LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เกมมิ่งเกียร์คนไทยคุณภาพระดับโลก!
LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยคุณภาพดีเทียบชั้นเมาส์เกมมิ่งชั้นนำจากต่างประเทศได้สบายๆ ซึ่งผู้เขียนเคยแนะนำไปในบทความแนะนำเมาส์เกมมิ่งก่อนหน้านี้ และผู้เขียนเชื่อว่าเกมเมอร์ชาวไทยน่าจะคุ้นเคยและได้ยินชื่อแบรนด์นี้ไปจับมือสร้างสินค้าร่วมกับแบรนด์และศิลปินชั้นนำหลายแบรนด์ เช่น CARNIVAL, INDIGOSKIN, Benzilla เป็นต้น ด้านคุณภาพและฟีเจอร์ของเกมมิ่งเกียร์จาก LOGA ก็ถือว่าอยู่ในระดับชั้นแนวหน้า ไม่แพ้แบรนด์จากต่างประเทศแน่นอน อย่างเช่นเมาส์เกมมิ่ง LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless ในรีวิวครั้งนี้
เริ่มจากเกมมิ่งเมาส์เรือธงของทาง LOGA รุ่น LOGA Shinryu Pro Wireless ราคา 3,190 บาท เป็นเมาส์เกมมิ่งดีไซน์เรียบง่าย บอดี้กึ่งโปร่งใสมีไฟ RGB สามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์แบบ Hot Swap ทั้งปุ่มคลิ๊กซ้ายและขวาแถมยังมีสวิตช์สำรองแถมมาอีก 4 คู่ ให้ผู้ใช้เปลี่ยน Pretravel ได้ตามรสนิยมของแต่ละคน แถมมีอุปกรณ์สำหรับถอดเปลี่ยนปุ่มมาในกล่องอีกด้วยและยังมีฝาหลังสำรองเอาไว้เปลี่ยนความสูงของ Shinryu Pro Wireless ให้เข้ากับมือของแต่ละคน โดยทางบริษัทเคลมไว้ว่าเมาส์นี้จะเหมาะกับคนชอบจับแบบ Claw หรือ Fingertip Grip เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีซอฟท์แวร์ของทาง LOGA ไว้ปรับแต่งเมาส์ได้ด้วย
ด้าน LOGA GARUDA PRO+ ราคา 2,990 บาท รุ่นนี้ก็โดดเด่นไม่แพ้กับ Shiryu Pro Wireless เพราะทางบริษัทออกแบบให้เมาส์ตัวนี้ถอดแบตเตอรี่ในตัวออกมาชาร์จแล้วใส่แบตฯ สำรองที่ชาร์จจนเต็มเข้าไปแทนแล้วเล่นเกมต่อได้ทันที แถมยังมีฝาหลังสำรองให้เปลี่ยนอีก 3 ชิ้น ทั้งแบบฝาหลังเรียบและฉลุ หลังโด่งและลาดลงให้เลือกได้ตามต้องการและมีซอฟท์แวร์ปรับตั้งค่าจากทาง LOGA ให้โหลดไปใช้ได้เช่นกัน จัดว่ามีจุดเด่นน่าใช้ไปคนละสไตล์ตามที่ผู้ใช้แต่ละคนชอบได้เลย
NBS Verdicts
LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless เป็นเมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยที่น่าใช้ทั้งคู่ โดยแต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไปและมีซอฟท์แวร์ของทาง LOGA แยกเฉพาะของเมาส์เกมมิ่งแต่ละตัวเอาไว้เปลี่ยนฟังก์ชั่นของปุ่มต่างๆ บนเมาส์, ไฟ RGB, เซฟมาโครปุ่มใช้งานบ่อยเอาไว้กดใช้งานได้ตามต้องการ จัดว่าค่อนข้างครบเครื่องสำหรับเกมเมอร์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้แล้ว
จุดเด่นของเมาส์เกมมิ่งทั้งสองตัวนี้นอกจากการเปลี่ยนสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาของ Shinryu Pro Wireless และถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ออกมาชาร์จได้ของ GARUDA PRO+ แล้ว การเชื่อมต่อไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ของทั้งสองรุ่นตอบสนองได้ยอดเยี่ยม รวดเร็วทันใจพอกับเมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลกหลายๆ รุ่น แถมยังใช้เซนเซอร์คุณภาพดีระดับโลกอย่าง PAW 3395 ทั้งคู่ ปรับค่า DPI ไปได้สูงสุด 26,000 DPI ความเร็วสูงถึง 650 IPS เท่ากับเมาส์เกมมิ่งชั้นนำจากต่างประเทศหลายๆ รุ่น แถมงานประกอบเมาส์ยังแข็งแรงทนทานมากและอาจจะดีกว่าแบรนด์เกมมิ่งจากต่างประเทศบางรุ่นเสียด้วยซ้ำ
