HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เกมมิ่งเมาส์ไร้สาย 2 ระบบ ดีไซน์ล้ำ ตอบสนองไว ได้ใจคอเกม 2023
HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เกมมิ่งเมาส์ไร้สายรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นที่ 2 ออกแบบมาเพื่อคอเกมโดยเฉพาะ น้ำหนักเบา ให้ความแม่นยำสูง กับรูปลักษณ์ที่ปรับใหม่ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่ดูล้ำสมัย HyperX 26K Sensor เซ็นเซอร์ที่ให้ความแม่นยำกับความละเอียดสูงสุด 26,000DPI ตอบโจทย์คอเกม ที่ชอบเล่นเกมบนจอใหญ่ ความละเอียดสูง ปุ่มคลิ๊กที่ทนทานระดับ 100 ล้านครั้ง เพิ่มความสวยงามด้วยแสงไฟ RGB ปรับแต่งปุ่มมาโครได้บนซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ง่ายดาย แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ให้คุณใช้งานแบบไร้สายได้ยาวนานยิ่งขึ้น เพิ่มฟังก์ชั่นด้วยทางเลือกการเชื่อมต่อบลูทูธ ให้ใช้งานได้หลากหลาย ให้คุณสนุกสนานไปกับการเล่นเกมโปรดได้ในทุกวัน
จุดเด่น
- เชื่อมต่อได้ทั้ง Wireless และ Bluetooth
- มีแสงไฟ RGB ปรับแต่งได้
- สีขาวเข้ากันได้ในทุกโอกาส
- มี Grip เสริมด้านข้างมาให้
- แบตอึดใช้งานได้นาน
- ต่อสายใช้งานได้ ชาร์จไฟในตัว
- ขนาดพอเหมาะใช้ได้ทั้งชายและหญิง
- ปรับค่า DPI ได้ง่าย
- มีซอฟต์แวร์ปรับแต่งสะดวก
ข้อสังเกต
- ไม่มีช่องระบายอากาศที่มือแล้ว
- น่าจะเพิ่มจุดแสงไฟ RGB มาให้อีก
HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless
Specification
Description | |
Buttons | 6 |
Cable type Detachable, | HyperFlex 2 USB-C to USB-A Cable |
Cable length | 1.8m |
Connection type | 2.4GHz Wireless / Bluetooth® 5.0 / Wired |
DPI presets | 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI |
Length | 4.89in |
Left/ right buttons durability | 100 million clicks |
Left/ right buttons switches | HyperX Switch |
Acceleration | 50G |
Polling rate | Up to 1000Hz |
Max resolution | Up to 26000 DPI |
Optical sensor | HyperX 26K Sensor |
Shape | Symmetrical |
Skate material | Virgin-grade PTFE |
Speed | 650 IPS |
Weight (without cable): | 60g |
Weight (with cable): | 83g |
Battery life | Up to 100 hours |
Battery type | 370mAh Li-ion polymer battery |
Charging type | USB-C |
Price | – |
Unbox
