESA DisplayHDR True Black 500, PANTONE Validated การันตีสีบนจอ Zenbook S 13 OLED ว่าแม่นยำใช้ทำงานอาร์ตได้ อย่างเช่นแต่งภาพทำ Photoshop อัพโหลดขึ้นโซเชียลหรือให้เซลส์ AE เอาไว้เปิดภาพงานอาร์ตพรีเซนต์งานลูกค้าแล้วได้สินค้ากับภาพในจอตรงกัน
กรอบหน้าจอของ Zenbook S 13 OLED UX5304 ดีไซน์ให้ขอบหน้าจอฝั่งซ้ายและขวาบางเป็นพิเศษให้มีพื้นที่แสดงผลมากขึ้น ส่วนขอบบนของจอมีกล้อง IR Camera สำหรับสแกนหน้าเครื่องติดตั้งเอาไว้และโลโก้ ASUS Zenbook ตรงขอบล่างกลางหน้าจอ และข้อดีของพาเนล OLED ก็ไม่แพ้กับ IPS ในแง่มุมมองภาพกว้าง 178 องศา โดยสีไม่เพี้ยนหรือเกิดเงาทาบบนหน้าจอเลย จึงใช้ทำงานและดูหนังได้ดี
ขอบเขตสีหน้าจอเมื่อทดสอบด้วย DisplayCal 3 ใช้เครื่อง Colorchecker ของ Calibrite ได้ Gamut coverage หรือค่าขอบเขตสีจริงของหน้าจอได้สีกว้างถึง 100% sRGB, 95.7% Adobe RGB, 99.8% DCI-P3 ส่วน Gamut volume หรือขอบเขตสีองค์รวมได้ 170.6% sRGB, 117.5% Adobe RGB, 120.8% DCI-P3 ค่าความเที่ยงตรงสี Delta-E เฉลี่ย 0.09~2.37 ถือว่าแม่นยำดีมาก ใช้ทำงานด้านสีสันได้ดีแน่นอน
เมื่อปรับความสว่างหน้าจอไป 100% แล้ว ตัวโปรแกรมวัดได้ 356.44 cd/m2 ถ้าเทียบจากที่เคลมเอาไว้ 550 nits แม้จะน้อยกว่าหน้าสเปค แต่ตอนใช้งานจริงถือว่าสว่างเหลือเฟือใช้งานได้ดี ถ้าใช้ในอาคารสำนักงานหรือร้านกาแฟแค่ตั้งเอาไว้ 50% ก็สว่างเหลือเฟือแล้ว แต่ถ้าแสงแดดส่องสะท้อนจอจนเริ่มมองไม่เห็นแค่ปรับขึ้นมาราว 70% ก็สว่างพอมองเห็นได้ชัดเจนแล้ว
ลำโพง 2 ดอกของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ส่วนขอบล่างใต้ที่วางข้อมือสองฝั่ง เมื่อปรับเสียงลำโพงดัง 100% แล้วถือว่าดังพอควรฟังในห้องนอนดังชัดเจน ปรับจูนเสียงโดย harman/kardon เนื้อเสียงของลำโพงนี้จะเน้นไปทางรายละเอียดและเสียงนักร้องนำเป็นหลักและมีมิติพอควร แต่เสียงเบสบางจนแทบไม่มีแรงปะทะ เลยส่วนตัวลำโพงนี้จะเหมาะกับเพลงแนวคลาสสิคหรือเน้นเสียงนักร้องที่สุด และไม่เหมาะกับเพลงแนวเบสหนักๆ อย่างเพลงร็อคหรือ EDM นัก ส่วนตัวแนะนำให้ต่อลำโพงแยกดีกว่า
Keyboard & Touchpad
คีย์บอร์ดของ ASUS Zenbook S 13 OLED จะเป็นไซซ์ขนาด TKL พร้อมไฟ LED Backlit สีขาวปรับความสว่างได้ 3 ระดับ โดยแสงจะลอดออกด้านข้างและตัวอักษรบนปุ่มให้พิมพ์ในที่แสงน้อยได้สะดวกขึ้น ตัวปุ่มและการ Mapping มาจากคีย์บอร์ดตระกูล ASUS Zenbook มาใช้โดยตรง จึงมีปุ่มหลักๆ ติดมาให้ใช้ครบเครื่องทั้งปุ่มลูกศรรวมกับปุ่ม Page Up, Page Down, Home, End และปุ่ม Delete จะซ้อนกับปุ่ม Insert เอาไว้ด้วย
สำหรับปุ่ม Power ระหว่างปุ่ม Print Screen และ Delete จะเป็นปุ่มธรรมดาไม่มีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ โดยส่วนตัวอยากให้ใส่มาด้วยเพราะเหมาะกับยุค Post COVID-19 มาก แต่เหตุผลน่าจะเป็นเรื่องมิติความหนาเลยใส่เป็นปุ่มธรรมดามาให้แทนและรวมเอาไว้กับแป้นคีย์บอร์ดชุดหลักด้วย ถึงจะพลาดกดโดนก็ไม่เป็นไรเพราะมันจะกลายเป็นคำสั่ง Sleep เข้าหน้า Lock screen แทน ถ้าจะใช้งานก็กดอีกครั้งพอ