จุดน่ารักของเมาส์เกมมิ่งจาก LOGA ทั้ง 2 รุ่น และถือเป็นความใส่ใจของทางบริษัท ต้องยกให้อุปกรณ์เสริมในกล่องทั้งฝาหลังเมาส์ถอดเปลี่ยนได้ 2~4 แบบ และยังได้ Mouse Feet (Glide) แถมมาให้อีกชุดเป็นอุปกรณ์สำรองเวลาใช้งานไปนานๆ แล้วของเดิมติดเมาส์เริ่มเสื่อมใช้งานได้ไม่ดีเท่าเดิมก็ถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเองอีกด้วย จัดเป็นความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ แต่น่าประทับใจจากแบรนด์ LOGA ซึ่งผู้เขียนชื่นชอบมาก
กลับกัน จุดสังเกตจากที่ได้ใช้เมาส์เกมมิ่งมาหลากหลายรุ่น อย่างแรกคือเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้จะใช้ซอฟท์แวร์แยกกันคนละตัว ถ้าเป็นแบรนด์ชั้นนำส่วนใหญ่จะทำซอฟท์แวร์รวมเอาไว้ตัวเดียวเพื่อรองรับเกมมิ่งเกียร์ทุกตัวในเครือ ทั้งเมาส์, คีย์บอร์ด, หูฟังเกมมิ่ง ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องลบโปรแกรมลงใหม่เรื่อยๆ แค่ต่ออุปกรณ์เข้าเครื่อง โปรแกรมจับได้ว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นเป็นรุ่นใดแล้วโหลดการตั้งค่าจากโรงงานผ่าน Cloud มาใช้งานได้เลยเป็นต้น หากทาง LOGA พัฒนาส่วนของซอฟท์แวร์ด้วยตัวเองเช่นนี้จะยอดเยี่ยมมาก
หากเป็นไปได้ ผู้เขียนมีความเห็นว่าถ้า LOGA จะออกเมาส์รุ่นใหม่ก็น่าเอาฟีเจอร์ถอดแบตเตอรี่ของ GARUDA PRO+ มารวมกับฟีเจอร์ถอดสวิตช์ได้ของ Shinryu Pro Wireless ให้เป็นเมาส์รุ่นใหม่ ถอดแยกชิ้นส่วนได้แทบทั้งหมดปรับแต่งได้ตามต้องการน่าจะถูกใจเกมเมอร์สายแกะถอดชิ้นส่วนหรือปรับแต่งเมาส์ตามใจชอบอย่างแน่นอน
ข้อดีของ LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
- งานประกอบเมาส์แข็งแรงทนทานเหมือนแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศ
- มีซอฟท์แวร์ตั้งค่าเมาส์ทั้งไฟ RGB, บันทึกมาโคร, ปรับเปลี่ยนปุ่มให้โหลดมาใช้งาน
- ใช้เซนเซอร์ PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI ทำงานได้รวดเร็วแม่นยำมาก
- ใช้งานแบบไร้สายด้วย USB 2.4GHz Dongle ไม่มีสายเมาส์ติดให้กวนใจ
- พอร์ตของเมาส์เป็น USB-C แล้ว หาสายเชื่อมต่อหรือชาร์จใช้งานได้ง่ายมาก
- มีฝาหลังเมาส์สูงต่ำ 2~4 แบบ ให้ถอดเปลี่ยนได้ตามรูปมือของเจ้าของเมาส์
- แถม Mouse Feet (Glide) มาในแพ็คเกจอีก 1 ชุด ถอดเปลี่ยนอันเก่าได้ตามต้องการ
- Shinryu Pro Wireless ใช้วัสดุ Polycarbonate แข็งแรงทนทานน่าใช้
- Shinryu Pro Wireless ถอดสวิตช์เมาส์ได้แบบ Hotswap ได้ เปลี่ยนสวิตช์ได้ตามชอบ
- Shinryu Pro Wireless ได้สวิตช์แถมมาให้เปลี่ยน 4 คู่ ถอดเปลี่ยนได้ตามต้องการ
- GARUDA PRO+ ถอดแบตเตอรี่มาชาร์จได้ด้วยสาย USB-C ใช้งานได้ต่อเนื่องไม่สะดุด
- GARUDA PRO+ ได้ฝาหลังถอดเปลี่ยน 4 แบบ มีแบบฉลุหลังหรือเรียบให้เลือก
ข้อสังเกตของ LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
- ซอฟท์แวร์ทำแยกตามรุ่นเมาส์ ไม่ได้ทำรวมเกมมิ่งเกียร์แบบแบรนด์ชั้นนำ
- แบตเตอรี่ของ GARUDA PRO+ ต้องชาร์จด้วยไฟจาก USB ของคอมเท่านั้น