แพ๊คเกจทำออกมาได้แปลกตาเลยทีเดียว สำหรับ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless รุ่นใหม่นี้ เพราะฉีกจากกล่องในรุ่นก่อนหน้า ที่เป็นโทนสีแดง-ดำ แต่ก็ดูล้ำสมัย กับการใส่กราฟิกของเมาส์ ให้เห็นอย่างชัดเจน พร้อมรายละเอียดฟีเจอร์ต่างๆ มาเกือบครบ ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมต่อ 2.4GHz, น้ำหนัก 61 กรัม, ใช้งานได้นาน 100 ชั่วโมง และใช้เซ็นเซอร์ HyperX 26K อีกด้วย
ด้านหลังบอกข้อมูลของอุปกรณ์ภายในกล่อง ซึ่งคุณสามารถใช้ในการตรวจเช็คได้ว่า มีของมาครบหรือไม่ เช่น สายเคเบิล ตัวรับสัญญาณหรือจะเป็นสายชาร์จ และ Grip tape เป็นต้น
แกะกล่องออกมา เห็นตัวเมาส์ ที่บรรจุเอาไว้อย่างดี ในโทนสีขาวดูสวยสะดุดตา ด้านในทำออกมาได้ดี มีกันกระแทกเกือบรอบตัวเลยทีเดียว
เวลาที่แกะกล่องออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนกับเปิดกล่องสมาร์ทโฟน ที่ซื้อมาใหม่ๆ ดูต่างจากกล่องแบบเดิมที่มีกันกระแทกแบบพลาสติกสีดำ ที่เราเคยเห็นกันก่อนหน้านี้
สิ่งสำคัญที่มีอยู่ภายในนั่นคือ คู่มือแนะนำหรือประกอบการใช้งาน เนื่องจาก HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless เป็นเมาส์ที่มีรายละเอียด และฟังก์ชั่นพอสมควร การมีคู่มือ ก็ช่วยให้มือใหม่ หรือคนที่อยากจะใช้งานแบบลงลึกหรือเพิ่มความสะดวกในการตั้งค่า ใช้งานได้เต็มที่มากขึ้น
HyperX ให้สายสัญญาณที่ใช้ทั้งในการชาร์จไฟ และยืดระยะตัวรับสัญญาณให้ไกลกว่าเดิมได้ กรณีที่ใช้พีซี แล้วอยากจะให้ระยะการเชื่อมต่อใกล้กับเมาส์ หรือเอามาเป็นสายชาร์จให้กับเมาส์นั่นเอง โดยเป็นหัวต่อแบบ USB-C จากเมาส์ ไปเป็น USB-A ต่อที่พีซีหรือโน๊ตบุ๊คนั่นเอง ซึ่งสายยาวถึง 1.8 เมตร
ตัวรับสัญญาณในแบบ USB Receiver ขนาดเล็ก สามารถต่อเข้ากับพอร์ต USB Type-A บนเมนบอร์ดหรือโน๊ตบุ๊คได้ง่าย ไม่ยื่นออกมาเกะกะอีกด้วย
และอีกสิ่งหนึ่งที่ HyperX ใส่มาในกล่องนั่นคือ PTFE Mouse Skate หรือแผ่นติดที่ใต้เมาส์ให้สำรอง และ Grip Tape หรือแผ่นยางสำหรับติดด้านข้างเมาส์ ให้จับได้ถนัด มีให้ 4 ชิ้น ด้านซ้าย-ขวา และติดที่ปุ่มคลิ๊กเมาส์ซ้าย-ขวา
และต้องมีเมาส์ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless มาด้วย จะเห็นได้ว่ามีการหุ้มกระดาษกันรอยมาให้อีกชั้น นอกเหนือจากกันกระแทกด้านนอก ซึ่งเราไม่ได้เห็นกันบ่อยนักแบบนี้
Design
HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless มาในโทนสีขาวตลอดทั้งบอดี้ เป็นโทนสีที่เราไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนักบนเมาส์ของค่ายนี้ จะมีแค่โลโก้ HyperX ที่อยู่บริเวณด้านข้าง และตรงที่วางอุ้งมือเท่านั้น ที่ไม่ใช้สีขาว