แป้นคีย์บอร์ดของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 เทียบกับโน๊ตบุ๊ค Intel Evo ในปัจจุบันที่บางและระยะกดตื้นอยู่แล้ว เครื่องนี้จะบางลงไปอีกจนระยะกดตื้นมากแทบจะแตะสัมผัสได้ ใช้ปลายนิ้วแตะกดเบาๆ ก็ทริกเกอร์ทำงานทันทีแทบไม่ต้องใช้แรงเลย ซึ่งถ้าบางกว่านี้อีกนิดก็เท่ากับ Butterfly Keyboard ของ MacBook โมเดล 2016~2019 แล้ว ถ้าใครใช้คีย์บอร์ดเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คหรือคีย์บอร์ดปกติน่าจะต้องปรับตัวสักระยะหนึ่งถึงจะกะแรงตอนพิมพ์ได้เหมาะสม
Function Hotkey ของ Zenbook S 13 OLED UX5304 จะรวมเอาไว้กับปุ่ม F1~F12 ถ้าจะใช้ตามปกติ ให้กด Fn+Esc เพื่อสลับโหมดได้ คำสั่งปุ่มยกจากซีรี่ส์ ASUS Zenbook มาใช้โดยตรง มีคีย์ลัดดังนี้
- F1~F3 – ปิด, ลดหรือเพิ่มเสียงลำโพง
- F4~F5 – ลดหรือเพิ่มความสว่างหน้าจอ
- F6 – ปิดแป้นทัชแพด
- F7 – ปรับความสว่างไฟ LED Backlit คีย์บอร์ด
- F8 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและเสริม
- F9 – ปิดไมโครโฟน
- F10 – ปิดกล้อง Webcam
- F11 – เรียกโปรแกรม Snipping Tool
- F12 – เรียกโปรแกรม MyASUS ขึ้นมาใช้งาน
ชุดคีย์ลัดของ Zenbook S 13 OLED นี้ ถึงจะยกมาใส่โดยไม่ปรับเปลี่ยนอะไรก็ตาม แต่ก็ให้ฟังก์ชั่นมาครบเครื่องดี ถ้าเป็นไปได้อยากแนะนำให้เอาคำสั่งเรียกโปรแกรม Snipping Tool ตรง F11 ไปรวมกับปุ่ม Print Screen แทนแล้วให้กดแบบรวมกับปุ่ม Fn จะดีกว่าแล้วใส่คำสั่งอื่นเช่น Airplane Mode แทนจะใช้งานได้สะดวกขึ้นมาก
ทัชแพด ErgoSense ของ Zenbook S 13 OLED ขยายขนาดมาให้กว้างมาก ทำขอบบนและล่างให้สุดขอบที่วางข้อมือและตัวแป้นด้านข้างถือว่ากว้างพอลากเคอร์เซอร์เมาส์ไปมาจนสุดขอบหน้าจอได้สบายๆ เวลาวางมือซ้ายแล้วสันมือจะทาบบนตัวแป้นโดยเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช้งานจะกด Fn+F6 ปิดทิ้งแล้วต่อเมาส์แทนก็ได้แต่ไม่มีอาการทัชแพดลั่นกวนใจอย่างแน่นอน
ถึงทัชแพดนี้จะทำงานได้ดีตอบสนองเร็วยอดเยี่ยมก็จริง แต่ก็เสียดายว่า ASUS ไม่ได้ใส่ NumberPad 2.0 มาให้เหมือน Zenbook รุ่นอื่น ดังนั้นถ้าใครทำงานบัญชีเปิดไฟล์ Excel บ่อยๆ ควรต่อคีย์บอร์ดหรือชุด Numpad แยกออกไปจะทำงานได้สะดวกกว่า ส่วนตัวคิดว่าสาเหตุที่ไม่ได้ใส่แป้นนี้มาให้เพราะใต้ตัวแป้นน่าจะมีเซนเซอร์และชิ้นส่วนที่ทำให้ตัวเครื่องหนาขึ้นเลยต้องตัดทิ้งไป กลับกันถ้าใส่มาให้แล้วยอมหนาขึ้นอีกไม่กี่มิลลิเมตรให้มีลูกเล่นดีๆ เพิ่มเข้ามาอีกก็คุ้มค่าอยู่
Connector / Thin & Weight