- สวิตช์ GARUDA PRO+ เลื่อนเปิดปิดไม่ถนัด น่าทำเป็นขีดให้ใช้เล็บดันได้แบบ Shinryu Pro
รีวิว LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless
Specification
LOGA เมาส์เกมมิ่งแบรนด์ไทยคุณภาพระดับโลก ณ ปัจจุบันนี้มีรุ่นเรือธงน่าใช้ทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Shinryu Pro Wireless และ GARUDA PRO+ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้มีจุดเด่นแตกต่างกันตามดีไซน์ โดยมีรายละเอียดสเปคดังนี้
สเปคของ LOGA GARUDA PRO+
Sensor&DPI | PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI, 650 IPS |
Battery Life | 44 ชั่วโมง 300mAh ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ |
Switch | Huano Blue shell Pink dot switch 80M |
Weight&Game Style | 69 กรัม เล่นได้ทุกแนวโดยเฉพาะ FPS |
Software | ซอฟท์แวร์ของทาง LOGA |
Price | 2,990 บาท |
สเปคของ LOGA SHINRYU PRO WIRELESS
Sensor&DPI | PAW 3395 ปรับได้ 26,000 DPI, 650 IPS |
Battery Life | 44 ชั่วโมง ความจุ 300mAh |
Switch | แบบ Hot-Swap เลือกได้ Huano blue shell white dot, TTC gold, Kailh 8.0, Omron 20M |
Weight&Game Style | 69 กรัม เล่นได้ทุกแนวโดยเฉพาะ FPS |
Software | ซอฟท์แวร์ของทาง LOGA |
Price | 3,190 บาท |
Unboxing
กล่องสินค้าของ LOGA ไม่ว่าจะ LOGA Shinryu Pro Wireless หรือ LOGA GARUDA PRO+ จะไม่ใช่ภาพเมาส์ปริ้นท์ติดหน้ากล่อง แต่เป็นงานอาร์ทสวยงามพร้อมเขียนฟีเจอร์เด่นเอาไว้ข้างกล่อง เพื่อบอกจุดเด่นของเมาส์เกมมิ่งแต่ละรุ่นว่ามีอะไรบ้าง เมื่อเปิดกล่องแล้วจะเห็นเมาส์และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เก็บเอาไว้ในช่องโฟมตัดแยกพอดีตัว โดยจะมี 3 ช่อง ได้แก่ ช่องใส่เมาส์, ช่องเก็บสาย USB-C แบบสายถักและมีเข็มขัดยางรัดสายไฟ ด้านล่างเป็นกรอบเก็บอุปกรณ์เสริมต่างๆ ไม่ว่าจะฝาหลังเมาส์สำรอง, Mouse Feet (Glide), กล่องใส่สวิตช์เสริมของ Shinryu Pro Wireless และอื่นๆ ด้วย
ภายในกล่องของ Shinryu Pro Wireless นอกจากตัวเมาส์แล้ว ในกล่องจะมีอุปกรณ์เสริมใส่มาให้หลายชิ้น ได้แก่ ฝาหลังเมาส์แบบหลังโด่งหรือลาด, Mouse Feet สำรองสีขาวและแบบใสบนแผ่นกาวสีเหลือง, กล่องใสใส่สวิตช์ 4 คู่ บนโฟมสีดำ พร้อมคีมคีบสวิตช์และไขควง ภายในกล่องจะมี Huano blue shell white dot สีฟ้าขีดขาว, TTC gold สวิตช์สีส้ม, Kailh 8.0 สวิตช์ดำโครงบนใส, Omron 20M สวิตช์สีดำทึบขีดขาว เอาไว้ถอดเปลี่ยนกับ Huano Blue shell Pink dot switch 80M ภายในเมาส์ได้หากสัมผัสตอนใช้งานไม่ถูกใจหรือต้องการการตอบสนองที่เร็วขึ้น
ด้านสายถัก USB-C ในกล่องจะมีเข็มขัดยางรัดเก็บสายติดมาให้ จะต่อใช้กับเมาส์โดยตรงก็ได้หรือจะเข้ากับตัวแปลง USB-C to A ของ LOGA แล้วเอามาวางหน้าเมาส์ให้ระยะสัญญาณของ USB 2.4GHz Dongle อยู่ใกล้เมาส์ก็ได้เช่นกัน เป็นอุปกรณ์เสริมซึ่งเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในยุคนี้นิยมทำกัน เพราะหากตัวรับส่งสัญญาณอยู่ใกล้เมาส์ก็ยิ่งตอบสนองได้ดีนั่นเอง