ส่วนตัวมองว่า HyperX ทำออกมาได้แตกต่าง ฉีกกฏของเกมมิ่งเมาส์ที่ตนเองได้เคยทำออกมา ส่วนหนึ่งน่าจะตอบโจทย์การใช้งานให้กว้างขึ้น ในหลายๆ กลุ่ม และสามารถพกไปใช้งานนอกบ้าน ไปทำงาน หรือจะใช้ในโอกาสใดก็ได้ ไม่ดูสะดุดตามากเกินไปนั่นเอง
บริเวณด้านหลัง มีโลโก้ HyperX สีเงินเทา ตัดกับพื้นหลังสีขาวสะดุดตา แต่เป็นแค่โลโก้เท่านั้น ไม่ได้โปร่งแสงหรือมีสีสันของไฟ RGB น่าเสียดายตรงนี้ น่าจะเพิ่มมาให้ดูเด่นขึ้นอีก
ปุ่มคลิ๊กเมาส์ซ้าย-ขวา เป็นปุ่ม HyperX Switch มีความทนทาน ระบุสเปคเคลมว่ารองรับการกดได้ถึง 100 ล้านครั้งเลยทีเดียว
ด้านหน้าเป็นพอร์ต USB-C ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ ซึ่งเป็นตัวเลือกในการใช้งานแบบต่อสายได้ หรือจะใช้ในการชาร์จไฟให้กับเมาส์ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นแบบเดียวกับ Pulsefire Haste Wireless รุ่นแรก
มาเปรียบเทียบกันอีกจุดระหว่างรุ่นใหม่กับ Pulsefire Haste รุ่นก่อนหน้านี้ มิติค่อนข้างใกล้เคียงกัน จัดว่าเท่ากันได้เลย ต่างแค่ในเรื่องดีไซน์จากเดิมที่เป็นช่องโปร่งๆ แบบรังผึ้ง แต่รุ่นใหม่จะเป็นแบบปิดทึบทั้งหมด คล้ายกับเมาส์ในรุ่นก่อนๆ ของ HyperX
ด้านข้างเป็นจุดที่ใช้ในการจับ และมาพร้อมปุ่มมาโครให้อีก 2 ปุ่ม สามารถปรับแต่งเพิ่มได้ผ่านทางโปรแกรม NGENUITY แบบเดียวกับในรุ่นแรก ซึ่งออกแบบมาในจุดเดียวกันและระดับเดียวกันอีกด้วย ความสูงแทบไม่ต่างกัน
ส่วนด้านข้างอีกด้านจะเป็นแบบเรียบๆ แต่ตรงนี้ไม่ต้องแปลกใจว่า Grip หายไปไหน เพราะทาง HyperX เค้ามีมาให้คุณติดตั้งได้เองอีกด้วย
ตัวรับสัญญาณ Wireless Adaptor ในแบบ USB รุ่นใหม่กับแบบเดิมขนาดแทบไม่ต่างกัน มีเพียงแค่สีกับลวดลายที่ปรากฏอยู่เท่านั้น
และตัวรับสัญญาณหรือ Wirelesss Adaptor นี้ ยังเก็บเอาไว้บริเวณใต้เมาส์แบบเดียวกับในเวอร์ชั่นแรกด้วยครับ ค่อนข้างสะดวกทีเดียว ไม่ต้องแกะฝาด้านบนเหมือนกับเมาส์ไร้สายหลายๆ รุ่นที่เป็นแบบนั้น
แต่จุดหนึ่งที่รู้สึกว่ามีน้อยไปบ้างก็คือ Mouse Skate หรือเมาส์ฟีต ที่ใช้เป็นตัวเพิ่มความลื่นไหลในการเคลื่อนไหว เมื่อลากเมาส์ในการเล่นเกมหรือทำงาน เพราะมีให้ 4 ชิ้นเท่านั้น ขนาดไม่ใหญ่ ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะด้านท้าย เสียพื้นที่ไปกับช่องเก็บ Adaptor นั่นเอง
Function
Grip Tape หรือแผ่นยางที่เป็นผิวสัมผัสบริเวณด้านข้างของเมาส์ HyperX แยกออกมาต่างหาก ให้ผู้ใช้เลือกว่าจะติดตั้งหรือไม่ก็ได้ ซึ่งบางคนอาจจะชอบความสวยของโทนสีขาวเรียบๆ แบบนี้มากกว่า แต่คอเกมก็อาจจะอยากได้การจับถือที่สะดวก เคลื่อนไหวได้แม่นยำ เสียดายว่าน่าจะมี Grip สีขาวออกมาให้ใช้กันบ้าง