ถึงจะรีดตัวเครื่องมาบางเพียง 1 เซนติเมตร แต่ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ก็มีพอร์ตพื้นฐานติดมาคู่กับ Thunderbolt 4 ด้านข้างซ้ายของเครื่องด้วย โดยมีดังนี้
- ฝั่งซ้ายจากซ้ายมือ – HDMI 2.1, Thunderbolt 4 x 2 ช่อง, ไฟแสดงสถานะการชาร์จ
- ฝั่งขวาจากซ้ายมือ – ไฟแสดงสถานะการทำงาน, Audio combo, USB-A 3.2
- การเชื่อมต่อไร้สาย – Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.3
ถือว่าทาง ASUS เองก็ใส่พอร์ตจำเป็นใช้มาด้วย ไม่ได้มีเฉพาะ Thunderbolt 4 เท่านั้น จึงต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างโปรเจคเตอร์, หน้าจอแยกและเมาส์เพิ่มได้ ถ้ามีหน้าจอทำงานแบบต่อสาย USB-C และเป็น Port Hub ด้วยยิ่งใช้งานสะดวก ให้ดีก็ซื้อ USB-C Multiport Adapter มาต่อ Thunderbolt 4 แยกเป็นพอร์ตอื่นๆ ด้วยยิ่งใช้งานสะดวกขึ้นหลายเท่า
น้ำหนักของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 เมื่อชั่งดูแล้วเฉพาะเครื่องอย่างเดียวหนัก 1.04 กิโลกรัมตามที่เคลมไว้บนหน้าสเปค ถ้ารวมอแดปเตอร์ 65 วัตต์ ของตัวเครื่องอีก 218 กรัม จะหนัก 1.26 กิโลกรัม ใส่ซองหนังเฉพาะของ Zenbook อีก 172 กรัม จะหนัก 1.43 กิโลกรัมพอดี จัดว่าพกพาสะดวกสบาย ถือว่าเบาเป็นอันดับต้นๆ ของโลกในปัจจุบันนี้ด้วยซ้ำ
Inside&Upgrade
วิธีเปิดฝา ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 นั้นง่ายมาก แค่ขันน็อต Trox ทั้ง 11 ตัวออกแล้วเอาการ์ดแข็งแซะตามขอบตัวเครื่องไล่ไปเรื่อยๆ ก็ถอดฝาออกได้ทันที แต่เมื่อเปิดแล้วจะเห็นว่าพาร์ทที่ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้เองจะมีแค่ M.2 NVMe SSD ใต้พัดลมฝั่งซ้ายมือเท่านั้น เพราะชิ้นส่วนอื่นถูกบัดกรีติดบนเมนบอร์ดหมดและน่าจะซ้อน Wi-Fi PCIe Card เอาไว้ใต้ SSD ด้วย ให้ใส่แบตเตอรี่ 63Wh เข้าไปได้
สังเกตว่าชิปแรม Micron 4 อันของ Zenbook S 13 OLED จะบัดกรีติดอยู่ใกล้ๆ Intel Core i7-1355U ดังนั้นถ้าใครซื้อเครื่องนี้มาก็ใช้งานไปเลยไม่ต้องคาดหวังเรื่องการอัพเกรดเพิ่ม ยกเว้นเฉพาะตอนที่ M.2 NVMe SSD ตัวหลักเสียหายใช้งานไม่ได้ค่อยเปลี่ยนในภายหลัง ดังนั้นถ้าใครซื้อ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 มาก็เปิดเครื่องใช้งานไปเลยไม่ต้องอัพเกรดเพิ่ม
Performance & Software
ซีพียูของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 เป็น Intel Core i7-1355U แบบ 10 คอร์ 12 เธรด (2P+8E) ความเร็วสูงสุด 5GHz สถาปัตยกรรม Raptor Lake เทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ 10 นาโนเมตร ค่า TDP 15 วัตต์ ซึ่งไม่สูงมากตามแบบซีพียูรุ่นประหยัดพลังงาน รองรับชุดคำสั่งพื้นฐานใช้งานครบถ้วนใช้ทำงานได้เป็นอย่างดี
เมนบอร์ดของ Zenbook S 13 OLED ทาง ASUS ผลิตเอง ติดตั้งแรมมาแบบออนบอร์ด มีความจุ 16GB LPDDR5 บัส 6400MHz ชิปแรมผลิตโดย Micron Technology รองรับ M.2 NVMe SSD อินเตอร์เฟส PCIe 4.0 x4 สามารถติดตั้ง SSD รุ่นใหม่ล่าสุดแล้วรีดประสิทธิภาพออกมาได้เต็มที่
กราฟิคการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดรุ่น Intel Iris Xe Graphics เน้นใช้แสดงผลภาพขึ้นหน้าจอและทำงานกราฟิคตัดต่อแต่งภาพและคลิปได้แน่นอน รองรับชุดคำสั่ง OpenCL, OpenGL 4.6, DirectCompute, DirectML, Vulkan เพื่อใช้ทำงานครบถ้วน ทว่าจะไม่เหมาะกับการเล่นเกมมากนัก
พาร์ทภายในเครื่องเมื่อเช็คด้วย Device Manager จะเห็นว่า ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 มีชิปรักษาความปลอดภัย TPM 2.0 สำหรับประสานงานกับ Windows 11 และกล้อง IR Camera สำหรับใช้งานร่วมกับ Windows Hello ใช้สแกนใบหน้าปลดล็อคเครื่อง
เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย Wi-Fi PCIe Card รุ่น Intel AX211 เป็น Wi-Fi 6E มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.3 ในตัว มีแบนด์วิธรับส่งข้อมูล 160MHz เชื่อมต่อ Wi-Fi 2.4GHz / 5GHz / 6GHz ได้ รองรับเทคโนโลยี MU-MIMO, OFDMA, Intel vPro ถือว่าครบเครื่องทันสมัยที่สุดในบรรดา Wi-Fi Card ที่หาได้ในปัจจุบันนี้
M.2 NVMe SSD ความจุ 1TB เมื่อเช็ครหัสใน Device Manager เป็น Samsung PM9A1 เป็น SSD แบบ OEM ประสิทธิภาพสูง ทาง ASUS เคลมความเร็วเอาไว้หน้าเว็บไซต์ว่าอยู่ที่ 6,500MB/s ด้านของ Samsung ขึ้นสเปคไว้ว่า SSD ตัวนี้มีความเร็ว Sequential Read 7,000 MB/s และ Sequential Write 5,100 MB/s อินเตอร์เฟสเป็น PCIe 4.0 x4
เมื่อทดสอบความเร็วอ่านเขียนข้อมูลด้วย CrystalDiskMark 8 มีความเร็ว Sequential Read 6,766.69 MB/s และ Sequential Write 5,017.22 MB/s ถือว่าเร็วกว่าที่ ASUS เคลมไว้หน้าเว็บไซต์ ใกล้เคียงกับสเปคหน้าเว็บไซต์ของ Samsung อีกด้วย ในฐานะโน๊ตบุ๊คบางเบาเพื่อใช้ทำงานเป็นหลักถือว่าทำงานได้เร็วมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องอัพเกรดก็ได้
ด้านการทดสอบเรนเดอร์โมเดล 3D ด้วยโปรแกรมตระกูล CINEBENCH ทั้ง 3 เวอร์ชั่นแล้ว ถือว่า Intel Core i7-1355U สามารถรันงานได้ดีระดับหนึ่ง เอาไว้พรีวิวตัวอย่างงานหรือตัดต่อแต่งภาพเพื่อใช้นำเสนองานได้ดีระดับหนึ่ง ถ้าแยกตามตัวโปรแกรมแล้วจะเป็นดังนี้
- R23 – ใช้ทดสอบพลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก มีความละเอียดและแม่นยำสูง ได้คะแนน Multi Core 5,997 pts และ Single Core อีก 1,707 pts
- R20 ใช้ทดสอบกำลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก ได้คะแนน CPU 2,330 pts
- R15 ใช้ทดสอบการเรนเดอร์งานและโมเดล 3D ว่าซีพียูและกราฟิคการ์ดทำได้ลื่นไหลหรือไม่ คะแนน OpenGL 96.31 fps และ CPU 911 cb