ด้าน LOGA GARUDA PRO+ ก็เช่นกัน โดยหน้ากล่องจะเป็นงานอาร์ทรูปครุฑแบบหุ่นยนต์ ดูล้ำสมัยไม่แพ้กับกล่องของ Shinryu Pro Wireless และมีจุดเด่นของเมาส์เขียนเอาไว้ข้างกล่อง เปิดมาแล้วจะมีเมาส์, สายถัก USB-C, หัวแปลง USB-C to A และ USB 2.4GHz Dongle ในตัวและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของตัวเมาส์อีกด้วย
ด้าน Mouse Feet (Glide) ของ GARUDA PRO+ จะเป็นแผ่นสีน้ำเงิน 3 แผ่น เอาไว้ติดขอบบนและล่างอย่างละแผ่นและมีวงตรงกลางสำหรับล้อมเซนเซอร์เอาไว้ มีกรอบหลังแถมมาให้เปลี่ยนอีก 3 รวมกับตัวเมาส์เป็น 4 ชิ้น แบ่งเป็นกรอบหลังโด่งและหลังราบลง มีทั้งแบบฉลุกรอบหลังกับแผ่นเรียบให้เลือกเปลี่ยนได้ตามความชอบของผู้ใช้แต่ละคนและแบตเตอรี่ลูกสำรองสำหรับสลับใช้งานกับแบตฯ ลูกหลัก ชาร์จด้วยสาย USB-C ที่แถมมาให้ในกล่องหรือจะต่อแยกก็ได้ แต่ทาง LOGA แนะนำให้ชาร์จแบตเตอรี่ของเมาส์ GARUDA PRO+ กับพอร์ต USB ของพีซีเท่านั้น เพื่อป้องกันกระแสไฟเกินแล้วทำให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายนั่นเอง
Design, Weight, Grip
ดีไซน์ของ LOGA Shinryu Pro Wireless ทางบริษัทออกแบบให้เป็นเมาส์ตูดโก่งเล็กน้อยให้เหมาะกับการจับทุกรูปแบบ แต่จะเน้นสไตล์ Claw หรือ Fingertip Grip เป็นหลัก แต่ถ้าใครชอบจับแบบ Palm Grip ก็ถอดเปลี่ยนฝาหลังเมาส์ให้ราบลงเล็กน้อยให้นาบมือไปทั้งตัวเมาส์ได้ ตัวเมาส์ทำจากวัสดุโพลีคาร์บอเนต เป็นพลาสติกเนื้อกึ่งโปร่งใสโทนสีเทาควันบุหรี่และท้ายเมาส์มีโลโก้ของ LOGA ติดเอาไว้บนแผงสีขาว ซึ่งทั้งแผงนั้นจะเป็นไฟ RGB และปรับได้ในซอฟท์แวร์ของทางบริษัท ด้านหน้าเมาส์เป็นพอร์ต USB-C สำหรับต่อใช้งานแบบมีสายและชาร์จแบตเตอรี่ให้เมาส์ได้ด้วย สามารถชาร์จด้วยอแดปเตอร์ของสมาร์ทโฟนได้แต่ควรเป็นแบบ 5V1A ให้จ่ายกระแสได้พอดีกับตัวเมาส์
ตัวเมาส์จากรูปลักษณ์เป็นแบบ False Ambidextrous เหมือนเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน กล่าวคือเป็นเมาส์จับถนัดทั้งมือซ้ายและขวาแต่ปุ่ม Back/Forward ติดไว้ข้างซ้ายตัวเมาส์เอื้อคนถนัดมือขวามากกว่า แต่คนถนัดซ้ายก็ใช้งานได้แต่ต้องใช้นิ้วนางกดแทน
การเปลี่ยนฝาหลังของ LOGA Shinryu Pro Wireless แกะเปลี่ยนได้ง่ายมาก แค่เอาเล็บสะกิดที่ร่องตะเข็บท้ายเมาส์ถัดลงมาจากโลโก้ของ LOGA ก็ถอดเปลี่ยนเอาฝาหลังอันใหม่ใส่ใช้งานได้เลยและหยิบเอา USB 2.4GHz Dongle มาใช้งานได้ หากใครจับแบบ Claw, Fingertip Grip จะเหมาะกับฝาหลังโด่ง ด้าน Palm Grip จะเหมาะกับฝาหลังโค้งลงมากกว่า และเมื่อสับสวิตช์เปิดเมาส์จะมีไฟ RGB ติดขึ้นมาบนแผงสีขาวบนตัวเมาส์ด้วย
ปุ่มต่างๆ บนตัวเมาส์ นอกจากคลิ๊กซ้าย, ขวาและสกรอล์เมาส์ตรงกลาง ถัดลงมาจะมีปุ่มปรับค่า DPI ด้านข้างซ้ายเป็นปุ่ม Back/Forward เอาไว้ให้กดใช้งาน ซึ่งปุ่มทั้งหมดบนเมาส์สามารถตั้งค่าด้วยโปรแกรมจากทาง LOGA ได้อีกด้วย
ด้านใต้ LOGA Shinryu Pro Wireless จากด้านบนจะเป็น Mouse Feet ตัวเล็ก ถัดลงมาเป็นช่องสล็อตของสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง ตรงกลางเมาส์มีช่องเซนเซอร์ PAW 3395 คู่กับสลักสวิตช์เลื่อนเปิดปิดเมาส์ สามารถเลื่อนสวิตช์ปรับโปรไฟล์ได้ 3 แบบ เป็น P1, P2, P3 และด้านล่างเป็นโค้ง Mouse Feet ตัวใหญ่อีกชิ้น