และเมื่อติด Grip Tape เรียบร้อย ก็จะออกมาประมาณนี้ เป็นโทนสีดำตัดกับบอดี้สีขาว ซึ่งก็ดูสวยไปอีกแบบ แต่ในแง่ของการใช้งาน ดูจะเป็นประโยชน์ในการเล่นเกมหรือทำงานได้ไม่น้อยเลย รุ่นก่อนหน้านี้ก็มีเป็นแบบเดียวกัน
เพิ่มรายละเอียดของสายสัญญาณกันอีกนิด สายที่ให้มานี้ เป็นแบบเดียวกันกับในรุ่นก่อน HyperFlex 2 เป็นลักษณะของสายถักอ่อน ข้อดีคือ พับและม้วนง่าย ทำให้การจัดเก็บสะดวก แต่ก็ต้องระวังในเรื่องของแรงบิด ฉีกหรือการถูกตัด กัดแทะด้วยเช่นกัน อาจเสียหายได้
วัสดุเป็นพลาสติกตลอดทั้งบอดี้ แต่มีความแข็งแรงและให้สัมผัสที่ดี ไม่ได้เป็นแบบซอฟต์ทัช บางครั้งการมีเหงื่อที่มือมาก ก็อาจจะจับได้ไม่ถนัดเช่นกัน
เพิ่มเติมในเรื่องของเซ็นเซอร์บนเมาส์ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ในรุ่น HyperX 26K ให้ความละเอียดได้สูงถึง 26,000DPI เหนือกว่าใน Pulsefire Haste Wireless รุ่นแรกที่มีเพียง 16,000DPI เท่านั้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ใช้เล่นเกมบนจอความละเอียดสูง หรือต้องทำงานที่มีรายละเอียดมากๆ เช่น งานออกแบบ กราฟิก หรือ 3D เป็นต้น และจากตรงนี้ เราจะเห็นปุ่มสวิทช์เล็กๆ ที่ใช้เลือกโหมด ว่าจะใช้เป็น Wireless 2.4GHz หรือ Bluetooth หรือจะปิดการใช้งานจากปุ่มนี้ได้เลย
และหากคุณมีรูปแบบการใช้งานที่ต่างกันจำนวนมาก และต้องปรับความละเอียดของเมาส์บ่อยๆ สามารถกดที่ปุ่มตรงกลางตัวเมาส์ได้ทันที จะมีโพรไฟล์ให้เลือก 4 ระดับ 400 / 800 / 1600 / 3200 DPI เพื่อให้การปรับแต่งง่ายขึ้น
Lighting & Software
ในครั้งนี้ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ก็ยังมาพร้อมกับแสงไฟ RGB แต่ยังคงมีอยู่ที่จุดเดียวคือ บริเวณ Scroll Wheel เท่านั้น แบบเดียวกับรุ่นแรก ซึ่งระดับความสว่างก็ยังคงโดดเด่นเลยทีเดียว โดยผู้ใช้สามารถเข้าไปปรับแต่งรูปแบบแสงไฟได้ตามใจชอบบนซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY ได้
โดยที่ซอฟต์แวร์นี้ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ HyperX เมื่อดาวน์โหลดมาติดตั้งแล้ว จะมีหน้าต่างการทำงานออกมาเป็นแบบนี้ แต่ในครั้งแรกที่เปิดใช้งาน จะมีการอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้กับอุปกรณ์ที่ตรวจพบบางชิ้นด้วย ซึ่งรวมถึง Pulsefire Haste 2 Wireless รุ่นนี้ด้วยเช่นกัน จากนั้นในหัวข้อ Light ก็สามารถปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเอฟเฟกต์แสงสีแบบที่ชอบเข้าไป ด้วยการกด + Add Effect เลือกแบบที่ต้องการได้เลย