ส่วนของโปรแกรม PCMark 10 สำหรับทดสอบโน๊ตบุ๊คโดยอิงกับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน จะเห็นว่า ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ทำคะแนนเฉลี่ยรวมได้ 5,540 คะแนน ซึ่งไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายรุ่นในปัจจุบันนี้ สามารถใช้ทำงานต่างๆ ได้รอบด้านและเด่นเรื่องใช้งานทั่วไปเช่นเปิดโปรแกรมต่างๆ และเปิดเว็บเบราเซอร์ขึ้นมาทำงาน, ประชุมออนไลน์รวมถึงทำงานเอกสารออฟฟิศได้ดีพอสมควรอีกด้วย
จุดน่าสนใจ คือกราฟิคการ์ด Intel Iris Xe Graphics ในซีพียูใช้ทำงานกราฟิคได้ดีระดับหนึ่ง สามารถใช้ตัดต่อแต่งภาพและวิดีโอได้ดีพอสมควร ถ้าปั้นหรือทำโมเดล 3D ถือว่าพอทำได้แต่ยังไม่ถึงกับเครื่องที่มีการ์ดจอแยกโดยเฉพาะพร้อมคอร์กราฟิคสำหรับทำงานประเภทนี้โดยเฉพาะแต่ก็ยังพอใช้พรีวิวตัวอย่างได้ระดับหนึ่ง
ด้านการเล่นเกมเมื่อทดสอบด้วย 3DMark Time Spy จะได้คะแนนเฉลี่ย 1,540 คะแนน แยกเป็น CPU score 4,665 คะแนน และ Graphics score 1,378 คะแนน เป็นคะแนนในระดับไม่สูงมาก แค่พอใช้เล่นเกมออนไลน์หรือเกมที่ไม่กินกราฟิคมากฆ่าเวลาได้อยู่ ซึ่งถ้านับตามความโดดเด่นแล้ว ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 จะดีและเหมาะกับการทำงานออฟฟิศและจัดการแบตเตอรี่ให้ใช้งานต่อเนื่องได้นานหลายชั่วโมง แต่ไม่เด่นนักหากเอามาใช้เล่นเกมหรือใช้ทำงานกราฟิคหนักๆ นัก
นอกจากใช้ทำงานตามปกติแล้ว ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ก็มีโปรแกรม GlideX สำหรับ Mirror เอาหน้าจอสมาร์ทโฟนมาขึ้นบนจอคอมได้ทันทีแถมยังใช้เมาส์คีย์บอร์ดของโน๊ตบุ๊คควบคุมมือถือได้อีกด้วย ใช้วิธีเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้โดยมีขั้นตอนดังนี้
- โหลดแอพฯ GlideX มาติดตั้งในสมาร์ทโฟน รองรับทั้ง iOS, Android
- เชื่อมต่อ Wi-Fi เครือข่ายเดียวกันทั้งมือถือและโน๊ตบุ๊ค
- เปิดโปรแกรม GlideX ใน Zenbook S 13 OLED และสมาร์ทโฟน เมื่อสั่งเชื่อมต่อจากโน๊ตบุ๊คแล้วจะมีหน้าต่างให้กดยืนยันการเชื่อมต่อขึ้นบนจอสมาร์ทโฟน
- เมื่อกดยืนยันแล้วอุปกรณ์ทั้งสองชิ้นจะเริ่มเชื่อมต่อกัน แล้วโชว์ภาพหน้าจอของสมาร์ทโฟนบนจอคอม
- เวลาใช้งานสามารถลากเมาส์ไปมาบนหน้าจอและใช้คีย์บอร์ดพิมพ์ได้ แต่ถ้าต้องการกด Back / Home / Recent App ให้กดตรงไอคอนด้านข้างบนแถบสีดำแทน
ข้อดีของแอพฯ GlideX คือ ทำให้เราไม่ต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาบ่อยๆ สามารถโฟกัสกับสิ่งที่อยู่บนจอคอมได้อย่างต่อเนื่องไม่ต้องสลับไปมาให้เสียเวลามากและยังใช้ต่อกับหน้าจอคอมแบบไร้สายก็ได้ หรือต่อกับแท็บเล็ตเอาไว้เขียนจดวาดภาพทำงานก็สะดวกไม่แพ้กัน ทว่าตัวแอพฯ ใน ASUS Zenbook ยังเป็นเวอร์ชั่นใช้งานฟรี ซึ่งถ้าจ่ายค่าใช้บริการรายเดือนแล้ว จะเชื่อมต่อผ่านสาย USB และใช้ฟังก์ชั่นอื่นๆ เพิ่มได้อีกด้วย ยิ่งถ้าใครใช้แท็บเล็ตนอกจากใช้เป็นหน้าจอเสริมพกพาก็ยังเอาไว้วาดภาพเขียนจดและคอมเมนท์งานเพิ่มได้สะดวกขึ้นอีกด้วย
