ก่อนงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ AR/VR Headset ที่หลายคนคาดว่าราคาน่าจะอยู่ที่ 3,000 ดอลล่าร์ มีข่าวลือว่ามาจากผู้ทดสอบรายหนึ่งของ Apple ว่านี่ AR/VR ตัวนี้ อาจจะเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของ Apple เลยก็ว่าได้
ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ Leaker Evan Blass ที่เคยให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนการพัฒนาของ Apple ได้ทวีตแบบส่วนตัวว่าตนนั้นรู้จักบุคคลที่มีโอกาสเข้ารับการสาธิตชุดหูฟัง AR/VR ตัวนี้ ทาง Blass กล่าวว่าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาผู้ทดสอบดังกล่าวได้เปลี่ยนจากความคิดที่มองว่าสินค้าตัวนี้คุณภาพแย่ไม่สมราคา แต่ตอนนี้กลับรู้สึกประทับใจในประสิทธิภาพที่ได้รับและพร้อมจะเสียเงินเพื่อซื้อมัน
ชุดหูฟังของ Apple จะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ประเภทแรกนับตั้งแต่ Apple เปิดตัว Apple Watch ในปี 2014 ส่วนชื่อเรียกชุดหูฟังนี้คาดว่าจะใช้ชื่อ “Reality Pro” หรือไม่ก็ “Reality One” พร้อมหน้าจอ 4K micro OLED แบบคู่จาก Sony สำหรับความละเอียดรวม 8K มันจะติดตั้งกล้องมากกว่าสิบตัว เพื่อจำลองแผนที่บริเวณรอบๆ ตัวผู้ใช้, อ่านสีหน้า, ตีความท่าทาง, และอื่นๆ อีกมากมาย
AR/VR Headset มันดียังไง คุ้มมั้ยถ้าจะยอมเสียเงิน!
ก่อนหน้านี้ทาง Notebookspec ได้รวบรวมข้อมูลข่าวลือไว้บางส่วนและสรุปจุดเด่นไว้ ดังนี้
ฮาร์ดแวร์
- การออกแบบคล้ายแว่นตาสกีเพื่อความสวยงามยิ่งขึ้น
- วัสดุสร้างขึ้นจากอะลูมิเนียม แก้ว และคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อช่วยลดขนาดลงและน้ำหนักเบาขึ้น
- มีกล้องซ่อนอยู่ภายในมากกว่า 10 ตัว
- ด้านข้างของชุดหูฟังมีปุ่มควบคุมแบบเม็ดมะยมดิจิทัลคล้ายๆ Apple Watch เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสลับการมองระหว่างโลกเสมือนจริงและโลกจริงได้อย่างรวดเร็ว
- ใช้ชิป M2 รวมกับชิป Reality ขนาด 5nm
- ชิปเซ็ตหลักประกอบด้วย CPU, GPU, และแรม
- ใช้อะแดปเตอร์ขนาด 96W รุ่นเดียวกับ MacBook Pro 14 นิ้ว
- การเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6/6E
- จอแสดงผล 4K Micro OLED จาก Sony สองจอสำหรับประสบการณ์ AR / VR ระดับไฮเอนด์ หรืออาจจะใช้เป็น AMOLED ก็ได้
ซอฟต์แวร์
- พัฒนามาจากโปรแกรมจำลอง realityOS จึงเป็นที่มาของชื่อ “Reality Pro” หรือ “Reality One”
- เทคโนโลยีติดตามแบบ 1:1 ให้เห็นภาพภายนอกแบบ Realtime แม้จะใส่แว่นอยู่
- เทคโนโลยีติดตามการเคลื่อนไหวเพื่อการเล่นเกม การเคลื่อนไหว และการพิมพ์งานเสมือนจริง
ส่วนราคาที่คาดการณ์จากหลายแหล่งข่าวในตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 3,000 ดอลลาร์หรือประมาณ 102,660 บาท และคาดว่าจะผลิตเพียง 200,000-300,000 ชิ้นในปี 2023 เท่านั้น
ที่มา: MacRumors