ด้านการถอดเปลี่ยนสวิตช์ทำได้ง่ายไม่ยุ่งยากและดีต่อเกมเมอร์คลิ๊กเมาส์หนักอย่างแน่นอน แค่เอาเล็บสะกิดสลักด้านล่างยกขึ้นบนก็ดึงรางสวิตช์ออกจากเมาส์ได้แล้ว แต่มีระยะไม่มากเพราะมีสายไฟต่อกับตัวฐานเอาไว้ หากใครอยากเปลี่ยนจากสวิตช์ Huano blue shell pink dot ในตัวเมาส์ก็เอาคีมในกล่องหนีบสวิตช์ของเมาส์แล้วดึงขึ้นตรงๆ แล้วเอาสวิตช์อันใหม่ใส่กลับไปใช้งานต่อได้เลย
ภายในตลับสวิตช์สำรองจะมี Huano blue shell white dot สีฟ้าขีดขาวสัมผัสเบาเสียงไม่ดัง ทริกเกอร์เร็วปานกลาง, TTC gold สวิตช์สีส้มเสียงดังสัมผัสกดค่อนข้างเบา, Kailh 8.0 สวิตช์ดำโครงบนใส น้ำหนักกดน้อยเสียงก้องได้อารมณ์, Omron 20M สีดำทึบขีดขาว น้ำหนักกดเบาเสียงก้องแบบมาตรฐานเมาส์เกมมิ่งหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน ซึ่งข้อดีของเมาส์แบบถอดเปลี่ยนสวิตช์ Hot Swap ได้เช่นนี้จะเหมาะกับเกมเมอร์สาย FPS มาก เนื่องจากบุคลิคการกดของแต่ละคนจะแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นผู้เขียนเองเป็นคนกดเมาส์หนักและเร็ว ทำให้คลิ๊กซ้ายเกิดอาการ “เบิ้ล” เร็ว จะซ่อมเองก็ไม่สะดวกนัก แต่ LOGA Shinryu Pro Wireless ก็ตัดปัญหานี้ทิ้งได้เลย ถ้าปุ่มเสียก็ถอดทิ้งใส่อันใหม่ใช้งานต่อได้ทันที ยิ่งมีสวิตช์สำรองแถมมาให้อีก 4 คู่ ก็ตัดปัญหาเรื่องนี้ได้เลย
ดีไซน์ของ LOGA GARUDA PRO+ หากดูเทียบกันกับ Shinryu Pro Wireless จะเห็นว่าเมาส์ตัวนี้จะยาวและลาดกว่า ใช้บอดี้เป็นสีดำทึบกับปุ่มสีแดง มีไฟ RGB ติดอยู่เช่นกันแต่จะเรืองแค่โลโก้ LOGA ในตัวเมาส์และโค้งท้ายเมาส์เท่านั้น ด้านหน้าเมาส์มีพอร์ต USB-C เอาไว้ใช้งานแบบมีสายก็ได้ หรือใช้งานแบบไร้สายก็ต่อ USB 2.4GHz Dongle เข้ากับตัวแปลงแล้วลากสายมาวางเอาไว้หน้าเมาส์ได้เช่นกัน
ปุ่มบนตัวเมาส์จะเป็นเลย์เอ้าท์เดียวกับ Shinryu Pro Wireless คือ มีปุ่มคลิ๊กซ้ายขวา, สกอร์ลเมาส์กลาง ถัดลงมาเป็นปุ่มปรับ DPI ของเมาส์และด้านข้างติดปุ่ม Back/Forward มาให้ใช้งานด้วย โดยปุ่มทั้งหมดตั้งค่าในโปรแกรมของทาง LOGA ได้เช่นกัน รวมถึงเอฟเฟคของไฟ RGB ของเมาส์อีกด้วย ว่าต้องการให้แสงไฟเป็นแบบไหน
จุดเด่นของ GARUDA PRO+ อย่างแรก คือ ทางบริษัทให้ฝาหลังเมาส์สำรองมา 3 แบบ รวมทรงรังผึ้งที่ติดมาจากโรงงานเป็น 4 แบบ ให้ผู้ใช้ถอดเปลี่ยนได้ตามชอบ ว่าต้องการให้ดีไซน์และสัมผัสตอนจับเมาส์เป็นแบบใด โดยฝาหลังแบบทึบจะมีทั้งหลังราบลงและหลังโด่งขึ้นเล็กน้อย ส่วนฝาหลังฉลุช่องเอาไว้ทั้งสองแบบถ้าเป็นทรงรังผึ้งจะเป็นฝาหลังลาดลง และฝาหลังวงรีสลับจุดจะเป็นหลังโด่ง ต้องถือว่าทาง LOGA ให้อุปกรณ์เสริมกับ GARUDA PRO+ มาเยอะไม่แพ้กับ Shinryu Pro Wireless เลย ส่วนสไตล์การจับทางบริษัทดีไซน์มาเน้นสาย Palm Grip เป็นหลัก แต่ส่วนตัวผู้เขียนเองจะจับแบบ Claw Grip ก็จับได้ดีและนิ้วชี้กับกลางก็วางปุ่มคลิ๊กซ้ายขวาได้พอดีไม่แพ้กัน
Mouse Feet (Glide) ด้านใต้ตัวเมาส์ของ GARUDA PRO+ จะเป็นแผ่นใหญ่ 2 แผ่นบนล่างสีขาวและแบบวงกลมเล็กล้อมเซนเซอร์กลางเมาส์เอาไว้ สามารถแกะเปลี่ยนเป็นตัวแถมจากโรงงานสีน้ำเงินก็ได้หรือจะใช้เป็นตัวสำรองเพื่อเปลี่ยนตอนอันเดิมจากโรงงานเสื่อมสภาพก็ได้ ถัดมาด้านขวาเมาส์จะมีสวิตช์ปิดเปิดเมาส์ติดมาให้ โดยสลักบนสุดเป็นการปิดเมาส์ไม่ใช้งาน ถัดลงมาเปิดไฟตรงโลโก้ LOGA ในเมาส์ หรือด้านล่างสุดจะเปิดไฟ RGB เต็มระบบ