นอกจากลูกเล่นอย่าง GlideX โปรแกรมติดเครื่องสำหรับตั้งค่าและอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดเสมออย่าง MyASUS ก็ถูกติดตั้งมาให้ใช้ตั้งค่าตัวเครื่องด้วย โดยส่วนสำคัญคือฟีเจอร์ ASUS OLED Care สำหรับถนอมพาเนล OLED ให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น ถนอมพาเนลไม่ให้เสื่อมสภาพเร็วไป และขอแนะนำให้เข้ามาเปิดฟีเจอร์นี้เอาไว้ด้วยจะดีสุด
Battery & Heat & Noise
แบตเตอรี่ของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 มีความจุ 63Wh แยกเป็น Typical Capacity 8,140mAh และ Rated Capacity 7,902mAh เป็นแบบลิเธียมโพลีเมอร์กินพื้นที่ภายในเครื่องไปครึ่งหนึ่ง โดยแบตเตอรี่ความจุนี้สามารถใส่กระเป๋าพกขึ้นเครื่องบินได้เลยไม่มีปัญหาใดๆ แต่ถ้าเทียบกับ Zenbook รุ่นอื่นซึ่งได้แบตเตอรี่ราว 75Wh ถือว่า S 13 OLED UX5304 ใส่แบตเตอรี่มาได้น้อยลง คงเพราะขนาดตัวเครื่องทั้งมิติความหนาและบอดี้ 13.3 นิ้วบังคับเอาไว้นั่นเอง
ระยะเวลา 30 นาที ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
เมื่อทดสอบตามมาตรฐานของทางเว็บไซต์ โดยลดความสว่างหน้าจอเหลือ 50% เปิดเสียงลำโพง 10% ปิดไฟ LED Backlit ของคีย์บอร์ดแล้วเปลี่ยนโหมดตัวเครื่องเป็น Whisper Mode แล้วใช้ Microsoft Edge เปิดดูคลิป YouTube นาน 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง Zenbook S 13 OLED ก็ยังจัดการแบตเตอรี่ให้ใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 11 ชั่วโมง 32 นาที หรือร่วม 12 ชั่วโมง หากเทียบกับที่ ASUS เคลมเอาไว้ว่าใช้งานได้ 14 ชั่วโมง คาดว่าต้องปิดเสียงลำโพงทิ้งไปก็น่าจะได้ระยะเวลาตรงตามเคลมแน่นอน
แต่ถึงแบตเตอรี่จะมีความจุลดลงไป 12Wh ก็จริง แต่ก็ต้องยกความดีให้ Intel Core i7-1355U ที่จัดการแบตเตอรี่ได้ดีมาก ตอนพกเครื่องไปนั่งทำงานข้างนอกออฟฟิศทั้งวันก็ใช้งานได้นานทั้งวัน จากตอนเช้าหลังจากถอดสายชาร์จเวลา 8 โมงเช้า ขับรถไปทำธุระและเปิดเครื่องทำงานไปโดยใช้เป็น Whisper Mode แบตเตอรี่ก็แทบไม่ลดลงเลย พอถึงเวลา 5 โมงเย็นยังเหลือแบตเตอรี่ให้ใช้อีก 50% ซึ่งถ้าเป็นซีพียู Intel 11th~12th Gen อาจจะเหลือแบตเตอรี่ราว 30~35% แล้ว ถือว่า ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 มีแบตเตอรี่พอใช้งานในระยะเวลา 1 วันโดยไม่มีปัญหาแน่นอน
ชุดระบายความร้อนพัดลมคู่ของ Zenbook S 13 OLED UX5304 มีช่องนำลมเข้าพัดลมเพียง 2 ช่องเล็ก นำลมเข้าไปยังพัดลมในเครื่อง มีฮีตไปป์ 2 เส้น พาดตรงจากซีพียู Intel Core i7-1355U ไปยังฮีตซิ้งค์แล้วระบายความร้อนออกจากเครื่องผ่านช่องลมออกเหนือขอบตัวเครื่อง แต่ช่องมีขนาดเล็กเวลาทำงานเต็มที่แล้วเสียงพัดลมกับลมจากช่องเลยค่อนข้างดังชัดเจนและออกแหลม วัดความดังได้ราว 58~60dB