รวมถึงในหัวข้อ Buttons ยังให้คุณเลือกสำหรับการตั้งค่าปุ่ม หรือเลือกใส่ Macro ที่เป็นคำสั่งพิเศษได้ถึง 6 ปุ่มที่อยู่บนเมาส์ HyperX รุ่นนี้ จะเลือกเป็นฟังก์ชั่นหลักของคีย์บอร์ด เอามาใส่บนเมาส์ เพื่อความรวดเร็ว หรือใช้เป็นปุ่มฟังก์ชั่น มัลติมีเดีย เช่น Play/Pause หรือ RW/FW ก็ตาม หรือจะตั้งเป็นคีย์ลัดของคำสั่งใน Windows หรือจะปิดการใช้งานบางปุ่มไปก็ได้ กรณีที่ไม่ได้ใช้ได้อีกด้วย
ตรงหัวข้อ Sensor นี้ ให้คุณปรับเลือกค่า DPI settings เอาไว้ใช้งานได้เอง โดยพื้นฐานระบบจะตั้งมาให้เป็น 400/ 800/ 1600/ 3200 DPI และกำหนดสีของความละเอียดเอาไว้ให้ เวลาที่คุณเปลี่ยน ก็จะพอทราบได้ว่า คุณใช้งานอยู่บน DPI ใดนั่นเอง
ที่สำคัญระบบจะตรวจเช็คอุปกรณ์ HyperX ที่ใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์นี้ทั้งหมด อย่างเช่น ตัวอย่างนี้ เรามีทั้ง คีย์บอร์ด HyperX Alloy Origins, HyperX Armada 27 ที่เป็นเกมมิ่งมอนิเตอร์ รวมถึงเมาส์ Pulsefire Haste 2 รุ่นใหม่นี้ด้วย ซึ่งหากทั้ง 3 อุปกรณ์นี้มีแสงไฟ RGB ก็สามารถซิงก์เข้าด้วยกัน เพื่อให้แสงไฟเคลื่อนไหวได้สอดคล้องกันเป็นชิ้นเดียว เพิ่มความสวยงามได้มากขึ้น
Let’s Play
มาเริ่มใช้งานกันดีกว่า ในการเริ่มต้นทั้งการติดตั้งและจัดเตรียม ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ยังคงใช้ง่ายเหมือนกับเมาส์ในทุกรุ่นของทาง HyperX แม้ว่าจะเป็นแบบไร้สาย แค่คุณนำ Wireless Adaptor ที่มีมาให้ในกล่อง ต่อเข้ากับพอร์ต USB บนพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค จากนั้นเปิดสวิทช์ที่ปุ่ม เลื่อนไปที่ 2.4GHz เมาส์ก็พร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว
ส่วนถ้าจะใช้ร่วมกับสัญญาณ Bluetooth เข้ากับโน๊ตบุ๊ค ก็เพียงเปิดใช้งาน Bluetooth จากนั้น เลื่อนสวิทช์ด้านใต้เมาส์ไปยังสัญลักษณ์ Bluetooth ระบบจะสแกนหา Device เมื่อเจอเป็น HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless ก็กดเชื่อมต่อและใช้งานได้ทันที เรียกว่าสะดวกมากๆ
การจับถือเรียกว่าเหมาะทั้งชายและหญิง แต่จะสะดวกกับผู้ใช้มือขวามากที่สุด แม้จะออกมาเป็นแบบสมมาตรก็ตาม แต่มีปุ่มมาโครด้านซ้าย ทำให้ใช้ประโยชน์จากมือขวาได้มากกว่า และเนื่องจากเป็นเมาส์ขนาดกลาง ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะจับได้ไม่ถนัด จากนางแบบที่ใช้อยู่นี้ เป็นทีมงานสาวที่ตัวเล็กมาก แต่ก็ยังจับถือได้สบายเลยทีเดียว นอกจากนี้เป็นเกมเมอร์ตัวยงอีกด้วย โชว์สกิลการเล่น PUBG เรียกว่าคลิ๊กยิงได้สนุกมือ โดยให้นิยามของเมาส์รุ่นนี้ไว้ว่า สวยล้ำ ยิงไว ไถสนุก เพราะความลื่นไหล น้ำหนักเบาและตอบสนองได้ไวของเมาส์นั่นเอง เรียกว่า 800DPI ก็เหลือเฟือ