ฟีเจอร์จุดเด่นอีกอย่างของ GARUDA PRO+ คือ การถอดเอาแบตเตอรี่ในเมาส์มาชาร์จแล้วใส่แบตฯ สำรองเข้าไปเพื่อเล่นเกมต่อได้ เวลาชาร์จทาง LOGA แนะนำให้ชาร์จผ่านทางพอร์ต USB ของพีซีให้กระแสไฟไม่แรงเกินไปจนแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็ว ถัดลงมาจากรางแบตเตอรี่จะมีช่องใส่ USB 2.4GHz Dongle ของเมาส์นี้อีกด้วย เวลาจะพกเมาส์ไปไหนมาไหนก็ใส่เข้าช่องนี้แล้วพกไปใช้งานได้เลย
การถอดและใส่แบตเตอรี่ให้เอาเล็บเกี่ยวดึงครีบปลายแบตเตอรี่ขึ้นมาแล้วดึงออกได้ทันที เวลาใส่กลับให้หันขั้วแบตเตอรี่คว่ำลงตามภาพแล้วดันเข้าไปจนสุดแล้วกดเล็กน้อยให้ท้ายแบตเตอรี่เข้ากรอบใส่แบตฯ ก็ใช้งานต่อได้ทันที ทำให้เล่นเกมได้ต่อเนื่องไม่ขาดตอน
น้ำหนักของเมาส์ทั้งสองรุ่น ทางบริษัทเคลมข้อมูลเอาไว้บนหน้าสเปคเอาไว้เท่ากัน คือ 69 กรัม บวกลบ 3 กรัม เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว GARUDA PRO+ อยู่ที่ 72 กรัม รวมแบตเตอรี่ในตัวแล้ว ส่วน Shinryu Pro Wireless เป็น 73 กรัม ถ้าเทียบกับเมาส์เกมมิ่งระดับราคาใกล้เคียงกันที่อยู่ช่วง 80 กรัมแล้ว ต้องถือว่าเมาส์เกมมิ่งทั้งสองรุ่นนี้เบาใช้ง่าย ถ้าใครจับแบบ Fingertip Grip ก็ลากเมาส์ไปมาได้สะดวกไม่มีปัญหา เชื่อว่าถูกใจเกมเมอร์ทุกกลุ่มโดยเฉพาะเกมเมอร์สาย FPS Competitive น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน
วิธีการจับเมาส์ทั้ง 3 แบบ เมื่อลองจับ GARUDA PRO+ จากที่ลองจับทั้ง 3 แบบดูแล้ว ต้องถือว่าเหมาะกับการจับแบบ Palm Grip ตามที่ LOGA เคลมเอาไว้ แต่อีกสไตล์ที่จับได้ดีไม่แพ้กันคือ Fingertip Grip เนื่องจากน้ำหนักของมันเบาสามารถเอานิ้วโป้งและนิ้วนางคีบเมาส์ลากไปมาได้ง่ายๆ ส่วน Palm Grip ก็จับเข้ามือดีไม่แพ้กัน แต่ข้อสังเกตคือถ้าใช้ฝาหลังแบบฉลุช่องเอาไว้จะมีพื้นที่หน้าสัมผัสเข้าอุ้งมือน้อยไปนิดหน่อย ทำให้บางจังหวะจับแล้วลื่นหลุดมือได้บ้างแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นฝาหลังทึบตามปกติก็ไม่มีปัญหา
ด้าน LOGA Shinryu Pro Wireless นั้นจะเหมาะกับสไตล์การจับแบบ Claw หรือ Fingertip Grip ซึ่งในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของฝาหลังเมาส์ด้วย หากใช้ฝาหลังแบบลู่ลงตามตัวเมาส์จะเหมาะกับ Fingertip ซึ่งใช้ปลายนิ้วแตะเมาส์เท่านั้น ด้าน Palm Grip ก็จะทาบมือเข้าตัวเมาส์ได้เลย ส่วนท้ายโด่งเหมาะกับสไตล์ Claw Grip เพราะท้ายเมาส์จะแนบติดอุ้งมือพอดีแล้วโก่งนิ้วแตะเข้าปุ่มคลิ๊กเมาส์ได้เลย
Software
หน้าตาโปรแกรมของ LOGA สำหรับเมาส์เกมมิ่งทั้ง Shinryu Pro Wireless หรือ GARUDA PRO+ จะมีหน้าตาและฟังก์ชั่นค่อนข้างคล้ายกัน โดยหน้าแรกของทั้งสองตัวจะเริ่มจากหน้าตั้งค่าปุ่มต่างๆ บนตัวเมาส์ ว่าต้องการให้แต่ละปุ่มทำงานอย่างไรและมีตัวเลขกำกับเอาไว้ทั้งหมดเป็นเลข 1~6 ให้ตั้งคำสั่งใหม่ให้แต่ละปุ่มบนเมาส์ได้
ถัดมาเป็นหน้าต่างตั้งค่า DPI แบบบาร์เลื่อนปรับค่า ค่าเริ่มต้นเป็น 400/800/1,600/2,400/3,200/6,400 DPI ตั้งค่าต่ำสุดได้ 50 DPI เพิ่มครั้งละ 50 DPI ดันไปจนสุดที่ 26,000 DPI ถ้าเปิดคำสั่ง DPI Effect จะมีไฟเอฟเฟคติดขึ้นมาตรงกรอบสี่เหลี่ยมหลังปุ่มปรับค่า DPI ตามสีที่ตั้งค่าเอาไว้ มีเอฟเฟคไฟ Steady หรือ Breathing แถมตั้งค่า USB Polling Rate ได้ 4 ระดับ คือ 125/250/500/1,000Hz