อุณหภูมิปกติ ทำงานเต็มที่
การจัดการอุณหภูมิภายในตัวเครื่องถือว่าทำงานได้ดีและความร้อนไม่กระจุกตัวอยู่บริเวณสันมือตอนพิมพ์งานเลย พอตอนรันโปรแกรม Benchmark ให้ทำงานเต็มที่แม้จะอุ่นขึ้น แต่ก็ระบายความร้อนให้กลับมาเย็นได้อย่างรวดเร็ว โดยอุณหภูมิจะเป็นดังนี้
อุณหภูมิ | ใช้งานปกติ (เซลเซียส) | เปิดโปรแกรมทดสอบ (เซลเซียส) |
ซีพียู | 52~88 | 52~95 |
เมนบอร์ด | 55~72 | 55~92 |
แม้อุณหภูมิตอน Full load จะดูสูงแต่ระบบระบายความร้อนของ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ก็จัดการอุณหภูมิได้ดีมาก แม้อุณหภูมิตีขึ้นไป 95 องศาเซลเซียสก็จริงแต่ค้างอยู่ไม่นาน เพียงไม่เกิน 2 วินาที แล้วชุดพัดลมโบลวเวอร์จะเร่งรอบระบายความร้อนออกไปได้อย่างรวดเร็ว แลกกับเสียงพัดลมที่ดังขึ้นอย่างชัดเจนก่อนเบารอบลดรอบเสียงพัดลมลงมาทำงานตามปกติอีกครั้ง
User Experience
ความประทับใจแรกตอนเอา ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ไปทดลองใช้ต้องยกให้น้ำหนักที่เบาเพียง 1 กิโลกรัม ซึ่งเบามากเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊ค Intel Evo หลายๆ รุ่นในตลาด ทำให้มันพกพาง่ายมากและไม่ถ่วงไหล่เกินไปด้วย ถ้าใครชอบพกอุปกรณ์ใส่กระเป๋าไปมาเยอะๆ มีแท็บเล็ต, Powerbank ฯลฯ ติดตัวไปด้วยก็ไม่มีปัญหา ถ้าเอาใส่กระเป๋าเป้แล้วจะแบกไปไหนก็ไม่มีปัญหาหรือใส่กระเป๋าสะพายข้างแบบ Messenger Bag ก็ไม่มีปัญหา และตัวเครื่องหนาเพียง 1 เซนติเมตร เลยทำให้กระเป๋าไม่บวมกินพื้นที่เกินจำเป็น
ส่วนของระยะเวลาใช้งานด้วยแบตเตอรี่ก็น่าประทับใจ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนยังติดภาพว่าซีพียูแบบคอร์ 2 ชุดของ Intel ตั้งแต่รุ่นที่ 12 เป็นต้นมายังจัดการพลังงานได้ไม่ถึงใจเท่าไหร่ แม้จะใช้ได้ราว 8~10 ชั่วโมงก็จริง แต่ตอนใช้งานจริงพอจบวันแล้วก็เหลือแบตเตอรี่ค่อนข้างน้อย ถ้าต้องประชุมออนไลน์หรือแก้งานก็ต้องหยิบพาวเวอร์แบงค์มาต่อหรือหาที่เสียบปลั๊กแน่นอน แต่ Zenbook S 13 OLED แม้จะมีแบตเตอรี่แค่ 63Wh พอใช้ทำงานผ่านเบราเซอร์ Google Chrome ตั้งแต่ 08:00~17:00 น. เปิดความสว่างหน้าจอแค่ 50% เหมือนกัน สุดท้ายก็ยังเหลือแบตเตอรี่ค้างเอาไว้ 50% หรือทั้งวันใช้ไฟเพียง 31.5Wh เท่านั้น ในส่วนนี้ต้องยกความดีให้กับ Intel Core i7-1355U และ BIOS ที่ปรับแต่งมาได้ดีทีเดียว
กล่าวคือ ถ้าใครซื้อ ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 ไปใช้งานก็เอาอแดปเตอร์ของตัวเครื่องไปประจำโต๊ะทำงานได้เลยแล้วพกไปแค่เครื่องอย่างเดียวก็พอ อย่างมากอาจเอาปลั๊ก GaN กำลังชาร์จ 65 วัตต์หรือ Powerbank สำหรับชาร์จโน๊ตบุ๊คติดไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอแล้ว และถ้าใครต้องต่ออุปกรณ์เสริมเยอะหรือเผื่อไปพรีเซนต์งานก็หาซื้อ USB-C Multiport Adapter มาเตรียมไว้ในกระเป๋าก็ได้ เผื่อว่าต้องต่อแปลง Thunderbolt 4 ออกมาเป็น VGA, Card Reader หรือเพิ่มหัว USB-A ไว้ใช้อีก 1-2 หัวก็ดี