เรื่องของความรู้สึกในการจับถือหรือเคลื่อนไหว อาจจะไม่ได้ต่างไปจากรุ่นแรกมากนัก เพราะรูปทรงแทบไม่ได้ต่างจากใน Pulsefire Haste Wireless รุ่นแรกมากนัก แต่จะมีในช่วงที่เล่นเกมนานๆ รุ่นแรกมีช่องที่เจาะเป็นรูระบายอากาศเอาไว้ เลยไม่ค่อยมีเหงื่อออกมาที่ตัวเมาส์มากนัก ค่อนข้างสบายมือ แต่ก็เป็นแค่บางช่วงเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็แทบไม่ต่างกัน ส่วนความลื่นไหล ถ้าในโหมดของการใช้งานบนจอ 24″ – 27″ แบบ Full-HD แทบจะไม่มีผล
แต่พอใช้จอ 2K ของ hyperX Aramda 27 และต่อกัน 2 จอเปิดทำงานและท่องเน็ตไปด้วย รู้สึกได้เลยว่าเซ็นเซอร์ HyperX 26K ให้การคอนโทรลบนความละเอียดสูงๆ ได้ดีขึ้นด้วย เช่นเดียวกับการเล่นเกม DOTA2 ที่การเคลื่อนไหวเพื่อดูเส้นทางการบุกและการคอนโทรล Hero ทำได้ลื่นไหลกว่าเดิม และเกมอย่าง COD: Modern Warfare 2 เรียกว่าสาดกระสุนกันอย่างสนุกมือเลยทีเดียว ใครที่เป็นคอเกม Action Shooting หรือ FPS ไม่ควรพลาดเมาส์รุ่นนี้ เป็นเมาส์ไร้สายที่ตอบสนองได้ทันใจ
Conclusion
สำหรับ HyperX Pulsefire Haste 2 Wireless นับว่าเป็นเกมมิ่งเมาส์ไร้สายรุ่นใหม่ ที่ใส่เอกลักษณ์ของ HyperX มาชัดเจนยิ่งขึ้น และไม่ได้จบแค่การเป็นเมาส์สำหรับคอเกมเท่านั้น แต่เพิ่มภาพลักษณ์ให้กับกลุ่มคนทำงาน และมีไลฟ์สไตล์ ด้วยโทนสีขาวที่ดูสวยงาม เข้ากับในทุกโอกาสได้ดี ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในออฟฟิศ ออกไปพบลูกค้าหรือว่าในร้านกาแฟ แสงไฟ RGB ยังมีให้เห็น แต่เบาบางลง เลือกปิดใช้งาน ในช่วงที่อยู่ข้างนอก แล้วเปิดให้สุดเมื่อเล่นเกมในบ้าน น้ำหนักเบา แถมยังมี Mouse Skate คุณภาพดี ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ลื่นมากขึ้น เหมาะกับการเล่นเกม ที่ต้องมีการตอบสนองไว อย่างเช่น Action Shooting หรือ MOBA ก็ได้ประโยชน์ไม่แพ้กัน ความละเอียดก็ปรับได้ตามต้องการ เรื่องระยะเวลาการใช้งาน เราชาร์จแค่ครั้งเดียวในช่วงเกือบ 1 สัปดาห์ก็ยังใช้งานได้เรื่อยๆ สลับกับการปิดการเชื่อมต่อในบางช่วง เรื่องความหน่วงแทบไม่มีเลยทีเดียว ต้องถือว่าค่อนข้างลงตัวทีเดียว
ส่วนเรื่องของราคายังไม่กำหนดออกมาชัดเจน คาดว่าในช่วงเดือนเมษายนนี้จะลงตลาดอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ซึ่งถ้าดูตามราคาจาก HyperX Pulsefire Haste Wireless รุ่นแรก เคาะที่ประมาณ 2,690 บาท ในรุ่น 2 นี้ประมาณไม่เกิน 3 พันบาท น่าจะกำลังดีจับต้องได้ง่ายด้วย