2 หน้าสุดท้ายมีคำสั่งเซฟค่ามาโครและปรับไฟ RGB ซึ่ง Shinryu Pro Wireless จะเปลี่ยนเอฟเฟคที่ลูกโดมสีขาวท้ายเมาส์ให้เป็นเอฟเฟคที่ต้องการได้ ด้าน GARUDA PRO+ จะเป็นเส้นขอบท้ายเมาส์แทน มีเอฟเฟคให้เลือก 6 แบบ มี Steady, Breathing, Streaming, Neon, Single color flow, Colorful breathing หรือจะปิดไฟทิ้งไปก็ได้เช่นกัน
จากการใช้งาน ส่วนตัวผู้เขียนถือว่าหน้าตาของโปรแกรมทั้งสองตัวนี้สำหรับเมาส์ทั้งสองรุ่นมีฟังก์ชั่นแทบไม่ต่างกัน จะต่างกันเล็กน้อยแค่ชื่อรุ่นเมาส์และรูปเมาส์ในหน้าโปรแกรมเท่านั้น แต่ฟังก์ชั่นในโปรแกรมเหมือนกันแทบทั้งหมด และจากที่ลองเช็คหน้าเว็บไซต์ของทาง LOGA แล้วก็เห็นว่าทางบริษัทก็มีเกมมิ่งเกียร์กลุ่มคีย์บอร์ดด้วย ซึ่งถ้าทางบริษัทจะเปิดตัวเกมมิ่งเกียร์รุ่นใหม่ในอนาคตก็น่าเปลี่ยนระบบให้เป็นโปรแกรมแพลตฟอร์มกลางรวมเกมมิ่งเกียร์ทั้งหมดเอาไว้ในตัวแล้วให้ตัวโปรแกรมคุยกับเมมโมรี่ออนบอร์ดในอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ แล้วดึงการตั้งค่าจากโรงงานขึ้นมาให้แล้วเปิดให้เกมเมอร์ตั้งค่าเกมมิ่งเกียร์ชิ้นนั้นๆ ได้ตามต้องการจะดีที่สุด
User Experience
โดยองค์รวมแล้ว ไม่ว่าจะ Shinryu Pro Wireless หรือ GARUDA PRO+ ทั้งสองรุ่นนั้นเป็นเกมมิ่งเมาส์ที่น่าใช้งานทั้งคู่ ทั้งตั้งค่า DPI ได้สูงถึง 26,000 DPI เอาไว้เล่นเกมแนวต่างๆ ได้เป็นอย่างดีและตั้งค่าให้มันทำงานได้ดีไม่แพ้กับเมาส์เกมมิ่งจากแบรนด์ชั้นนำหลายๆ รุ่นจากต่างประเทศเลย แถมเมาส์แต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นของมันอย่างชัดเจนอีกด้วย
สำหรับ Shinryu Pro Wireless เป็นเมาส์เกมมิ่งสำหรับคนจับเมาส์แบบ Claw, Fingertip Grip เป็นหลัก มีฟีเจอร์เด่นคือสามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์คลิ๊กซ้ายขวาได้ตามต้องการ ซึ่งฟีเจอร์นี้ดีกับเกมเมอร์สาย FPS ที่กดคลิ๊กซ้ายบ่อยๆ แล้วปุ่มเสื่อมเร็วอย่างแน่นอนยิ่งถ้ากดแรงยิ่งเห็นผลว่าปุ่มเบิ้ลเร็วมาก แต่ในกรณีนี้ก็ไม่ต้องกลัวเพราะเราสามารถถอดสวิตช์ที่เสียทิ้งไปแล้วเอาตัวสำรองในตลับเก็บสวิตช์มาใส่แทนได้เลย หรือถ้าใครอยากได้จังหวะทริกเกอร์ปุ่มและความเร็วตอบสนองตอนกดปุ่มแตกต่างจากปุ่มเดิมจากโรงงานก็ถอดเปลี่ยนเอาสวิตช์สำรองมาเปลี่ยนได้เช่นกัน ทำให้เปลี่ยนสัมผัสตอนคลิ๊กได้ตามชอบ ดีต่อเกมเมอร์ที่ชอบการถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนอุปกรณ์ของเมาส์ตัวเองไปมาอย่างแน่นอน
ถ้าเป็น GARUDA PRO+ ก็เหมาะกับเกมเมอร์สายเล่นเกมนานหลายชั่วโมงแล้วไม่อยากต่อสายเล่นเกมมาก เพราะทางบริษัทให้แบตเตอรี่มา 2 ก้อน แยกเป็นตัวหลักในเมาส์และแบตฯ สำรองในกล่อง จะใช้แบบปล่อยให้แบตฯ เสื่อมก้อนต่อก้อนก็ดีเพราะตอนมีปัญหาก็หยิบก้อนสำรองมาใส่แทนได้ทันทีแล้วค่อยสั่งแบตเตอรี่ลูกใหม่มาเตรียมเอาไว้ หรือใช้สลับกันไปมาก็ใช้งานแบบไร้สายได้ต่อเนื่องไม่เสียจังหวะเลย แถมยังมีฝาหลังสำรองให้เปลี่ยนตามชอบด้วย จัดว่าดีใช้เล่นเกมได้ทุกแนวอย่างแน่นอน และถ้าใครเป็นคนมือใหญ่ชอบจับเมาส์แบบ Palm Grip ก็น่าจะถูกใจเจ้า GARUDA PRO+ แน่นอน เพราะตัวมันยาวจับถนัดมือมาก