ด้านระบบการยืนยันตัวแบบชีวมาตร (Biometric) มีเฉพาะกล้อง IR Camera ติดมาคู่กับเว็บแคมเท่านั้น ถ้าใช้งานในออฟฟิศก็ถือว่าสะดวก แต่ถ้าออกไปนั่งทำงานตามร้านกาแฟก็อาจจะถอดหน้ากากอนามัยชั่วคราวเพื่อสแกนหน้า ซึ่งถ้าทำแบบ Zenbook รุ่นก่อนๆ แล้วยอมให้เครื่องหนาเกิน 1 เซนติเมตรเพียงไม่กี่ มม. ก็ถือว่าไม่มีปัญหา แลกกับความสะดวกและปลอดภัยจาก COVID-19 ก็ถือเป็นเรื่องดีเช่นกัน
ชิ้นส่วนของตัวเครื่องที่ถูกรีดให้บางลงอีกอย่าง คือแป้นคีย์บอร์ดซึ่งระยะกดปุ่มบางจนแทบต้องแตะพิมพ์เอา ทำเอาผู้เขียนคิดถึง Butterfly Keyboard ของ MacBook โมเดล 2016~2019 ขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งคีย์บอร์ดนั้นนอกจากแข็งและระยะกดตื้นมากจนผู้เขียนเคยนิ้วซ้นมาแล้วเลยไม่ประทับใจนัก แต่ยังดีว่าของ Zenbook S 13 OLED ตัวนี้ยังมีระยะสปริงเอาไว้ซับแรงนิ้วตอนกดอยู่เลยไม่มีปัญหานี้ ส่วนตัวถ้าใช้โน๊ตบุ๊คบางเบามาตลอดก็ไม่น่ามีปัญหากับคีย์บอร์ดตัวนี้ แต่ถ้าใช้ Mechanical Keyboard หรือคีย์บอร์ดของเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คมาก่อนก็ต้องปรับตัวกันเยอะพอควรถึงจะกะแรงได้อย่างเหมาะสม
Conclusion & Award
ASUS Zenbook S 13 OLED UX5304 เป็นโน๊ตบุ๊ค Intel Evo ที่ดีมากอีกเครื่อง เหมาะกับคนที่ชอบความเบาบาง เพราะหนา 1 ซม. หนัก 1 กก. เลยใส่กระเป๋าไปไหนมาไหนได้ง่าย ใช้ทำงานได้ร่วม 12 ชม. แถมยังได้ซีพียู Intel 13th Gen รุ่นใหม่ล่าสุด ในแง่ประสิทธิภาพตอนทำงานทั่วไปทั้งแต่งภาพหรือทำงานเอกสารทั่วไปก็ถือว่าดีน่าใช้มากและยังติดเซนเซอร์สแกนใบหน้ามาด้วยช่วยให้ปลอดภัยและใช้งานได้สะดวกขึ้นอีก แม้จะมีจุดที่ต้องปรับตัวสักนิดแต่ถ้าใช้ถนัดแล้วจะถูกใจมากแน่นอน
Award
Best Mobility
Zenbook S 13 OLED UX5304 บาง 1 เซนติเมตร เบา 1 กิโลกรัม ถือเป็นโน๊ตบุ๊คที่พกพาได้ง่ายที่สุดในปี 2023 นี้ ถ้าใครต้องพกโน๊ตบุ๊คไปประชุมงานติดต่อลูกค้าบ่อยๆ รับรองว่าจะต้องถูกใจแน่นอน
Best Battery Life
แบตเตอรี่จากการทดสอบและใช้งานจริงได้นาน 12 ชั่วโมงถือว่าทนทานน่าประทับใจมาก เวลาไปทำงานนอกออฟฟิศก็หยิบไปแต่เครื่องก็พอแล้ว ไม่ต้องเผื่อที่ให้อุปกรณ์เสริมก็ได้ ใครที่ชอบจัดกระเป๋าให้เบาๆ น่าจะตกหลุมรักมันแน่นอน
Best Design
การรีดตัวเครื่องให้บาง 1 เซนติเมตร เบา 1 กิโลกรัม แต่ยังใส่ Intel 13th Gen, Thunderbolt 4 อีกคู่และแบตเตอรี่ที่จุพอใช้งานได้ทั้งวันมานั้น เกิดจากการดีไซน์ชิ้นส่วนทุกชิ้นมาเป็นอย่างดีให้ใส่เข้าไปแล้วใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา แถมรูปลักษณ์ภายนอกยังสวยงานและเป็นวัสดุรักษ์โลกอีก เป็นการออกแบบที่ยอดเยี่ยมมาก