ด้านเซนเซอร์และการใช้งานจริงถือว่าเซนเซอร์ PAW 3395 ตอบสนองได้เร็วยอดเยี่ยมและคม ลากได้เร็วไม่มีไถลเกินระยะที่ต้องการแม้แต่นิดเดียว ทำให้ตอนเล่นเกมสามารถลากเป้ายิงคู่แข่งได้แม่นยำ ด้านการใช้งานอื่นๆ ก็ตั้งโปรไฟล์แยกไว้ใช้ได้ทั้งทำงานและเล่นเกม โดยเฉพาะ Shinryu Pro Wireless จะเลื่อนสวิตช์เปลี่ยนโปรไฟล์ได้ถึง 3 โปรไฟล์ หากต้องการเซฟโปรไฟล์แยกตามเกมที่เล่นหรือรูปแบบการใช้งานก็ทำได้ง่ายมากๆ ด้าน GARUDA PRO+ ก็ทำได้เช่นกัน และราคาของแต่ละรุ่นก็ถือว่าไม่แพงมาก ด้าน Shinryu Pro Wireless ก็แค่ 3,190 บาท ส่วน GARUDA PRO+ ก็เพียงแค่ 2,990 บาทเท่านั้น เมื่อเทียบสเปคกับฟีเจอร์แล้วต้องถือว่าราคาคุ้มค่าน่าซื้อมาใช้มากๆ
อย่างไรก็ตาม จุดสังเกตของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ คือซอฟท์แวร์แยกเฉพาะของเมาส์แต่ละตัวที่มีหน้า User Interface (UI) เหมือนกันมาก ต่างกันแค่หน้าตาเมาส์กับโลโก้ของมันเท่านั้น หากทาง LOGA ปรับแต่งให้มันเป็นโปรแกรมแบบแพลตฟอร์มรวมเกมมิ่งเกียร์แทนจะดีมาก ส่วนตัวผู้เขียนเสนอว่าถ้าต่อไปทาง LOGA จะออกเมาส์เกมมิ่งรุ่นใหม่อีกตัว อาจเอาจุดเด่นของ Shinryu Pro Wireless และ GARUDA PRO+ มารวมกันให้กลายเป็นเมาส์เกมมิ่งตัวเดียวที่แบบถอดสวิตช์และแบตเตอรี่ได้หมด ให้ฝาหลังมารวม 4 ชิ้น ให้เกมเมอร์ถอดเปลี่ยนได้ตามชอบแล้วเพิ่มราคาไปราว 1,000 บาท ก็ยังถือว่าน่าสนใจ เพราะมีเกมเมอร์ที่อยากซ่อมและปรับแต่งเมาส์ได้ตามใจชอบก็มีตัวเลือกที่เป็นตัวท็อปของรุ่นให้หาซื้อได้
Summary
LOGA GARUDA PRO+ และ LOGA Shinryu Pro Wireless ถือเป็นเกมมิ่งเมาส์คุณภาพดีแบรนด์คนไทยสองรุ่นที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไป อย่าง Shinryu Pro Wireless สามารถถอดสวิตช์เปลี่ยนได้ตามต้องการ ส่วน GARUDA PRO+ ก็ถอดสลับแบตเตอรี่สองลูกใช้งานได้ต่อเนื่องและเปลี่ยนฝาหลังเมาส์ได้อีก 3 แบบ ซึ่งฟีเจอร์ของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้หากเป็นแบรนด์ต่างประเทศราคาอาจสูงราว 4~5,000 บาท แต่ทาง LOGA ทำราคาให้อยู่ในเรทที่จับต้องได้เพียง 2-3 พันบาทเท่านั้น และงานประกอบถือว่าเทียบชั้นแบรนด์ต่างประเทศได้สบายๆ และราคาก็ย่อมเยาว์กว่าอย่างชัดเจน หากใครมีแผนอยากเปลี่ยนเมาส์เกมมิ่งตัวเดิมที่ใช้งานมานานจนหมดสภาพ ก็แนะนำให้ลองดูแบรนด์ LOGA เอาไว้ได้เลย
award
best innovation
เมาส์เกมมิ่งทั้งสองรุ่นมีฟีเจอร์น่าใช้งานให้เลือกได้ตามชอบ รุ่นหนึ่งถอดสวิตช์ อีกรุ่นถอดแบตฯ ในตัวเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ซึ่งในประเทศไทยมีเมาส์เกมมิ่งไม่กี่รุ่นที่ทำแบบนี้ได้และถ้าทำให้ราคาเข้าถึงง่ายเช่นนี้ยิ่งหายาก ถ้าใครต้องการเมาส์เกมมิ่งฟีเจอร์ล้ำๆ เอาไว้ใช้ก็แนะนำให้ดูเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ได้เลย
best gaming
สัมผัสและประสบการณ์การเล่นเกมถือว่าดีมาก เซนเซอร์ PAW 3395 ของเมาส์ทั้งสองรุ่นนี้ปรับค่าได้สูงสุดถึง 26,000 DPI และเซนเซอร์ก็ถือว่าคมตอบสนองดีทันใจอีกด้วย หากใครหาเมาส์เกมมิ่งดีๆ ไว้ทำงานและเล่นเกม เซฟโปรไฟล์แยกใช้งานได้ก็ดูเมาส์รุ่นนี้ไว้ได้เลย